ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 517 เข้าเมืองหลวง
ตอนที่ 517 เข้าเมืองหลวง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังฉีเหล่ยก็ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว เขาค่อนข้างอ่อนไหวกับชื่อซื่อจื่อจวนอ๋องฉินผู้นี้ แต่ก็มิได้แสดงออกทางสีหน้า พลางหันไปถามลู่เจียวอย่างห่วงใย
“เจียวเจียว เป็นอะไรไปหรือ”
ลู่เจียวส่ายหน้า “เปล่า ข้าก็แค่แปลกใจ หญิงผู้นั้นอยู่ดีๆ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ในตอนนี้ได้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับไม่อยากเอ่ยถึงหลินหรูเยว่ผู้นี้อีก พอคิดถึงว่าหญิงผู้นี้คือคู่หมั้นพี่ชายฝาแฝดตนเอง เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับนางมากนัก ส่วนวันนี้ที่ติดค้างน้ำใจนาง วันหน้าค่อยหาโอกาสตอบแทนนางก็พอ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดแล้วก็เปลี่ยนบทสนทนา “เจียวเจียว เจ้ารู้สึกไหมว่าวันนี้อากาศหนาวแล้ว”
ลู่เจียวไม่ทันตอบ ฉีเหล่ยก็แย่งเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงอีกแค่ไม่กี่ร้อยลี้แล้ว ยิ่งขึ้นเหนือก็จะยิ่งหนาว ทุกคนในเมืองหลวงล้วนสวมเสื้อสองตัว”
ลู่เจียวได้ฟังก็รู้สึกสนใจขึ้นมา นางถามฉีเหล่ยว่า “เมืองหลวงหิมะตกใช่หรือไม่”
ฉีเหล่ยยิ้มพยักหน้า “หิมะตกจริง ทุกปีตกราวสองสามรอบ”
ฉีเหล่ยเพิ่งกล่าวจบ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็หันไปถามอย่างตกใจ “หิมะ ก็คือหิมะที่กล่าวถึงในหนังสือหรือ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เป็นคนใต้ โตจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นหิมะ แต่อาจารย์เคยสอนว่า หิมะปลิวมาตามแรงลมราวกับปุยดอกหลิ่วตกลงมาจากฟ้า เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รู้สึกว่าเรื่องนี้แทบไม่น่าเชื่อ ตอนนี้กลับจะได้เห็นหิมะแล้ว
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รู้สึกสนใจอย่างมาก พากันถามฉีเหล่ยอย่างตื่นเต้น “พี่ฉีเหล่ย หิมะนั่นปลิวลงมาจากฟากฟ้าจริงหรือ”
ฉีเหล่ยพยักหน้า “ใช่แล้ว ลงมาจากฟ้า”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เงยหน้ามองท้องฟ้าแจ่มใส เอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ท้องฟ้ามีหิมะปลิวลงมาได้อย่างไรกัน มาจากไหนกัน”
ฉีเหล่ยถึงกับอึ้งไปทันที ลู่เจียวยิ้มอธิบายต่อว่า “หิมะตกเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ก็เหมือนฝน พวกเจ้าเห็นท้องฟ้ามีฝนไหม เหตุใดอยู่ดีๆ จึงมีฝนตกลงมาได้ ความจริงหิมะตกก็เหมือนฝนตก ล้วนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เพียงแต่ทางใต้ของพวกเราอากาศไม่หนาว ดังนั้นน้ำฝนในอากาศจึงไม่จับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง อากาศทางเหนือหนาว น้ำในอากาศจึงจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง และตกลงมาในรรูปแบบของหิมะ ก็คือสิ่งที่พวกเราเรียกว่าหิมะนั่นเอง”
ลู่เจียวอธิบายเช่นนี้ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็เข้าใจ พากันพยักหน้าแสดงอาการเข้าใจ คนอื่นได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็เหมือนตระหนักรู้ในบัดดล ที่แท้เหตุผลที่พวกเขายังคิดไม่กระจ่างเป็นเช่นนี้นี่เอง
ลำดับถัดไปลู่เจียวก็อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่อีกหลายเรื่อง เด็กๆ ฟังกันอย่างออกรส
พวกหันถงและฉีเหล่ยต่างอิจฉาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ กระซิบกระซาบกันว่า “เจ้าว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่มีมารดาฉลาดอย่างพี่สะใภ้เช่นนี้ วันหน้าน่าจะมีอนาคตมากนะ”
“แน่นอน โบราณกล่าวไว้ว่าแต่งภรรยาให้แต่งภรรยาดี ภรรยาเป็นเรื่องสำคัญมาก”
หันถงเห็นด้วยกับคำพูดฉีเหล่ยทันที พร้อมกับคิดถึงตนเองที่แต่งภรรยาเช่นนั้นมา แล้วก็หวนมาคิดถึงบุตรชายสองคนของเขา เขาก็มีท่าทางนิ่งหมองหม่นลงทันที
ฉีเหล่ยเห็นท่าทางเขา ย่อมรู้ว่าเกิดจากเหตุใด จึงยื่นมือออกไปตบไหล่เขา “วันหน้าค่อยแต่งภรรยาใหม่ใส่ใจเรื่องคุณธรรมของนางสักหน่อย บุตรชายเจ้าตอนนี้ยังเล็กมาก หากคุณธรรมมารดาเลี้ยงไม่ดี ย่อมยิ่งส่งผลต่อพวกเขา”
หันถงเงียบงัน ไม่รู้ว่าควรแต่งอีกครั้งหรือไม่ เขาเป็นห่วงว่าหากแต่งภรรยาใหม่ นางจะไม่รักบุตรชายทั้งสองของเขา ดังนั้นเมื่อมารดาบอกให้เขาแต่งใหม่อีกครั้ง เขาก็ไม่เคยเห็นด้วยเลย
เสียงลู่เจียวดังขึ้นจากเบื้องหน้า “เอาละ เรื่องวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน ครั้งหน้าค่อยคุยกันต่อ จะให้แม่อธิบายทุกข้อสงสัยของพวกเจ้าในคราเดียวคงไม่ได้กระมัง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเอ่ยรับคำขึ้นทันทีอย่างรู้สึกสงสารนาง “ให้ท่านแม่พักผ่อนก่อน อย่าทำให้นางเหนื่อยเกินไป”
“ทราบแล้ว ท่านพ่อ”
หันถงเงยหน้ามองไปเห็นครอบครัวเซี่ยอวิ๋นจิ่นรักใคร่ปรองดองกัน ในใจก็อดอิจฉาไม่ได้ เกิดความรู้สึกอยากแต่งภรรยาใหม่สักคน แต่เขาต้องไปขอให้พี่สะใภ้ช่วยเลือกดูสักหน่อย พี่สะใภ้ผู้นี้ฉลาดมาก ไม่เพียงแต่วิชาการแพทย์ร้ายกาจ ทำการค้าก็ร้ายกาจมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือปัญญา นางไหวพริบดียิ่ง
สินค้าหลายอย่างในร้านขนส่งสินค้าเหนือใต้ล้วนเป็นความคิดพี่สะใภ้ เช่น กระถางบอนไซน้ำตกที่มีน้ำไหล ผลิตออกมาก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า บรรดาตระกูลร่ำรวยไม่น้อยพากันวิ่งมาซื้อที่ร้าน ยังมีแผ่นหนังที่แกะเป็นตัวละคร ละครแผ่นหนังเป็นศิลปะพื้นบ้าน ประเด็นก็คือพวกเขาทำไม่เป็น ปรากฏพี่สะใภ้กลับปรึกษากับช่างไม้จนทำออกมาได้
พอนำออกขาย ก็มีคนไม่น้อยวิ่งมาแย่งกันซื้อกลับไปเล่นกับลูกๆ ที่บ้าน
ตอนนี้ในร้านมีของใหม่ออกวางจำหน่ายไม่น้อย หันถงรู้สึกเลื่อมใสลู่เจียวมาก
ปลายเดือนสิบ ทุกคนก็ถึงท่าเรือเมืองหลวง
ขณะที่พวกลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นก้าวขึ้นจากเรือ ก็ได้ยินหลี่หนานเทียนตะโกนเรียกว่า “คุณชาย เหนียงจื่อ พวกท่านมากันแล้ว”
หลี่หนานเทียนนำบ่าวรับใช้สองสามคนมารอต้อนรับลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น
นอกจากพวกเขาแล้วก็มีคนมารอรับครอบครัวหลิวโส่วฝู่ มารับท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิว ทางตระกูลเถียนก็มีคนมารับสินค้าที่คุ้มภัยไปต่อ
คนที่ท่าเรือมากมาย บรรยากาศครึกครื้นยิ่ง
แต่พอพวกเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวลงมา ก็เป็นที่สะดุดตาผู้คนไม่น้อย ทุกคนต่างพากันมองดูพวกเขาแล้ววิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา
ครอบครัวเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวหน้าตาดีมาก พวกหลิวจื่อเหยียนกับเจิ้งจื้อซิ่งด้านหลังก็หน้าตาไม่เลว
ตระกูลเจิ้งมาเมืองหลวงครั้งนี้ก็ไหว้วานลู่เจียวหาบ้านเช่าให้พวกเขาในละแวกเดียวกัน
ดังนั้นพอลงเรือ จู้เป่าจูกับพวกเจิ้งจื้อซิ่งก็พากันมา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นโบกมือทักทายเจิ้งจื้อซิ่ง ลู่เจียวโบกมือทักทายจู้เป่าจู นางพาเจิ้งเมี่ยวบุตรสาวมาด้วย
คนสองกลุ่มเริ่มสนทนากัน
จู้เป่าจูโตจนป่านนี้ ที่ไปไกลที่สุดก็แค่อำเภอชิงเหอ นางมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก
ความจริงครั้งนี้เจิ้งจื้อซิ่งไม่อยากพานางมาด้วย มีที่ไหนที่ผู้ชายไปสอบจะพาภรรยาไปด้วย ไม่ค่อยสะดวกอย่างมาก
แต่เพราะครั้งนี้ลู่เจียวพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ติดตามเซี่ยอวิ๋นจิ่นมาด้วย จู้เป่าจูจึงได้เอาเรื่องจะตามมาให้ได้ บอกว่าตนเองโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยไปเมืองหลวง เจิ้งจื้อซิ่งไปสอบเมืองหลวงครั้งนี้ นางจะตามไปดูเมืองหลวงสักหน่อย บางทีวันหน้าอาจไม่มีโอกาสแล้ว
เจิ้งจื้อซิ่งฟังนางพูดจนพูดไม่ออก กอปรกับจู้เป่าจูเองก็ไปหาลู่เจียวให้ช่วยเช่าบ้านละแวกเดียวกับลู่เจียวให้แล้ว
สุดท้ายเจิ้งจื้อซิ่งก็ได้แต่ยอมพานางมาด้วย
แต่ตอนประสบเหตุโจรปล้น จู้เป่าจูก็นึกเสียใจภายหลัง บ่นว่าหากรู้เช่นนี้คงไม่มาแล้ว น่าตกใจจริง
ตอนนี้มาถึงเมืองหลวงแล้ว นางก็ดีใจขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่ลู่ เมืองหลวงคนมากจริง”
ที่ท่าเรือฝูงชนแน่นขนัด มองไปสุดลูกหูลูกตา
ลู่เจียวบอกให้นางคอยดูเจิ้งเมี่ยวไว้ อย่าทำบุตรสาวหาย
จู้เป่าจูรีบอุ้มเจิ้งเมี่ยวเดินตามลู่เจียวฝ่าฝูงชนออกไป ลู่เจียวอุ้มต้าเป่า เฝิงจืออุ้มเอ้อร์เป่า หร่วนจู๋อุ้มซานเป่ากับซื่อเป่า ทุกคนไม่กล้าปล่อยเด็กๆ เดิน กลัวเด็กๆ จะหายไป
พอทุกคนเดินออกจากฝูงชนมาได้ ทุกคนจึงได้กล้าปล่อยเด็กๆ ลง
แต่ลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้รีบร้อนไป รอให้ท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิว หลิวจื่อเหยียน และตระกูลเถียนฝ่าฝูงชนออกมา พวกเขาจะได้กล่าวอำลากันก่อน