ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 771 งานเลี้ยง
ตอนที่ 771 งานเลี้ยง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวมองความตั้งใจแน่วแน่ของโจวโย่วฉินออก พลันพูดไม่ออก
โจวเส้ากงขอบตาแดงก่ำ กล่าวว่า “เจ้าได้บรรลุเป้าหมายทำให้ตนเองได้สมหวังที่ได้แทนคุณ แต่เจ้าจัดวางบิดาเจ้าไว้ที่ใด”
โจวโย่วฉินหันไปมองบิดาตนเอง “โปรดอภัยที่ลูกอกตัญญู ท่านพ่อก็ถือเสียว่ามีพี่ใหญ่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวก็แล้วกัน”
โจวเส้ากงยังคงไม่เห็นด้วย เขาไม่ถือสาหากบุตรชายตายเพื่อซื่อเป่า ในฐานะลูกน้อง ตายเพื่อนายเป็นความภักดี เขายอมรับไม่ได้ที่บุตรชายอยู่ดีๆ ถึงกับไปเป็นขันที ตายไปก็ไร้ศพสมบูรณ์
“ไม่ได้ ข้าไม่เห็นด้วย นอกจากข้าตาย” โจวเส้ากงกัดฟันคัดค้าน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเองก็คัดค้าน ยังสั่งการหร่วนไคให้เฝ้าดูโจวโย่วฉินไว้ ปรากฏโจวโย่วฉินยอมอดอาหาร แต่ทุกคนในตระกูลเซี่ยต่างไม่สนใจเขา
ในวัง
ซื่อเป่าไม่รู้ว่าโจวโย่วฉินทำเพื่อเขาเช่นนี้ ยามนี้เขากำลังร่วมงานเลี้ยง
ในงานเลี้ยงนอกจากฮ่องเต้ ยังมีไทเฮา ฮองเฮาและพระสนมฮ่องเต้หลายองค์ และยังมีพี่น้องของเขาอีกหลายคน
นอกจากองค์ชายใหญ่เซียวเจิน ยังมีองค์ชายสามเซียวอวี้[1]ที่ถือกำเนิดจากพระสนมซูเฟย ปีนี้เซียวอวี้อายุแปดขวบ อยู่ในวัยซุกซน พอเห็นว่าอยู่ๆ มีเสด็จพี่รองโผล่มาก็คอยแลบลิ้นใส่เซียวเหวินอวี๋
ยังมีองค์ชายสี่ที่เพิ่งจะสองชันษา เขาเป็นโอรสของพระสนมเจาอี๋ ปีนี้สองชันษา ยังเอาแต่อยู่อ้อมกอดของแม่นมดูแล
เชื้อพระวงศ์ในรุ่นอายุนี้มีองค์หญิงเพียงองค์เดียว ก็คือองค์หญิงหมิงจูสิบสามชันษา เป็นพระนัดดาไทเฮา แม้เป็นแค่องค์หญิง แต่ก็ถูกตามใจมาตลอด ยามนี้นางมองเซียวเหวินอวี๋ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเช่นกัน
เรียกได้ว่าทุกคนในงาน นอกจากฮ่องเต้เซียวอวี้ คนอื่นต่างไม่ค่อยต้อนรับเซียวเหวินอวี๋ แต่เซียวเหวิน อวี๋เองก็ไม่ได้สนใจ เดิมก็ไม่ใช่ญาติสนิทเขา เขาต้องสนใจอันใด ญาติเขาก็คือตระกูลเซี่ย
แม้เซี่ยเหวินอวี้เข้าวังครั้งแรกและต้องเจอกับคนแปลกหน้ามากมายเช่นนี้ แต่ท่าทีเขาแต่ต้นจนจบก็ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อย ดูเปิดเผยพองาม ไม่ได้แลดูลนลานหรือขลาดกลัวน้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่น้อย
เรื่องนี้ทำให้ฮองเฮากับองค์ชายใหญ่เห็นแล้วโมโหมาก ขอแค่คนผู้นี้แสดงออกได้ด้อยกว่าสักหน่อย พวกเขาก็คงไม่โมโหเดือดดาลเช่นนี้ แต่คนเขากลับดำรงท่าทีกำลังพอเหมาะ เปิดเผยมีสง่าราศี คล้ายสง่าราศีสูงส่งติดตัวมาแต่กำเนิด เรื่องนี้จะไม่ทำให้พวกเขาโมโหมากได้อย่างไร
ฮองเฮาจ้องมองเซียวเหวินอวี๋นิ่งลึก เซียวเจินก็มีสีหน้าเย็นเยียบมาตลอด
ในงานเลี้ยง คนที่ดีใจที่สุดก็คือฮ่องเต้เซียวอวี้ เซียวอวี้มองออกว่าฮองเฮากับองค์ชายใหญ่ไม่พอใจ แต่เขาไม่สนใจ
ความคิดฮองเฮากับองค์ชายใหญ่นั้น ในใจเขาพอรู้แต่ต้นแล้ว พร้อมกับนึกรังเกียจ เขาเป็นฮ่องเต้เพิ่งจะครองราชย์ สองแม่ลูกก็เริ่มหมายปองตำแหน่งเขาแล้ว นี่ทนรอไม่ไหวเพียงใดกัน
ดังนั้นยามนี้รับเซียวเหวินอวี๋เข้าวัง ประการแรก ก็เพื่อเตือนฮองเฮากับองค์ชายใหญ่ เขาไม่ใช่มีแต่องค์ชายใหญ่เท่านั้น
ประการที่สอง เพื่อขัดเกลาเซียวเหวินอวี๋ ดูว่าเขาเหมาะกับตำแหน่งรัชทายาทหรือไม่ อีกอย่างเขาเองก็อยากจะดูว่าบุตรชายโกรธแค้นเขาหรือไม่ หรือว่าคิดฝักใฝ่แต่ตระกูลเซี่ยมากไปหรือไม่ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนไม่อาจเป็นรัชทายาทแห่งแคว้นต้าโจวได้
สรุปก็คือฮ่องเต้เองก็มีความคิดของพระองค์ แต่พอได้เห็นบุตรชายยอดเยี่ยมเช่นนี้ โดยเฉพาะรูปโฉมที่คล้ายเฉินอิงก็ทำให้ฮ่องเต้อารมณ์ดีมาก
เขาถามเซียวเหวินอวี๋ถึงเรื่องในตระกูลเซี่ยอย่างห่วงใย
เซียวเหวินอวี๋นอบน้อมต่อเซียวอวี้มาก สนิทสนมก็ไม่อาจกล่าว แต่เรียกได้ว่าไม่มีร่องรอยอาฆาตแค้นใจเขา เขาแสดงออกอย่างเป็นปกติมาก
เรื่องนี้ทำให้เซียวอวี้ดีใจมากเช่นกัน ตระกูลเซี่ยสอนลูกได้ดีจริง
หากเซียวเหวินอวี๋ไม่รู้สึกใกล้ชิดกับเขา เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก ในฐานะบิดา เขาไม่เคยทำอันใดให้เขา จะหวังว่าให้เขาเข้าวังมาก็ใกล้ชิดกับเขา จะเป็นไปได้อย่างไร
หากเซียวเหวินอวี๋ทำเช่นนั้นจริง เขาก็คงสงสัยว่าเขามีเจตนาแอบแฝง ไม่เช่นนั้นเหตุใดพอเข้าวังมาก็สนิทสนมกับเขาได้ทันที เขาทำเช่นนี้จึงจะเป็นรูปแบบปกติที่คนทั่วไปพึงกระทำ
“อวี๋เอ๋อร์ เสด็จพ่อรู้ว่าเจ้าเติบโตมาในตระกูลเซี่ย เข้าวังมาแรกๆ มีหลายอย่างไม่ชิน แต่วันหน้าก็ให้เห็นที่นี่เป็นดังบ้านตนเอง หากต้องการอันใดก็ให้คนมาทูลเสด็จพ่อ หากเสด็จพ่อไม่สะดวก ก็ไปหาเสด็จย่าเจ้า”
เซียวอวี้กล่าวจบ หันไปมองไทเฮาจ้าว กล่าวอย่างจริงใจว่า “เสด็จแม่ อวี๋เอ๋อร์เข้าวังมาใหม่ๆ ขอเสด็จแม่โปรดดูแลด้วย”
ไทเฮาจ้าวได้ฟังเซียวอวี้ก็ยิ้มบางพลางพยักหน้า “อวี้เอ๋อร์ วางใจได้ เสด็จแม่จะดูแลอวี๋เอ๋อร์ เขาเป็นหลานแม่”
ตอนแรกที่ไทเฮาจ้าวรู้การมีอยู่ของเซียวเหวินอวี๋ก็โมโหมาก แต่ตอนนี้นางพลันดีใจแล้ว
เดิมตำแหน่งรัชทายาทตกกับองค์ชายใหญ่เซียวเจินของฮองเฮาเพียงผู้เดียว ตอนนี้กลับไม่แน่แล้ว ถือเป็นเรื่องโชคดีของนางกับจวนจ้าวกั๋วกง
ไทเฮาพลันดีใจ รับคำฮ่องเต้ทันที
เซียวอวี้พยักหน้ายิ้มเล็กน้อย
ในงานเลี้ยง พระสนมซูเฟยกับพระสนมฟางเจาอี๋ความจริงยังไม่ค่อยพอใจนัก เพราะพวกนางสองคนเดิมจัดอยู่ในอันดับสองและสาม ตอนนี้เพราะเซียวเหวินอวี๋กลับมา ทำให้กลายเป็นอันดับสามและสี่ ทั้งสองนางจะดีใจได้อย่างไร
แต่ทั้งสองนางก็มีอุบายในใจกันอย่างมาก เห็นฮ่องเต้ดีพระทัยมาก ก็รีบยกจอกสุราถวายพระพรฮ่องเต้
“หม่อมฉันขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ยินดีที่ได้พระโอรสรองกลับเข้าวัง”
“องค์ชายรอง ดูแล้วก็รู้ว่าเป็นโอรสฝ่าบาท ท่าทางสง่างามดังมังกรหงส์ เหมือนกับฝ่าบาทมากเพคะ”
วาจาพระสนมซูเฟยกับพระสนมฟางเจาอี๋ ทำให้ฮ่องเต้ดีพระทัยมาก ยกจอกสุราดื่มกับทั้งสองคน
สีพระพักตร์ฮองเฮากับองค์ชายใหญ่ก็ยิ่งย่ำแย่ เห็นแววตาทั้งสองคนจ้องมองไปยังเซียวเหวินอวี๋อย่างไม่พอใจ
เซียวเหวินอวี๋รูปหน้าคล้ายกับฮ่องเต้มาก แต่องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าไม่ค่อยเหมือน หากทว่าดูคราแรกก็คล้ายฮ่องเต้มาก
ส่วนองค์ชายใหญ่เซียวเจิน แม้ว่าหน้าตาไม่ธรรมดา แต่เขาคล้ายฮองเฮามากกว่าสักหน่อย
ดังนั้นสองแม่ลูกพอได้ยินพระสนมซูเฟยกับพระสนมฟางเจาอี๋ ก็รู้ว่าทั้งสองคนจงใจ
ทั้งสองคนสีหน้าไม่ดีนัก แต่เห็นฮ่องเต้ดีพระทัย ฮองเฮาเองก็ไม่อาจนั่งนิ่ง ได้แต่ยกจอกสุราถวายพระพรฮ่องเต้
“หม่อมฉันก็ขอแสดงความยินดีที่ฝ่าบาทได้องค์ชายกลับเข้าวัง”
ฮองเฮากล่าวจบก็มองไปยังบุตรชายตน องค์ชายใหญ่เซียวเจินนิ่งไปเป็นนานกว่าก่อนจะยืนขึ้นกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “หม่อมฉันยินดีกับเสด็จพ่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวอวี้คล้ายไม่เห็นสีหน้าสองแม่ลูก ค่อยๆ ยกจอกสุราดื่มไปคำหนึ่ง “ดีมาก”
งานเลี้ยงในวังจบลง ฮ่องเต้ประกาศเลิกงานเลี้ยง ส่วนเขาก็พาองค์ชายรองเซียวเหวินอวี๋ไป อย่างไรพ่อลูกก็เพิ่งจะพบกัน เขาอยากจะผูกสัมพันธ์พ่อลูกกับเซียวเหวินอวี๋สักหน่อย
ไทเฮาเห็นแล้วก็ยิ้มอย่างพอพระทัย
ความจริงนางพอเดาความคิดบุตรชายตนเองได้ นอกจากใส่ใจบุตรชายที่เพิ่งจะกลับมา การกระทำของเขายังต้องการกำราบความคิดฮองเฮากับองค์ชายใหญ่
ไทเฮาจ้าวดีพระทัยมากที่เห็นบุตรชายกำราบฮองเฮากับองค์ชายใหญ่ พาคนกลับตำหนักฉือหนิงกงอย่างอารมณ์ดี
พอฮ่องเต้กับไทเฮาไปแล้ว ฮองเฮาก็ทนปั้นสีพระพักตร์ไม่ไหวอีกต่อไป หันหลังพาคนจากไปด้วยสีพระพักตร์บึ้งตึง ไม่สนใจพระสนมเฝิงซูเฟยกับพระสนมฟางเจาอี๋ด้านหลังอีก
องค์ชายใหญ่เซียวเจินเองก็รูปงามมองโลกแง่ดีมาตลอด แต่ยามนี้แววตาที่เขามองพระสนมซูเฟยกับพระสนมเจาอี๋เต็มไปด้วยความเย็นเยียบราวกับน้ำค้างแข็ง ก่อนจะหันหลังตามฮองเฮาออกไป
[1] ออกเสียงเหมือนชื่อฮ่องเต้ แต่ใช้อักษรคนละตัว