ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 761 สองปี
ตอนที่ 761 สองปี
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพอได้ฟังวาจานี้ก็รู้ว่าไม่ได้การแล้ว รีบหันไปมองภรรยาตนเอง พบว่าลู่เจียวกำลังมองเขาด้วยสีหน้าไม่ได้การแล้ว
ใต้เท้าเซี่ยรู้สึกถึงอันตรายได้ทันที รีบยิ้มกล่าวว่า “ข้าพูดถึงเงื่อนไขลูกสะใภ้ ไม่ได้เอ่ยอันใดถึงภรรยาข้า ว่าต้องมีเงื่อนไขตามนี้”
“ดังนั้นข้าไม่ได้มาตรฐานเจ้า?”
“ได้แล้ว ภรรยาข้าหาได้ยากดังหนึ่งในหมื่น เหตุใดไม่ได้มาตรฐานข้ากัน”
ลู่เจียวไม่ได้ปล่อยใต้เท้าเซี่ยไป เอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “เจ้าดู ข้านิสัยไม่ดี ชาติตระกูลไม่ดี ยังไม่รู้เคารพผู้ใหญ่เมตตาผู้น้อย ไม่รู้จักรักน้องชายน้องสาวเจ้า และไม่อ่อนโยนและเป็นภรรยาที่ดี กล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่คู่ควรเป็นภรรยาใต้เท้าเซี่ยแล้วสินะ”
แม้ว่าลู่เจียวล้อเล่น แต่ใต้เท้าเซี่ยกลับร้อนใจอย่างน่าประหลาด รีบยื่นมือไปกอดนางเอาไว้ จุมพิตลู่เจียวทีหนึ่ง
“พูดถึงเรื่องลูกๆ มาพูดเรื่องพวกเราทำไมกัน ภรรยาในใจข้านั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่มีผู้ใดเทียบได้ เอาทองคำมาแลกก็ไม่ยอม”
ลู่เจียวถูกเขาหยอกจนรู้สึกขำ ตัดสินใจปล่อยเขาไปสักครั้ง
“เจ้านี่นะ บนโลกใบนี้ไม่มีคนตั้งเงื่อนไขเช่นเจ้าอีกแล้ว แต่ก็เพราะรักบุตรชาย แล้วบุตรสาวเล่า ไม่รักบุตรสาวหรือ คนเขายังต้องเลือกบุตรสาวเจ้า ดังนั้นอย่าสนใจแต่เรื่องบุตรชายแต่งสะใภ้ ขอเพียงอีกฝ่ายมีคุณธรรม จิตใจเมตตา ไม่ได้มีจิตคิดวางอุบายอันใดก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นเรื่องรอง”
ยามนี้ใต้เท้าเซี่ยไม่กล้าโต้แย้งภรรยาแล้ว ได้แต่เพียงเห็นด้วย “เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง”
สองสามีภรรยาอิงแอบแนบชิดตลอดทั้งคืนอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้น เซี่ยอวิ๋นจิ่นตื่นเช้าไปที่ทำการ แฝดชายหญิงไปเรียนหนังสือที่ตระกูลเนี่ย ซานเป่าไปทำงานยุ่งอยู่ที่สำนักยาหลวง
สำนักยาหลวงเพิ่งจะก่อตั้ง ภายในยังไม่เรียบร้อยดี ตอนนี้รับหมอมาอบรมแปดคน วันหน้าพวกเขาจะเป็นกลุ่มคนสำคัญของสำนักยาหลวง รออีกสองปีก็จะได้จัดสรรให้ไปประจำยังพื้นที่ต่างๆ จัดตั้งสำนักยาหลวง แคว้นต้าโจว
ดังนั้นลู่เจียวจึงตั้งมาตรฐานพวกเขาไว้สูง ตอนนี้ให้ฉีเหล่ยรับหน้าที่สอนพวกเขาไปก่อน
แม้ว่าวิชาการแพทย์ของหมอทั้งแปดจะไม่เลว แต่ห่างไกลจากมาตรฐานของลู่เจียวอยู่พอสมควร ดังนั้นลู่เจียวสั่งให้ฉีเหล่ยสอนหมอเหล่านี้ด้วยตนเองทุกวัน นอกจากนี้สำนักยาหลวงยังเริ่มรักษาให้ขุนนางแคว้นต้าโจวแล้ว ขอเพียงเป็นขุนนางกับฮูหยินของเขาป่วย ล้วนมารักษาที่สำนักยาหลวง ทำเช่นนี้ก็จะได้ให้หมอที่รับมาได้ฝึกฝนความสามารถ
ซานเป่านอกจากติดตามเรียนรู้จากฉีเหล่ย บางครั้งยังคอยช่วยเสอนหมอทั้งแปด
แม้ว่าเขาอายุยังน้อย แต่เขาติดตามลู่เจียวกับฉีเหล่ยมาหลายปี วิชาการแพทย์ไม่ได้ด้อยไปกว่าหมอทั้งแปด กลับกัน หากเป็นโรคประหลาด เขายังรู้มากกว่าหมอทั้งแปด
ดังนั้นบางครั้งฉีเหล่ยไม่มีเวลา ก็ให้ซานเป่ามาสอนแทนเขา
แน่นอนว่าลู่เจียวเองก็จะมาสอนหมอชุดนี้ด้วยตนเองบ้าง สอนหมอชุดนี้เป็นแล้ว ลู่เจียวกับฉีเหล่ยก็จะเริ่มรับหมอชุดสอง หมอชุดสองนี้ไม่ได้ตั้งมาตรฐานไว้สูงมาก ขอเพียงพอรู้หลักการรักษาก็เพียงพอ จะหาหมอเก่งกาจในและนอกเมืองหลวงได้มากมายจากที่ใดกัน
อีกอย่างหมอที่วิชาการแพทย์ดีก็ไม่อยากมาเป็นหมอสำนักยาหลวง เพราะหมอสำนักยาหลวงได้เบี้ยจากราชสำนักไม่มากนัก เปิดโรงหมอเองยังหาเงินได้ดีกว่ามาอยู่สำนักยาหลวง
ดังนั้นหมอที่รับรอบสองขอเพียงพอรู้การแพทย์ก็พอ นำคนเหล่านี้มาอบรมให้ดี เพื่อให้พวกเขาเป็นหมอประจำเมืองหลวง เรียนในสำนักยาหลวงต่อและรับหน้าที่ดูแลงานต่างๆ ในสำนักยาหลวง คนทั้งแปดที่รับมาก่อนหน้านี้จะถูกลู่เจียวส่งไปตั้งสำนักยาหลวงประจำสถานที่ต่างๆ ในแคว้นต้าโจว
พริบตาก็ผ่านไปสองปี หมอที่ลู่เจียวรับมาชุดสองก็เริ่มเก่งขึ้น หมอชุดแรกกำลังจะถูกลู่เจียวส่งไปตั้งสำนักยาหลวงประจำสถานที่ต่างๆ ในแคว้นต้าโจว
“วิชาการแพทย์ของพวกเจ้าทั้งแปดคนรักษาโดยลำพังได้แล้ว วันนี้ข้าเรียกทุกคนมาก็เพื่อบอกทุกคนเรื่องหนึ่ง วันหน้าพวกเจ้าจะถูกส่งไปตั้งสำนักยาหลวงประจำสถานที่ต่างๆ ในแคว้นต้าโจว”
ลู่เจียวกล่าวจบ ทั้งแปดก็ดีใจมาก ตอบรับพร้อมเพรียง “พวกเราทราบแล้ว”
ลู่เจียวมองไปยังเด็กหนุ่มแววตาอ่อนโยนรูปงาม หมออายุสิบห้า ใบหน้ากระจ่างงาม กิริยาท่าทางอ่อนโยน ทำให้คนเห็นแล้วก็ใจอ่อนยวบ พากันชื่นชอบเขา แววตาเขากระจ่างใส รอบกายเปล่งประกายเปิดเผยสดใสและทรงคุณธรรม
ลู่เจียวมองบุตรชายที่ตนเองสอนมากับมือ ในใจมีความปีติของความเป็นมารดาและยังมีความอาลัยของมารดาอีกด้วย
ในที่สุดซานเป่าก็จะไม่ได้อยู่ข้างกายนางแล้ว เขาต้องไปตั้งสำนักยาหลวงที่เมืองหนิงโจวแล้ว
ซานเป่ารู้สึกได้ถึงสายตาอาลัยของมารดา ก็เงยหน้ายิ้มอ่อนโยนราวกับสายลมวสันต์ มองแล้วสบายใจอย่างไม่อาจบรรยาย
เขามีพรสวรรค์เป็นหมอจริง กับผู้ป่วยก็มีแต่ความใส่ใจและอ่อนโยน แต่ลู่เจียวรู้ว่าเขามีระยะห่างจากผู้อื่นเล็กน้อย ไม่ใช่คนที่ใจอ่อนไม่แยกแยะ อย่างไรนางก็เป็นคนอบรมสั่งสอนเขามาด้วยตนเอง
“ลองบอกมาหน่อยว่า พวกเจ้าอยากไปตั้งสำนักยาหลวงที่ใดกันบ้าง หากในใจพวกเจ้ามีสถานที่คิดไว้ ก็ลองบอกกับข้าได้ พวกเรามาดูกันว่าที่นั้นเหมาะกับการตั้งสำนักยาหลวงหรือไม่”
ตั้งสำนักยาหลวงอย่างน้อยก็ต้องเป็นเมืองใหญ่ระดับโจวหรือฝู่ ไม่อาจเป็นอำเภอเล็กๆ ไม่เช่นนั้นจะไม่คุ้มค่า ดังนั้นได้แต่ตั้งสำนักยาหลวงยังเมืองใหญ่ระดับโจวหรือฝู่ แต่ตอนนี้ทั้งแปดคนยังไม่พอ ได้แต่ส่งไปจัดตั้งไปก่อน
ในแปดคนนี้ ซานเป่ารู้แล้วว่าตนเองไปที่อื่น ท่านแม่ไม่วางใจ จึงลุกขึ้นยืนเอ่ยกับท่านแม่ทันทีว่า “ข้าไปเมืองหนิงโจว”
“ตกลง”
ผู้อื่นเห็นซานเป่าเลือกแล้วก็พากันเลือกเมืองที่ตนเองจะไป
พวกเขารู้หน้าที่ตนเองแต่ต้นแล้ว เตรียมตัวไว้แล้ว ตอนนี้พากันเอ่ยสถานที่ที่ต้องการไป
ลู่เจียวได้ฟังการเลือกของทั้งแปดก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหา รีบเอ่ยขึ้นว่า “ได้ พวกเจ้ากลับไปเตรียมตัวก่อน พรุ่งนี้เช้ามารับป้ายคำสั่งจากข้านำไปมอบให้จือฝู่ในพื้นที่ ให้ใต้เท้าจือฝู่จัดหาที่ตั้งสำนักยาหลวงให้พวกเจ้า จำไว้ พวกเจ้าตั้งสำนักยาหลวงแล้ว ก็ทำในสิ่งที่ตนพึงกระทำ”
“ขอรับ ใต้เท้า”
ทุกคนรับคำแล้วก็พากันขออำลากลับบ้าน
ลู่เจียวคุยกับฉีเหล่ยอีกครู่หนึ่งก็พาซานเป่ากลับบ้าน
ตลอดทางมา นางกำชับซานเป่าไม่หยุด “ครั้งนี้เจ้าไปเมืองหนิงโจว นอกจากพาบ่าวชายที่เจ้าเลือกไว้ตอนนั้นไปด้วยแล้ว ก็พาครอบครัวหร่วนไคไปด้วย”
ปีก่อนหร่วนไคแต่งกับซานฉาหัวหน้าสาวใช้ลู่เจียว ซานฉาถนัดงานเย็บปัก ตามซานเป่าไปก็พอดีให้สองสามีภรรยาคนหนึ่งปกป้องซานเป่า คนหนึ่งดูแลเสื้อผ้าให้ซานเป่า
ซานเป่าพอได้ฟังก็ร้อนใจเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ ไม่เอา ข้ามีคนติดตามแล้ว และข้าเองก็เป็นวิชายุทธ์ คนธรรมดาไม่ใช่คู่ต่อสู้ข้า”
ลู่เจียวถลึงตาใส่เขากล่าวว่า “นี่เป็นความรักของแม่ หรือเจ้าไม่เคยได้ยิน บุตรชายเดินทางไกลพันลี้ มารดาเป็นห่วง แม้เจ้าเก่งกาจเพียงใด แม่ก็ยังคงเป็นห่วง นับประสาอันใดกับตอนนี้เจ้าเพิ่งสิบห้าเท่านั้น”
ซานเป่าเห็นลู่เจียวพูดไปพูดมาก็เริ่มปวดใจ เขาไม่อยากให้มารดาเสียใจ รีบยื่นมือไปรั้งมือมารดาตนมากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านแม่ ข้ารับไว้แล้ว ท่านแม่อย่าได้เป็นห่วงข้า ข้าไม่เป็นอันใด พอถึงเมืองหนิงโจว ทุกสิบวันข้าจะส่งจดมหมายมาหาท่านแม่ รายงานตัวว่าปลอดภัยดี”