ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 629 วางแผนผูกสัมพันธ์ทองแผ่นเดียว
ตอนที่ 629 วางแผนผูกสัมพันธ์ทองแผ่นเดียว
ทั้งครอบครัวกินอาหารเสร็จ ตอนบ่ายเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กับลู่เจียวก็อยู่ในห้องเป็นเพื่อนคุยกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น ผู้ใหญ่สองคนถามเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ถึงเรื่องในซีเฟิงย่วนอย่างห่วงใย พบว่าท่านอาจารย์หลิวเข้มงวดกับการเรียนของพวกเขามาก แต่ก็ใส่ใจการใช้ชีวิต เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวได้ฟังแล้วก็วางใจลงได้ในที่สุด
ผู้ใหญ่สองคนมองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราบอกกับท่านอาจารย์แล้วว่า วันหน้าพวกเจ้าอยู่ซีเฟิงย่วนเรียนสี่ตำราห้าคัมภีร์กับอาจารย์สามวัน อีกสองวันกลับมาเรียนเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากสี่ตำราห้าคัมภีร์กับท่านพ่อท่านแม่ เช่นเรียนวิชาแพทย์ เมื่อก่อนซานเป่าเคยบอกว่าอยากเรียนวิชาแพทย์ แต่แม่คิดแล้วก็รู้สึกว่าพวกเจ้าทั้งหมดเรียนวิชาแพทย์จากแม่ไว้สักหน่อยดีกว่า”
ลู่เจียวเอ่ยขึ้น เจ้าหนูน้อยทั้งสี่หันหน้าไปจ้องมองนางพร้อมกันทันที ซานเป่าดีใจมาก ต้าเป่าเลิกคิ้ว “ท่านแม่ ทำไมพวกเราต้องเรียนวิชาแพทย์ด้วย”
“เรียนวิชาแพทย์ไม่เพียงทำให้พวกเจ้าได้ช่วยคนป่วยแต่ยังทำให้พวกเจ้ารู้การแพทย์ไว้บ้าง วันหน้าพบเจอเรื่องเกี่ยวกับการแพทย์ ก็จะได้มีความรู้ไว้รับมือ”
ที่ลู่เจียวให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เรียนวิชาแพทย์กับนางก็เพราะซื่อเป่า ซื่อเป่าเป็นบุตรชายอ๋องเยียน วันหน้าไม่แน่อาจต้องกลับไปอยู่กับอ๋องเยียน จวนอ๋องเยียนไม่ใช่สถานที่ที่จะดำรงชีวิตได้ง่าย ดังนั้นเรียนวิชาแพทย์ไว้ป้องกันตัวสักหน่อยเป็นสิ่งจำเป็น
ซานเป่ากับซื่อเป่าต้องเรียน ไม่สู้ทุกคนเรียนด้วยกัน ลู่เจียวรู้สึกว่าเรียนวิชาแพทย์ไว้สักหน่อยมีประโยชน์
นางมองไปยังต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ากล่าวว่า “เช่นวันหน้าต้าเป่า หากเจอคนวางยาเจ้า เจ้าเรียนวิชาแพทย์มาก็ย่อมรู้ความผิดปกติ เช่นนั้นก็จะไม่โดนอุบาย เอ้อร์เป่าไม่ได้บอกว่าตนเองจะเป็นแม่ทัพหรือ ในฐานะแม่ทัพ เรียนวิชาแพทย์จะได้รู้ทันอุบายชั่วของคนเลว ซานเป่าเดิมคิดเรียนวิชาแพทย์อยู่แล้ว ซื่อเป่าวันหน้าจะเป็นคหบดีแห่งอันดับหนึ่งแห่งแคว้นต้าโจว ก็ต้องได้พบคนหลากลหายรูปแบบ คนพวกนั้นไม่แน่อาจแอบซ่อนความคิดชั่วร้ายอันใดเอาไว้ ดังนั้นตนเองเรียนวิชาแพทย์ก็จะไม่กลัวแผนชั่วร้ายพวกเขา”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ต่างเห็นด้วยกับคำพูดลู่เจียว ก็เหมือนท่านพ่อกับท่านแม่มักต้องเผชิญอันตราย ทุกครั้งท่านแม่จะรู้ทันอุบาย ดังนั้นเรียนวิชาแพทย์จึงเป็นเรื่องสำคัญ
ลู่เจียวยังกล่าวอีกว่า “นอกจากซานเป่า พวกเจ้าสามคนเรียนแค่เล็กน้อยก็พอ ไม่จำเป็นต้องรักษาผู้ป่วย ขอเพียงรู้จักปลูกสมุนไพรและธาตุสมุนไพรแต่ละอย่าง สมุนไพรเหล่านี้รสชาติใด อันใดเป็นอันตราย ก็พอแล้ว”
ต้าเป่าเอ้อร์เป่าซื่อเป่ารีบพยักหน้ากล่าวว่า “ท่านแม่พวกเราทราบแล้ว”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจ “เช่นนั้นวันหน้าพวกเจ้าก็เรียนกับอาจารย์สามวัน กลับมาสองวัน วันแรกเรียนแยกแยะสมุนไพรกับแม่ อีกวันก็เรียนสิ่งที่ตนชอบ ต้าเป่าชอบเรียนหนังสือ อีกวันก็อ่านหนังสือ เอ้อร์เป่าชอบฝึกยุทธ์ อีกวันก็ฝึกยุทธ ซานเป่าชอบเรียนหมอ อีกวันก็เรียนหมอกับแม่ต่อ ส่วนซื่อเป่าคำนวณในใจเก่ง แม่ก็จะสอนเจ้าคำนวณในใจ”
อีกอย่าง ลู่เจียวตัดสินใจจะเล่าประวัติศาสตร์ให้ซื่อเป่าฟัง เล่าตำนานคนมีชื่อเสียงให้เขาเรียนรู้เติบโต
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ฟังการจัดการของลู่เจียวก็รับคำ “ทราบแล้ว ท่านแม่”
ลู่เจียวยิ้มมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นถามว่า “ใต้เท้าเซี่ย จัดการเช่นนี้ได้หรือไม่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นอมยิ้มมองลู่เจียวกล่าวว่า “การจัดการของฮูหยินย่อมเหมาะสมแล้ว แล้วข้าเล่า”
ลู่เจียวหัวเราะคิก “เจ้าก็นอนอยู่บนเตียง”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่หันหน้าไปมองบิดาบนเตียงแสดงท่าทีเห็นด้วย “ท่านพ่อ ท่านนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงก็แล้วกัน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นทำหน้าปั้นยาก แขนเขาบาดเจ็บเล็กน้อย ปรากฏถูกลู่เจียวบังคับให้พักรักษาตัวอยู่แต่บนเตียง เขาแน่ใจว่านี่คือการเอาคืน แน่นอนอย่างที่สุด
เซี่ยอวิ๋นจิ่นถูกลอบทำร้ายแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ขุนนางในที่ทำการเมืองหนิงโจวล้วนส่งฮูหยินมาเยี่ยมเยียน
ลู่เจียวรับหน้าที่ต้อนรับฮูหยินหลิน ยังมีพวกฮูหยินทงพั่นและฮูหยินหวางที่มาพร้อมกันกับนาง
“รบกวนฮูหยินทุกท่านต้องมาเยี่ยมแล้ว ความจริงบาดแผลท่านพี่ไม่หนักหนา ทำให้ใต้เท้ากับฮูหยินเป็นห่วงแล้ว”
ฮูหยินหลินรีบยิ้มอ่อนโยนกล่าวว่า “ฮูหยินถงจือมิต้องเกรงใจ”
ฮูหยินหลินกล่าวจบ ก็มองไปยังลู่เจียว เอ่ยว่า “พวกเราเกรงใจกันไปทำไม วันหน้าล้วนเป็นสหายร่วมแวดวงที่ทำการเรา ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ก็ควรสนิทกันสักหน่อย วันหน้าเจ้าเรียกข้าว่าพี่หลิน ข้าเรียกเจ้าว่าเจียวเจียว ดีไหม”
แววตาลู่เจียวหรี่ลง ในใจคาดเดาว่าฮูหยินหลินคิดเล่นลูกไม้อันใด แต่นางยังคงนิ่ง ตอบรับคำว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว พี่หลิน เชิญ”
ทุกคนก้าวเข้าไปในเรือนด้านในตระกูลเซี่ย
ฮูหยินหลินกับพวกฮูหยินหวางมองประเมินภายในจวนตระกูลเซี่ย มองไปก็เอ่ยชมไปว่า “บ้านพวกเจ้ามีเงินมีทองจริง ได้ยินว่าสามโรงผลิตเจียวเจียวทำกำไรได้ดีมาก ดูท่าไม่เลว”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “พอได้ เงินกำไรจากสามโรงผลิตก็มิใช่ของพวกเราฝ่ายเดียว ยังมีส่วนอื่นอีก”
นางกล่าววาจานี้ ผู้อื่นก็เริ่มคิด วาจาลู่เจียวนี้แสดงให้เห็นว่าเบื้องหลังสามโรงผลิตมีคนหนุนหลัง กำไรที่นางหามาได้ต้องนำไปส่งให้ผู้หนุนหลังพวกนาง
พวกฮูหยินหลินกับฮูหยินหวางอดคาดเดาไม่ได้ เบื้องหลังพวกนางจะเป็นผู้ใด องค์หญิงใหญ่หรือผู้ใด
สรุป ครอบครัวเซี่ยถงจือไม่ได้ต่อกรได้ง่ายๆ
ฮูหยินหลินครุ่นคิดแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งสนิทสนม นางยื่นมือไปคว้ามือลู่เจียวเดินไปยังห้องโถงกลางตระกูลเซี่ย
พอทุกคนนั่งลง ฮูหยินหลินก็เรียกเด็กหญิงอายุไม่มากไม่น้อยเข้ามาหา
“ซิ่วซิ่วมานี่ เจ้าคารวะท่านน้าลู่”
ลู่เจียวหันไปมองด้วยสัญชาตญาณทันที เห็นเด็กผู้หญิงที่ตามฮูหยินหลินมาก่อนหน้านี้เดินเข้ามา เด็กหญิงตัวน้อยสวมกระโปรงยาวลายดอก คลุมทับด้วยเสื้อแพรทำจากแพรชิงอวิ๋นที่มีชื่อเสียง ใบหน้ามนเล็กทั้งขาวทั้งงาม แต่ลู่เจียวมองดูก็รู้ว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่เอาแต่ใจ สีหน้าเหมือนไม่ยี่หระ ได้ฟังฮูหยินหลินก็ยู่ปากเล็กน้อย คล้ายว่าไม่ยินยอม แต่ถูกบารมีฮูหยินหลินบังคับ จึงได้เดินมาคำนับลู่เจียว
“คารวะท่านน้าลู่”
ลู่เจียวยกมือบอกให้นางลุกขึ้น จากนั้นก็เอ่ยชมว่า “เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาดี นางคือ?”
ฮูหยินหลินยิ้มเอ่ยว่า “นี่คือหลานสาวข้า หลินซิ่วหย่า ซุกซนมาก”
ลู่เจียวยิ้มเอ่ยชมว่า “ดูแล้วเชื่อฟังมาก”
ฮูหยินหลินได้ฟังคำพูดลู่เจียว รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งสนิทสนม นางยื่นมือไปกวักเรียกหลินซิ่วหย่ามา ดึงมากอดไว้กล่าวว่า “อยู่ข้างนอกว่านอนสอนง่ายสักหน่อย อยู่ในบ้านนี่ราวกับผีน้อยซุกซน แต่เล็กนางก็โตมาข้างกายข้า ได้ดังใจข้ามาก”
ลู่เจียวได้ฟังฮูหยินหลิน ก็ขมวดคิ้วอย่างไม่เป็นที่สังเกต นางเกลียดแม่สามีเช่นนี้ที่สุด เห็นอยู่ว่าสะใภ้คลอดออกมา แต่ตนเองเอามาเลี้ยงดูข้างกาย ไม่รู้หรือว่าสะใภ้แอบเสียใจเพียงใด
แต่นี่เป็นเรื่องในครอบครัวผู้อื่น ลู่เจียวก็ไม่อาจกล่าวอันใดได้ ได้แต่พยักหน้ารับคำเล็กน้อย
ฮูหยินหลินเอ่ยชมหลานสาวแล้วก็เงยหน้ามองไปยังลู่เจียวถามว่า “ใช่แล้ว เจ้าหนูน้อยทั้งสี่พวกเจ้าล่ะ ทำไมไม่เห็น”
ลู่เจียวเดิมไม่ได้สนใจเรื่องที่ฮูหยินหลินพาหลินซิ่วหย่ามาด้วย ตอนนี้มาได้ยินฮูหยินหลินถามถึงเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ในใจก็รู้ทันที นางยิ้มในใจ ฮูหยินจือฝู่คงไม่ได้คิดวางแผนร่วมเป็นทองแผ่นเดียวกับพวกนางกระมัง เช่นนั้นก็นับว่าวางแผนเกินไปแล้ว