ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 132 ไม่รับอนุตลอดไป
ตอนที่ 132 ไม่รับอนุตลอดไป
เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงสีหน้าเคร่งเครียดไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาดำทั้งสองข้างเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง
เขามองหร่วนซื่อ ถามเสียงนิ่งเรียบว่า “หากท่านพ่อรับอนุ ท่านแม่ก็เห็นด้วยงั้นหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเพิ่งกล่าวจบ หร่วนซื่อก็สีหน้าแปรเปลี่ยน ตวาดดังว่า “เขากล้าหรือ หากเขากล้ารับอนุ ดูซิว่าข้าจะถลกหนังเขาไหม”
หร่วนซื่อวางท่าทางใหญ่โตจนชินเป็นนิสัยแล้ว ไม่ได้รู้สึกสักนิดว่าคำพูดตนเองเหมาะสมหรือไม่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดนาง ก็ยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ท่านแม่เองก็ไม่ยอมให้ผู้ชายรับอนุ แล้วทำไมถึงว่าคนอื่นไร้จารีตภรรยา คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าท่านแม่เองไร้จารีตภรรยาหรือ”
หร่วนซื่อได้ฟังคำเซี่ยอวิ๋นจิ่น ดวงตาก็ลุกโชน นางจ้องเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างเดือดดาล “เจ้ากับท่านพ่อเจ้าเหมือนกันหรือไง วันหน้าเจ้าจะได้เป็นขุนนางใหญ่ จะไม่รับอนุได้อย่างไร”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงขี้เกียจจะโต้เถียงกับมารดาตนเองแล้ว เขาหลับตาไม่มองหร่วนซื่อ เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นจริงจังว่า “หากหญิงผู้นี้อยู่ ก็ให้ทำตามที่ลู่เจียวบอก ไม่งั้นก็ไสหัวไป”
พอกล่าวจบ เขาก็เหลือบมองไปยังเฉินชุนสี่ ผู้หญิงที่หน้าตาพอจะงดงามอยู่บ้าง คิดว่าอาศัยเพียงความงามก็จะล่อลวงเขาได้หรือ ช่างน่าขันเสียจริง
เฉินชุนสี่ถูกสายตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นทำเอาตกใจ หันหลังจากไปทันที
นางเดิมก็เป็นบุตรสาวที่ถูกครอบครัวเลี้ยงดูมาอย่างเอาใจ ไหนเลยจะทนรับอารมณ์เช่นนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่สนใจเฉินซื่อด้านหลังที่เรียกนางไว้แม้แต่น้อย
ในเรือนนอนตะวันออกบ้านเซี่ย หร่วนซื่อตบหน้าผากตนเอง มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “เจ้าคิดจะทำให้แม่เจ้าโมโหตายหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองหร่วนซื่อแววตาเย็นเยียบ ในแววตาไม่มีความรู้สึกปวดใจแม้แต่น้อย
“หากท่านแม่อยู่เฉยๆ ไม่หาเรื่องวุ่นวายก็คงไม่ปวดหัว
หร่วนซื่อแทบจะล้มตึง นางหันหลังก็ไปทันทีโดยไม่คิดหันมามองเซี่ยอวิ๋นจิ่น เฉินซื่อที่ยืนอยู่ข้างหลังจึงได้แต่รีบไล่ตามไปทันที
ในเรือนนอนตะวันออกลู่เจียวปลอบใจเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ว่า “ไม่เป็นไรแล้ว พวกเจ้าออกไปกินข้าวกลางวันเถิด”
เจ้าแฝดสี่เงยหน้ามองลู่เจียวก่อนจะหันวิ่งไปข้างเตียง “ท่านพ่อ วันหน้าท่านจะไม่แต่งอนุไปตลอดชีวิตใช่หรือไม่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับรองอย่างไม่ลังเล “พ่อรับปากพวกเจ้า วันหน้าพ่อจะไม่รับอนุ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่พลันหัวเราะขึ้นทันที และจิตใจก็สงบลงไม่น้อย
แต่ซื่อเป่ากล่าวขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “งั้น ท่านก็เกี่ยวก้อยกับพวกเรา คนไหนโกหกให้กลายเป็นหมา”
ซื่อเป่ากล่าวจบก็ยื่นมือออกไปดึงมือเซี่ยอวิ๋นจิ่นไว้ พลางเกี่ยวนิ้วกับเขา
เพื่อทำให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่สบายใจ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เกี่ยวนิ้วก้อยกับทั้งสี่ทีละคน ยามนี้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ดีใจกันยกใหญ่ ไม่สงสัยว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นจะรับอนุแล้ว
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เกี่ยวนิ้วก้อยกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นเสร็จ ก็วิ่งไปตรงหน้าลู่เจียวขอคำชม
“ท่านแม่ ท่านพ่อเขาไม่รับอนุแล้ว”
“และก็จะไม่มีลูกกับคนอื่นแล้ว”
“มีกับท่านแม่คนเดียว”
ลู่เจียวได้ฟังคำเอ้อร์เป่า ก็ตีหน้าไม่ถูก ทำไมมีกับนางคนเดียว นางกำลังจะไปแล้วไม่ใช่หรือ
ลู่เจียวยื่นมือออกไปบีบแก้มเอ้อร์เป่า กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “รีบออกไปกินข้าว กินเสร็จก็พาหมาไปเดินเล่นย่อยอาหาร”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตอนนี้จิตใจสงบนิ่งแล้ว พากันยิ้มตาหยีเดินออกไปกินข้าว
ลู่เจียวมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นแวบหนึ่ง เห็นเขายังกินข้าวไม่เสร็จ ก็ถามอย่างอ่อนโยน “เย็นไปไหม จะให้ข้าเอาไปอุ่นให้เจ้าอีกรอบไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นส่ายหน้า มองลู่เจียวพลางชมว่า “เมื่อครู่เจ้าทำได้ไม่เลว”
ลู่เจียวอึ้งไปทันที ก่อนจะคิดได้อย่างรวดเร็วว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นชมนางเรื่องรับมือหร่วนซื่อกับเฉินชุนสี่
ลู่เจียวเบะปากเล็กน้อย นางไม่ได้ทำเพื่อเขาสักหน่อย นางแค่ไม่อยากรำคาญ น่ารำคาญจริงๆ นะ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงนึกถึงหร่วนซื่อ เดิมสีหน้าอ่อนโยนก็พลันเย็นเยียบขึ้นอีกครั้ง แววตาเย็นชาหาใดเปรียบ
“ก่อนหน้านี้เรื่องที่ข้าบอกกับเจ้า เจ้า?”
ลู่เจียวไม่รอให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบ ก็นึกถึงเรื่องตอนเช้าเข้าเมืองได้พบกับแม่หม้ายหวัง จึงยิ้มกล่าวว่า “ข้าลืมบอกเจ้าไปเรื่องหนึ่ง”
นางกล่าวจบ กลัวเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ยิน ก็เดินไปข้างกายเซี่ยอวิ๋นจิ่น กล่าวเบาๆ ว่า “เช้านี้ข้าเข้าเมืองได้เจอกับแม่หม้ายหวัง ดังนั้นก็เลยจงใจคุยกับพวกป้ากุ้ยฮวาถึงความดีงามของท่านพ่อ ข้าคิดว่าแม่หม้ายหวังน่าจะหวั่นไหว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็ยิ้มกล่าวว่า “ดีมาก เจ้าออกไปกินข้าวก่อนเถอะ”
ลู่เจียวเองก็หิวแล้ว ออกไปตอนเช้าถึงตอนนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย
ในห้องโถง เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นนาง ก็ยิ้มแฉ่งกล่าวว่า “ท่านแม่ กินข้าว”
ลู่เจียวเห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กินเสร็จแล้ว ก็ให้พวกเขาออกไปพาสุนัขเดินเล่นย่อยอาหาร “พาหมาเดินเล่นสักครู่ย่อยอาหารหน่อย กลับมาแม่จะอาบน้ำให้พวกเจ้าแล้วก็นอนกลางวันกันสักครู่”
“อืม ทราบแล้ว”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รีบออกไปพาสุนัขเดินเล่น พอลู่เจียวกินอาหารกลางวันเสร็จ พวกเขาก็กลับมา แต่เพราะอากาศร้อนอยู่สักหน่อย ดังนั้นแต่ละคนเหงื่อแตกท่วมไปทั้งตัว ลู่เจียวรีบไปห้องครัวต้มน้ำร้อนมาอาบน้ำไวๆ ให้พวกเขา ก่อนจะให้พวกเขาไปนอนกลางวัน
พออาบน้ำเสร็จ เอ้อร์เป่าก็เหลือบมองลู่เจียวอย่างระมัดระวัง ลู่เจียวพอมองก็รู้ว่าเขามีอะไรจะพูด
“มีอะไรก็พูดมา ทำอะไรหลบๆ ซ่อนๆ ทำเช่นนี้เหมือนเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อย ผู้ชายควรเปิดเผยตรงไปตรงมา มีอะไรก็พูด เปิดเผยไม่อ้อมค้อม”
เอ้อร์เป่าได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็รีบเงยหน้ายืดอกมองลู่เจียว กล่าวเสียงดังว่า
“ท่านแม่ พวกเรานอนกลางวันตื่นมา ขอกินลูกท้อได้ไหม”
ลู่เจียวพยักหน้า “ได้”
นางให้พวกเด็กๆ พาสุนัขไปเดินเล่น ก็เพื่อให้อาหารย่อย จะได้กินอาหารเยอะอีกหน่อย
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็พากันยิ้มดีใจ เอ้อร์เป่ายืนขึ้นในกะละมังไม้ กอดคอลู่เจียวหอมดังฟอด
ซานเป่า ซื่อเป่าก็ไม่ยอมแพ้ ต้าเป่าไม่ได้แย่งกับพวกเขา สองตาเหลือบมองเอ้อร์เป่าบนลงล่าง สีหน้าเหมือนไม่กล้ามองเอ้อร์เป่าตรงๆ
เอ้อร์เป่าเหมือนคิดอะไรได้ก็ก้มหน้าลงมองร่างเปล่าเปลือยของตนเอง ก็พลันหน้าแดง รีบนั่งลงในกะละมังไม้
ลู่เจียวรู้สึกขำ ดึงเขากับต้าเป่าลุกขึ้นรีบเช็ดตัวให้แห้ง สวมชุดนอนให้พวกเขา
“เอาละ รีบไปนอนกลางวันได้แล้ว ตื่นมาก็จะได้กินลูกท้อ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่หัวเราะอย่างดีใจ เอ้อร์เป่าได้คืบเอาศอก ตะโกนดังว่า “ท่านแม่ ท่านก็นอนกับพวกเราด้วยสิ”
ลู่เจียวปฏิเสธทันที “ไม่ได้ แม่ต้องตั้งฐานหม้อ ตกค่ำที่บ้านก็จะมีหม้อสองใบ หุงข้าวทำกับข้าวก็ล้วนสะดวกสบาย”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่แม้ว่าอายุน้อย แต่ก็เข้าใจข้อดีของการมีสองหม้อ จึงไม่ดึงดันให้ลู่เจียวนอนเป็นเพื่อนพวกเขา
ลู่เจียวใช้จังหวะที่ทุกคนนอนตอนบ่าย เอาหม้อทั้งสองใบออกมาตั้งฐานเตา ส่วนหม้อที่เสีย นางก็เก็บเข้าห้วงอากาศไป
เช่นนี้หากคนนอกไม่มองอย่างละเอียด ย่อมไม่รู้ว่าหม้อสองใบของลู่เจียวล้วนเป็นของใหม่
ตอนบ่ายก็มีแขกมาที่บ้าน เป็นหันถง เพื่อนร่วมชั้นเรียนเซี่ยอวิ๋นจิ่น หันถงยังพาหมอมาคนหนึ่ง
“พี่สะใภ้ ขาอวิ๋นจิ่นได้รับการผ่าตัดแล้วจริงหรือ”
หันถงอยู่อำเภอชิงเหอ ห่างจากหมู่บ้านตระกูลเซี่ยไกลอยู่สักหน่อย ข่าวคราวมากมายก็ไม่ทันถึงกัน
ยามนี้เขาพาหมอมาด้วย ก็เพื่อให้หมอได้ตรวจดูอาการให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น ดูว่าขาเขาหลังผ่าตัดจะดีขึ้นได้ไหม หมอที่เขาพามาด้วยเป็นน้องชายหมอในกองทัพ แม้ไม่เชี่ยวชาญการผ่าตัด แต่ก็พอรู้บ้างไม่มากก็น้อย
หันถงเดิมคิดว่า หากท่านหมอซือว่าขาอวิ๋นจิ่นรักษาได้ เขาก็จะหาทางส่งอวิ๋นจิ่นไปทางกองทัพ ให้หมอกองทัพช่วยผ่าตัดเขา
คิดไม่ถึงว่าเขาพาคนมาถึงหมู่บ้านชีหลี่ ถึงกับได้ยินคนในเมืองวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กัน ว่าขาอวิ๋นจิ่นมีคนผ่าตัดหายแล้ว
ลู่เจียวได้ฟังหันถง ก็พยักหน้ากล่าวว่า “ใช่ ขาเขาได้รับการผ่าตัดมาแล้ว หากไม่เหนือความคาดหมายน่าจะเดินได้”
ลู่เจียวกล่าวจบ หันถงก็เสียงดังอย่างตื่นเต้น “จริงหรือ”