ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 372 เจ้าเอาความกล้ามาจากใคร
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 372 เจ้าเอาความกล้ามาจากใคร
การทำลายบรรทัดฐานเก่าเพื่อกำหนดบรรทัดฐานขึ้นมาใหม่คือคำที่ใช้อธิบายความเป็นต้วนหลิงได้อย่างดี
ก่อนหน้านี้เขามีปราณอยู่เพียงขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ และไม่อาจต้านทานเจ้าดำได้แม้แต่น้อย เนื้อหนังมังสาของเขาแทบจะถูกบดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพราะเจ้าสุนัขนั่น
ตอนนั้นเขาอยู่ในสภาวะสิ้นหวัง รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบเปลี่ยนเป็นสีเทาที่ไร้หนทางฟื้นฟู เขาถูกสุนัขตัวหนึ่งฟาดอย่างไร้ความปรานีราวกับเป็นลูกยางจนร่างกายแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ
ทว่ามหาพรตกลับใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายสลับตัวเองเข้ามารับการโจมตีอันโหดเหี้ยมของสุนัขสีดำตัวนั้นแทนเขา
มหาพรตมอดม้วย ส่วนเขา… สามารถทำลายพันธนาการและบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ในที่สุด
ต้วนหลิงไม่เคยรู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน คลื่นพลังหลังการบรรลุปราณส่งผลให้พลังปราณเที่ยงแท้ในร่างของเขาเดือดพล่าน ราวกับมีแม่น้ำและทะเลไหลหลากปั่นป่วนอยู่ภายในแก่นพลัง รัศมีของเขาทรงพลังแกร่งกล้ามากกว่าครั้งใดๆ
กระบี่อสุราในมือเหมือนมีชีวิต เจตจำนงกระบี่ที่แผ่ไปทั่วท้องฟ้าจนทำให้ทุกคนหายใจไม่ออก
นี่คือปราณขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ มีคนในดินแดนทางใต้บรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วจริงๆ!
ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักความลับแห่งสวรรค์จ้องต้วนหลิงที่กำลังระเบิดพลังออกมาด้วยแววตาหมดหวังมืดแปดด้าน เขารู้สึกหนักหน้าอก จากนั้นก็กระอักเลือดออกมากองใหญ่
ต้วนหลิงมองลงมาที่สุนัขสีดำจากระยะไกล พลังที่เพิ่มขึ้นทำให้ความมั่นใจของเขาพองโต
เมื่อนึกถึงสายตาที่มหาพรตมองมาเป็นครั้งสุดท้าย ต้วนหลิงก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นรุนแรงด้วยความเจ็บปวด
กระบี่อสุราปล่อยเสียงอื้ออึง
ร่างของต้วนหลิงพุ่งทะยานไปข้างหน้าอีกครั้ง คราวนี้ร่างทั้งร่างอัดแน่นไปด้วยพลังกดดันแห่งจักรวาล เขาพุ่งเข้าโจมตีหมายกำราบเจ้าดำ
ปีกโลหะคู่กางออก
ร่างของเจ้าขาวพุ่งไปดักข้างหน้าเจ้าดำ ดวงตาของมันแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา จากนั้นห่าพายุมีดสั้นก็ถูกซัดตรงไปยังต้วนหลิง มีดสั้นห่าใหญ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
กระนั้นต้วนหลิงก็ไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยสักนิด หลังแผดเสียงยาว กระบี่อสุราก็ดิ่งลงมา มันฟาดฟันไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเล่นงานมีดสั้นจำนวนมหาศาลของเจ้าขาวจนกระเด็นกระดอนไปทันที
ต้วนหลิงขยับเท้าหนึ่งก้าวก่อนจะมาโผล่ตรงหน้าเจ้าขาวอย่างปุบปับ เขาปล่อยหมัดที่กำแน่นเข้าท้องอ้วนกลมของเจ้าขาว
ปัง!!
ร่างของเจ้าขาวพุ่งลงไปด้านล่างด้วยความเร็วสูงราวลูกระเบิด ก่อนจะตกกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับต้วนหลิงขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้าขาวก็ไม่อาจเทียบชั้นได้
โครม โครม ตู้ม
เศษดินเศษหินฟุ้งกระจายไปทั่ว ดวงตาจักรกลของเจ้าขาวกะพริบแสงสีมัวขณะที่มันคลานออกจากซากปรักหักพัง ถึงจะโดนหมัดซัดเข้าอย่างจังแต่สภาพร่างกายของมันก็ยังดีเยี่ยมไม่บุบสลาย
ต้วนหลิงไม่คิดแยแสหุ่นเชิดน่ารำคาญอีก รังสีสังหารของเขาพุ่งเป้าไปทางเจ้าดำทันที
วันนี้ข้าต้องสังหารสุนัขตัวนี้ให้มอดม้วย ไม่เช่นนั้น… คงไม่มีทางชดเชยให้มหาพรตได้
วื้ด…
เจตจำนงกระบี่พุ่งออกจากร่างของต้วนหลิง เขาคว้ากระบี่อสุราที่หมุนวนอยู่ตรงหน้าก่อนจะขว้างใส่เจ้าดำ ชั่วขณะที่กระบี่อสุราพุ่งออกไป ร่างของต้วนหลิงก็พุ่งทะยานไปเช่นกัน ลำแสงสีแดงเลือดวาบผ่านตอนที่กระบี่อสุราพุ่งลงมา
เจ้าดำยกอุ้งเท้าขึ้น มันใช้คลื่นแสงฟาดกระบี่อสุราที่พุ่งตรงมาจนกระเด็นไป
ฟึ่บ!
ทว่าสีหน้าของต้วนหลิงกลับไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย กระบี่อสุรากลับมาอยู่ในมือของเขาแล้วพุ่งเข้าใส่เจ้าดำอีกครั้ง
ตู้ม ตู้ม ปัง
พลังปราณและโลหิตที่หมุนวนรุนแรงในร่างของต้วนหลิงส่งเสียงกึกก้องดุจฟ้าร้องฟ้าผ่า
ภายในกระบี่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตระดับสูงสุดที่เจ้าลัทธิอสุราได้รับจากการบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ การโจมตีครั้งนี้จัดได้ว่าทรงอานุภาพที่สุด เขาหมายกำจัดสุนัขตรงหน้าด้วยการฟาดฟันกระบี่ในครั้งนี้
“ตายซะ!!”
เงากระบี่ที่ปรากฏขึ้นด้านหลังของต้วนหลิงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า การโจมตีครั้งนี้เต็มไปด้วยพลังกดดันมหาศาล
เมื่อได้ประจักษ์กับเจตจำนงกระบี่ ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ก็หน้าเปลี่ยนสี ต่างตื่นตะลึงกันยกใหญ่
แม้แต่ปู้ฟางก็ยังมีสีหน้าขึงขัง เขามั่นใจในตัวเจ้าดำมากก็จริง แต่ตอนนี้ต้วนหลิงก้าวข้ามขั้นเซียนเทพไปได้แล้ว เจ้าดำจะยังรับมือคู่ต่อกรผู้นี้ได้อีกหรือไม่
ถุย
ปู้ฟางถุยกระดูกมังกรชิ้นสุดท้ายออกจากปากที่มันวับ ตอนนี้เขากินกรงเล็บมังกรหมดเรียบร้อย กลิ่นหอมเข้มข้นยากลืมเลือนยังอบอวลอยู่ในปาก
“กล้าดีอย่างไรถึงคิดลงมือกับท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ไม่เลิกรา”
เสียงนุ่มนวลของเจ้าดำดังขึ้นกลางอากาศอย่างฉับพลัน ถึงจะฟังดูอ่อนโยนรื่นหูแต่ก็แฝงด้วยน้ำเสียงดูแคลน ร่างของเจ้าดำยืดยาวขึ้น มันอ้าปากพลางปล่อยเสียงคำรามราวฟ้าผ่า เสียงนี้ใกล้เคียงเสียงคำรามของมังกรอย่างยิ่ง
ร่างของต้วนหลิงชาวาบ ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ เขาแผดเสียงออกมาเช่นกันแล้วส่งการโจมตีไปอีกระลอก
เจ้าดำยกอุ้งเท้าเล็กๆ น่ารักของมันขึ้นมา ครั้งนี้มันเองก็ไม่มีความเมตตาหลงเหลืออยู่เช่นกัน!
ปัง!!
อุ้งเท้าสุนัขปะทะกระบี่อสุรา
ทุกคนต่างคาดเดากันว่าต้องเกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นปฐพีแน่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้พวกเขาไม่อยากเชื่อสายตา
คำว่าสะเทือนเลื่อนลั่นนั้นเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย
ภาพที่เห็นตรงหน้า… คือการเข่นฆ่าชนิดไร้ความปรานีชัดๆ!
ดวงตาแดงก่ำของต้วนหลิงแข็งทื่อ เขาลอยค้างอยู่กลางอากาศไม่ไหวติง รู้สึกราวกับว่าทุกสิ่งรอบตัวเงียบสงัด ไม่มีแม้เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังก้องข้างหู อุ้งเท้าสุนัขฟาดลงมาแล้วบดขยี้ทุกสิ่งเป็นเสี่ยงๆ
เงาของกระบี่แตกสลาย
กระบี่อสุรา… ป่นปี้
พลังกดดันของจักรวาลที่รุนแรงเกรี้ยวกราดซึ่งเขาเรียกออกมา… ระเบิดเป็นผุยผง! แม้จะมีปราณขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ ทว่าการโจมตีอันรุนแรงถึงตายของต้วนหลิงกลับเปราะบางราวชิ้นเต้าหู้เมื่อต้องเผชิญกับอุ้งเท้าสุนัข มันเทียบกับอุ้งเท้าสุนัขอันน่าเกรงขามไม่ได้เลย ทั้งยังแตกสลายเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าต่อตาเขาอีกด้วย
ตู้ม ตู้ม ปัง!!
หลังจากความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง เสียงระเบิดต่อเนื่องก็ดังขึ้นข้างหูของต้วนหลิง
ร่างของเขาไม่ต่างอะไรจากว่าวที่สายป่านขาด เจ้าลัทธิอสุราตกลงบนพื้นไกลออกไปอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดฝุ่นตลบ
ทั้งที่บรรลุปราณขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วแท้ๆ แต่เขายังถูกสุนัข… เล่นงาน
“มันเป็นสุนัขประเภทใดกัน”
หัวใจของต้วนหลิงมีแต่ความสับสนและท้อแท้
“หืม ยังไม่ตายอีกรึ”
เจ้าดำอุทานด้วยความประหลาดใจตอนรู้ว่าต้วนหลิงแค่ถูกซัดกระเด็น แทนที่จะกลายเป็นเถ้าถ่านเหมือนหญิงสาวก่อนหน้านี้
“สมกับเป็นขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายของหมอนี่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามาก...”
เจ้าดำเลียริมฝีปากพลางถอนหายใจ แต่มันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร หากฟาดครั้งเดียวเอาไม่อยู่ ก็ต้องฟาดสองครั้ง… ร่างของเจ้าดำวูบไหวแล้วมาโผล่ตรงที่ต้วนหลิงตกลงมากระแทกพื้นพอดี ควันโขมงที่ลอยขึ้นบนอากาศถูกพลังกดดันรุนแรงผลักกลับมาที่พื้น
เจ้าดำเดินนวยนาดเข้าไปหาต้วนหลิงด้วยท่วงท่าเหมือนแมวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ร่างของมันค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมในแต่ละย่างก้าว กลับมาเป็นสุนัขตัวอ้วนอีกครั้ง
ต้วนหลิงนอนจมเศษหินเศษปูนด้วยสีหน้าซบเซา ความโหดเหี้ยมในดวงตาสีแดงก่ำลดลงไปมากราวกับเป็นกระแสน้ำที่ไหลย้อนกลับ
เขาล้มเหลว… อีกแล้วรึ
“ทำไม ทำไมแค่สุนัขข้าก็ยังเอาชนะไม่ได้ทั้งที่บรรลุปราณระดับสิบขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว!”
เขาไม่อยากยอมรับ แต่ความรู้สึกอับจนหนทางก็เอ่อล้นขึ้นมา รูม่านตาของเจ้าลัทธิอสุราสั่นไหวเบาๆ ตอนที่เห็นสุนัขสีดำเดินมาอยู่ข้างๆ
สุนัขสีดำยกอุ้งเท้าขึ้น พ่นลมออกจมูกอย่างขุ่นเคือง แล้วฟาดอุ้งเท้าลงบนหัวของอีกฝ่าย
ปัง!!
กำแพงเมืองสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว ถนนเป็นรอยแตกทอดยาว เสียงระเบิดรุนแรงดังก้องขึ้นในใจของชาวเมืองทุกคน เสียงนั้นราวกับเป็นฝันร้ายที่เกิดขึ้นในใจ
กึก…
หอคอยโลหะขนาดกระจ้อยร่อยสีดำสนิทร่วงออกมาจากกองซากปรักหักพัง มันกระดอนพื้นแล้วเด้งมาหยุดอยู่ข้างขาของเจ้าดำ
มันเป็นหอคอยเล็กๆ หน้าตาเรียบง่ายไร้ซึ่งคลื่นพลังปราณ ดูราวกับเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่งเท่านั้น
เจ้าดำรู้สึกฉงนเมื่อเห็นว่าหอคอยจิ๋วนี้หน้าตาคุ้นๆ ชอบกล
คึ่กๆ…
ทันใดนั้นหอคอยจิ๋วก็โคลงเคลง แก่นวิญญาณดวงหนึ่งล่องลอยออกมาจากซากปรักหักพัง ใบหน้าของวิญญาณดวงดังกล่าวเต็มไปด้วยอาการต่อต้านรุนแรง เป็นใบหน้าของเจ้าลัทธิอสุรานั่นเอง
ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกถูกดูดเข้าไปในหอคอยจิ๋ว หอคอยที่ก่อนหน้านี้ไร้ซึ่งคลื่นพลังปราณกลับสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
มันระเบิดพลังออกมาอย่างฉับพลัน ทำเอาเจ้าดำตกใจ ก่อนจะขยับถอยหลังออกมาจากหอคอยจิ๋วสองก้าว
หอคอยจิ๋วพุ่งขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศ มันสั่นสะท้านรุนแรง จากนั้นก็ปล่อยเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังออกมา ก่อนจะกลายเป็นลำแสงแล้วหายวับไป…
เจ้าดำทำตาเยิ้มใส่หอคอยที่กำลังเลือนหาย มันแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ในใจมีแต่ความสับสน สาบานได้ว่าเคยเห็นหอคอยจิ๋วนี้มาก่อน แต่เห็นที่ไหนเห็นเมื่อไร… มันจำไม่ได้เลย
เมื่อนึกไม่ออก เจ้าดำก็ไม่เสียเวลาคิดอีกต่อไป
เจ้าดำสำรวจซากปรักหักพังรอบตัวแล้วเชิดหัวขึ้น มันพ่นลมเยาะออกจมูกก่อนจะเดินเยื้องย่างราวกับแมวกลับไปที่หน้าร้าน หาจุดสบายๆ แล้วล้มตัวลงนอน
“ไอ้หนู อย่าลืมว่าเจ้าติดหนี้ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้เป็นซี่โครงเนื้อมังกรขั้นเซียนเทพผัดเปรี้ยวหวาน”
เจ้าดำมองมาที่ปู้ฟาง เอ่ยเตือนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะงีบหลับไป
ปู้ฟางพยักหน้าอย่างใจเย็น เขาเคยชิมเนื้อมังกรขั้นเซียนเทพแล้ว มันยอดเยี่ยมมาก และต้องวิเศษมากแน่หากเอามาทำซี่โครงผัดเปรี้ยวหวาน
“เอาละๆ ทุกอย่างจบลงแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเองได้”
ปู้ฟางรู้สึกขนลุกเล็กน้อยกับความเงียบสงัดรอบตัว เขาเลิกคิ้วมองสำรวจฝูงชน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ หลังพูดจบประโยคชายหนุ่มก็หันหลังแล้วเดินกลับเข้าร้านไป
ทันทีที่ปู้ฟางพูดจบ ภายในนครหลวงที่เดิมทีเงียบเป็นเป่าสากก็เกิดความโกลาหลขึ้นราวกับเป็นหม้อน้ำเดือดอย่างไรอย่างนั้น