ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 363 ยังเป็นปีศาจร้ายตัวเดิมที่ชอบจับคนแก้ผ้าไม่เปลี่ยน
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 363 ยังเป็นปีศาจร้ายตัวเดิมที่ชอบจับคนแก้ผ้าไม่เปลี่ยน
ณ จุดที่ห่างจากนครหลวงไปหลายร้อยลี้ ชายผู้หนึ่งกำลังโจนทะยานไปในอากาศ พลังปราณที่หลั่งไหลออกจากร่างของเขานั้นทรงพลังเป็นอันมาก เสียงสนั่นดังลั่นออกจากร่างของเขาเรื่อยๆ พร้อมด้วยกระแสพลังปราณที่กระจายออกจากร่างเหมือนทะเลบ้าคลั่ง เสียงนั้นสะท้อนไปในอากาศราวกับเป็นเสียงสายฟ้าฟาด
เจ้าลัทธิอสุราต้วนหลิงทะยานไปในอากาศอย่างองอาจ ทุกย่างก้าวของเขาส่งร่างกายให้พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังกินระยะทางไกลมากอีกด้วย
พลังปราณของต้วนหลิงดำเนินมาถึงขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาใกล้จะทำลายโซ่ตรวนของขั้นเซียนเทพและก้าวเข้าสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่รอมร่อ
ทว่าหมื่นไฟประลัยกัลป์กลับถูกผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการห่วยๆ ชิงเอาไปเสียได้ ต้วนหลิงจึงไม่สามารถบรรลุอีกครึ่งขั้นที่เหลือได้
กระนั้นร่างกายของเขาก็บรรลุความแข็งแกร่งไปอีกระดับเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำให้เขาเก่งกล้ากว่าผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพหลายเท่านัก
ใบหน้าของต้วนหลิงราบเรียบเหมือนน้ำนิ่ง เขาควบคุมพลังแห่งจักรวาลเสี้ยวหนึ่งแล้วหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย ทำให้ความเร็วในการเหาะเหินของเขามากยิ่งขึ้นไปอีก
‘ระดับสิบขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นระดับที่กว้างมาก ขั้นเซียนเทพประกอบไปด้วยชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นปลาย และชั้นสูงสุด แต่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์แตกต่างออกไป’
ต้วนหลิงครุ่นคิดขณะกระโจนไปข้างหน้า
เดิมทีเขามาจากโลกภายนอกดินแดนทางใต้ จึงเข้าใจธรรมชาติของระดับสิบมากกว่าผู้คนที่กำเนิดในดินแดนทางใต้
หากผู้ที่อยู่ในชั้นสูงสุดของขั้นเซียนเทพทำลายโซ่ตรวนชิ้นหนึ่งลงได้ คนผู้นั้นจะก้าวเข้าสู่ระดับสิบขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับสิบที่อ่อนแอที่สุด
ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์เหมือนขั้นเซียนเทพตรงที่แบ่งออกเป็นหลายชั้น
ยิ่งระดับชั้นสูงเท่าไหร่ ระยะห่างของความแข็งแกร่งก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นแม้จะบรรลุเพียงระดับชั้นเล็กๆ แต่ความแข็งแกร่งที่ได้มาก็เพิ่มขึ้นมหาศาล
ลำดับชั้นในขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์แตกต่างจากขั้นเซียนเทพ ทันทีที่ผู้ฝึกตนทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพชิ้นแรกได้สำเร็จ เขาจะก้าวเข้าสู่ชั้นแรกของขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ อันมีนามว่าชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์
ขั้นเซียนเทพมีโซ่ตรวนทั้งหมดห้าชิ้นด้วยกัน แขนและขามีโซ่ตรวนตรึงเอาไว้ข้างละหนึ่งชิ้น และชิ้นสุดท้ายอยู่ที่ศีรษะ ทุกครั้งที่ทำลายโซ่ตรวนได้หนึ่งชิ้น ร่างกายของผู้ฝึกตนผู้นั้นจะถูกชำระล้างด้วยพลังแห่งจักรวาล ทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้นใครก็ตามที่ทำลายโซ่ตรวนได้แม้เพียงชิ้นเดียว ก็จะสามารถพิชิตขั้นเซียนเทพได้อย่างเบ็ดเสร็จ และสยบผู้ฝึกตนเซียนเทพได้ทุกชีวิต
สำหรับชั้นที่สองต่อจากชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์นั้น ถือเป็นชั้นที่หากบรรลุแล้วจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปมังกรซ่อนเร้นเลยทีเดียว
ส่วนชั้นที่สามของขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์… ต้วนหลิงไม่เคยประสบพบเจอกับตัวมาก่อน จึงไม่มีความรู้ในชั้นนี้แต่อย่างใด กระนั้นเขาก็รู้ดีว่าใครก็ตามที่บรรลุปราณชั้นนี้ได้จะสามารถนำสำนักใดก็ตามในทวีปมังกรซ่อนเร้นได้อย่างแน่นอน
ต้วนหลิงสูดหายใจเข้าลึก สีหน้าเปลี่ยนเป็นเฉียบคมเด็ดเดี่ยวมากขึ้น
อย่างไรเสียเดิมทีเขาก็ไม่ได้มีพื้นเพมาจากดินแดนทางใต้ที่แสนคร่ำครึแห่งนี้ เหล่าคนที่อยู่ที่นี่ล้วนมีประสบการณ์อ่อนด้อย พวกเขาเหมือนไม่ได้ตระหนักแม้แต่น้อยว่าดินแดนทางใต้ที่อาศัยอยู่นั้นเป็นเพียงมุมเล็กๆ ในทวีปเท่านั้น
เจ้าลัทธิอสุราโหยหาความแข็งแกร่งเป็นที่สุด โหยหาพลังที่จะทำให้เขาทรงอำนาจ ต้วนหลิงตั้งใจจะกลับไปยังทวีปมังกรซ่อนเร้นเพื่อทำให้คนที่เคยรังแกเขาได้รู้ว่า ต้วนหลิงคนนี้ไม่ใช่พวกที่จะยอมให้คนข่มเหงได้ง่ายๆ
พอทำใจให้สงบได้แล้ว ต้วนหลิงก็ก้าวไปอีกก้าว ร่างกายกระโจนไปข้างหน้ากินระยะทางยาวไกล
จะให้มานั่งคิดนอนคิดอย่างไรก็คงไม่เข้าที หากอยากจะบรรลุปราณอีกชั้น เขาต้องชิงหมื่นไฟประลัยกัลป์มาให้ได้ หากมีเปลวเพลิงนั้น เขาจะสามารถบรรลุปราณและทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพชิ้นแรกที่เหลือเพียงครึ่งหนึ่งได้สำเร็จ จากนั้นก็จะก้าวเข้าสู่ชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นชั้นแรกของขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์
บนพื้นดินด้านล่างต้วนหลิงมีกองทัพที่กำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ก่อนหน้านี้พวกเขาหนีออกจากนครหลวงเพื่อเอาชีวิตรอด จนทิ้งห่างจากกองทัพของจักรวรรดิได้แล้ว
กองทัพของจีเฉิงอวี่พบกับความพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พอได้รับความช่วยเหลือจากมหาพรต พวกเขาก็กลับมาตั้งตัวได้อีกครั้ง และกำลังเดินหน้าสู่นครหลวงอีกครา
ข้างๆ กองทัพมีเกวียนเทียมม้ากำลังเคลื่อนไปข้างหน้า พร้อมด้วยมหาพรตที่ซ่อนใบหน้าเอาไว้หลังหน้ากากเย็นเยียบซึ่งนั่งอยู่ด้านใน
รอบกายนางเต็มไปด้วยยันต์มากมายที่ลอยวนอยู่ จนดูราวกับว่านางสร้างวงแหวนปราณขึ้นมาจากยันต์ที่ดูลึกลับและลุ่มลึกเหล่านี้
กองทัพค่อยๆ เดินหน้าไปเรื่อยๆ จนเห็นเค้าโครงของนครหลวงอยู่ไกลๆ
จีเฉิงอวี่ในชุดเกราะนั่งอยู่บนหลังอาชา เขามองไปยังนครหลวงที่อยู่ไกลออกไปด้วยสีหน้าอ่านยาก เขามาเพื่อตีเมืองอีกครั้ง แต่กลับไม่รู้สึกฮึกเหิมเหมือนเดิม คราวนี้เขากลับกลัวเสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะร้านเล็กๆ ของฟางฟางตั้งอยู่ในนครหลวงแห่งนี้ แล้วใครมันจะมาตีเมืองนี้ได้กันเล่า
แม้แต่ปรมาจารย์อาวุโสแห่งลัทธิอสุรายังต้องจบชีวิตลงที่นี่ด้วยน้ำมือของอสูรเวทขั้นเซียนเทพของร้าน หากพวกเขายังกล้าตีเมืองอีก จะไม่เรียกว่าโง่บ้าซื่อได้ด้วยหรือ
ตอนที่มหาพรตแห่งลัทธิอสุรามายื่นข้อเสนอ จีเฉิงอวี่ปฏิเสธไปตรงๆ ทันที
แต่หลังจากถูกพลังร้ายกาจเข้ากดดัน ใครหน้าไหนมันจะมีทางเลือกให้ปฏิเสธได้อีก
…..
บนกำแพงเมืองแห่งนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว
จีเฉิงเสวี่ยตกใจมากเสียจนสติหลุดไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เขาได้เห็นในวันนี้มากเกินกว่าความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิต
อสูรเวทขั้นเซียนเทพสองตัว…ถูกฆ่าตายอย่างง่ายดายเพียงนี้เองหรือ
อสูรเวทขั้นเซียนเทพทั้งสองตัวทำเอาเขาหวาดกลัวจนแข้งขาอ่อนไปหมด แต่ท้ายที่สุดแล้ว ชะตากรรมของทั้งสองตัวที่เขาเชื่อจริงๆ ว่าสามารถทำลายอาณาจักรของเขาจนไม่เหลือซากได้ กลับกลายเป็นซากอสูรไปในเวลาครึ่งวัน
หนึ่งตัวถูกเถ้าแก่ปู้ชำแหละด้วยสีหน้ารื่นรมย์ ดูจากใบหน้าของชายหนุ่มก็รู้ว่ามองทั้งสองตัวเป็นอาหารมาตั้งแต่แรก
อสูรเวทขั้นเซียนเทพกลับเป็นได้เพียงวัตถุดิบทำอาหารสำหรับคนผู้นี้เท่านั้น… เถ้าแก่ปู้นี่ชักจะเหนือมนุษย์เข้าไปทุกทีแล้ว
เขาไม่เคยเจอใครที่มองอสูรเวทขั้นเซียนเทพเป็นเพียงอาหารมาก่อน อสูรเวทเหล่านี้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในดินแดนทางใต้ และไม่เคยไยดีสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อ่อนแอกว่า
แค่คิดว่าจะเอามันไปทำอาหารจัดใส่จาน ทุกคนก็รู้สึกประหลาดอยู่ในใจแล้ว
ผู้อาวุโสสูงสุดที่ก่อนหน้านี้ตกใจกลัวจนขวัญกระเจิง ในที่สุดก็ผ่อนลมหายใจออกมา สีหน้าเริ่มดีขึ้นบ้าง
ทว่าพอหันไปเห็นปู้ฟางกับสุนัขตัวอ้วนคราวใด ม่านตาของชายชราก็จะหดแคบอย่างไม่ตั้งใจทุกที สุนัขหน้าตาแสนธรรมดาตัวนี้เป็นอสูรเวทที่มีปราณระดับเดียวกับต้วนหลิงเป็นอย่างน้อย ผู้อาวุโสสูงสุดไม่เคยคาดคิดแม้แต่น้อยว่าที่ดินแดนทางใต้จะมีสิ่งมีชีวิตเช่นนี้อยู่ด้วย
เมื่อต้วนหลิงมาถึง การต่อสู้ครั้งใหญ่จะต้องบังเกิดขึ้นอีกแน่นอน
ผู้อาวุโสสูงสุดหยีตา เอามือลูบหนวด ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น
เขายังยืนนิ่งอยู่บนกำแพงเมือง จากนั้นก็โบกมือเรียกยันต์สีขาวออกมา แล้วส่งยันต์แต่ละชิ้นให้ไปลอยอยู่บนมุมของกำแพงเมืองทุกมุม ดูเหมือนว่าชายชรากำลังจะสร้างวงแหวนปราณบางอย่างรอบๆ นครหลวง
หนี่หยันและเยี่ยจึหลิงรีบพุ่งลงจากกำแพงเมืองแล้ววิ่งไปหาปู้ฟางทันที
ในที่สุดเจ้าดำก็เดินมาถึงตัวปู้ฟาง มันโยนซากมังกรเพลิงลงตรงหน้าเขาก่อนหาวออกมาอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็เดินเยื้องย่างกลับร้านไปด้วยท่วงท่าเหมือนแมว แล้วนอนลงตรงจุดเดิมอย่างสบายอารมณ์ ไม่นานนักก็ผล็อยหลับไป
ปู้ฟางเบนสายตาออกจากเจ้าดำไปมองมังกรเพลิงที่หมดลมหายใจแล้ว
ซากตรงหน้าไม่ได้มีพลังกดดันแข็งแกร่งของขั้นเซียนเทพอีกต่อไป เปลวเพลิงรอบกายมังกรก็มอดลงแล้วเช่นกัน
แกรก! แกรก!
เสียงอิฐหินดินทรายร่วงกราวดังมาจากที่ไหนสักแห่งไกลออกไป ชายสองคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงคลานออกจากกองซากปรักหักพัง
ทั้งสองคือผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏนั่นเอง
ร่างกายที่มีสภาพรุ่งริ่งหลุดลุ่ยของคนทั้งสองแหวกออกมาจากกองซากปรักหักพัง เมื่อเห็นซากมังกรเพลิง สิ่งเดียวที่ทั้งคู่รู้สึกคือความหวาดกลัวจนขนหัวลุก ร่างกายของคนทั้งคู่สั่นเทิ้มไปหมด
ตบสองที…แค่สองทีเท่านั้น!
มังกรเพลิงขั้นเซียนเทพที่แสนเก่งกาจจากดินแดนแสนภูผา ผู้ที่ปกป้องหมื่นไฟประลัยกัลป์มานานแสนนาน ถูกสังหารง่ายๆ เสียอย่างนั้น…ด้วยการโดนตบสองที
มีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวขนาดนี้อยู่ในโลกจริงๆ หรือ
ไอ้สุนัขนี่มันหยอกพวกเขาเล่นหรืออย่างไร
มันสามารถสังหารอสูรเวทขั้นเซียนเทพจนตายได้ด้วยการตบเพียงสองที แต่กลับมาใช้ชีวิตอยู่ในจักรวรรดิที่เต็มไปด้วยคนธรรมดาสามัญ แถมยังทำหน้าที่เป็นสุนัขเฝ้าร้านอีก...
ต่อให้อยากทำตัวเป็นสุนัขป่าในคราบลูกแกะเพียงใด ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งใจพยายามซ่อนคมขนาดนี้ก็ได้ นี่มันตบตาปาหี่กันซึ่งๆ หน้าชัดๆ
หากพวกเขามีโอกาสได้เลือกอีกครั้ง จะไม่มีวันตัดสินใจมาโจมตีนครหลวงแน่นอน แต่จะเอาตัวเองออกไปให้ไกลจากสถานที่แห่งนี้ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
“อ้าว… สองคนนั้นยังไม่ตายอีกหรือ”
ปู้ฟางเพิ่งลงมือชำแหละเนื้อมังกรเพลิง เนื้อมังกรเป็นวัตถุดิบที่เขาชื่นชอบที่สุด เนื่องจากเวลาเอาไปทำอาหารมักจะมีรสชาติที่อร่อยล้ำเกินบรรยายเสมอ ไม่ว่าจะทำเป็นเนื้อตุ๋นตำรับจีนหรือซี่โครงเปรี้ยวหวาน
แต่ขณะที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาชำแหละเนื้ออยู่นั้น ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพสองคนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏก็พลันโผล่ออกมาจากกองซากปรักหักพัง
ตอนแรกเขาคิดว่าสองคนนี้ตายไปแล้วเสียอีก
ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพทั้งสองม่านตาหดแคบ ลมหายใจหอบถี่ทันทีที่เห็นว่าปู้ฟางมองมาทางพวกเขา
ทันใดนั้นเอง… ปัง!
ทั้งสองรีบกระโจนไปยังอีกฟากหนึ่งของนครหลวงทันที
ใครสนไอ้หมื่นไฟประลัยกัลป์บ้านั่นกัน หากพวกเขาต้องเอาชีวิตตัวเองไปแลกเพื่อแย่งชิงเปลวเพลิงนั้นมา แล้วจะเอาเปลวเพลิงมาใช้ทำบ้าอะไร
ปู้ฟางมองผู้ฝึกตนทั้งสองที่กำลังเปิดตูดหนีแล้วก็ยิ้มออกมา เขาเอามือลูบท้องเจ้าขาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เบาๆ จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาชำแหละเนื้อมังกรเพลิงต่อไป
ดวงตาของเจ้าขาวกะพริบแสงสีเทาเย็นเยือกโหดเหี้ยม
ครืด!
มันสยายปีกออกแล้วพุ่งไปในอากาศ หายตัวไปเหมือนสายฟ้าแลบ เจ้าขาวพุ่งเข้าประชิดตัวผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏทั้งสองอย่างรวดเร็ว
“ไอ้หนู ในยามที่ปล่อยใครไปได้เจ้าก็ควรไว้ชีวิตพวกเขานะ”
หนึ่งในขั้นเซียนเทพที่กำลังหนีอยู่ตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว พวกเขากลัวเจ้าขาวที่กำลังพุ่งเข้ามาหาจนขนหัวลุกไปหมด
“ผู้ก่อความไม่สงบจะต้องถูกจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชี!”
ดวงตาของเจ้าขาวกะพริบแสงสีแดง เสียงเย็นของมันดังก้องไปทั่วเมือง
หา จับแก้ผ้าเนี่ยนะ
ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพทั้งสองชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงที่กระแทกเข้าใส่ตัว จนทำให้ลูกตาแทบถลนออกจากเบ้า
พอเจ้าขาวมาถึงด้านหลังของพวกเขา มันก็ยื่นมือออกไปกระแทกหลังผู้ฝึกตนทั้งสองที่กำลังหนีทันที
เสียงสนั่นดังขึ้นพร้อมร่างของผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพทั้งสองที่ตกลงกระแทกพื้น ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว
เจ้าขาวกระพือปีก ลมแรงพัดเอาฝุ่นผงที่ตลบไปทั่วให้สลายหายไป
มันลงจอดบนกองซากปรักหักพังแล้วดึงตัวทั้งสองออกมา
“แควก!!”
เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเสื้อผ้าที่ถูกฉีกจนขาดดังไปทั่วนครหลวงที่เงียบสงัด
จากนั้นผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพทั้งสองคนก็โดนโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ใบหน้าของพวกเขาที่กำลังลอยไปในอากาศดูหมองหม่น หมดแรงจะต่อต้าน ทั้งสองถูกส่งออกไปนอกนครหลวงแล้วตกกระแทกพื้นเป็นหลุมใหญ่
เสื้อผ้าที่ทำมาจากหนังอสูรเวทระดับแปดถูกฉีก ราคาของมันจัดได้ว่าแพงพอๆ กับการสร้างเมืองขึ้นมาเมืองหนึ่งเลยทีเดียว!
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความจริงที่ว่าพวกเขาถูกจับแก้ผ้า… ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพผู้แสนยิ่งใหญ่ถูกจับแก้ผ้าเสียล่อนจ้อน...
ทั้งสองโป๊เปลือยอวดก้นอยู่นอกนครหลวง หลังจากร่างได้ลอยไปในอากาศแล้วตกกระแทกพื้นนอกนคร
ภาพนั้นเรียกได้ว่าดูไม่จืดจริงๆ
ทุกคนในนครหลวงได้แต่งงเป็นไก่ตาแตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ยังเป็นปีศาจร้ายตัวเดิมที่ชอบจับคนแก้ผ้าไม่เปลี่ยน
ใบหน้าของโอวหยางเสี่ยวอี้ที่กำลังตื่นเต้นกับปาหี่ตรงหน้าขึ้นสีแดงก่ำด้วยความชื่นใจ เหมือนอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เจ้าขาวโฉมใหม่ยังคงชอบจับคนแก้ผ้าไม่ทิ้งลายจริงๆ
เจ้าขาวก็ยัง…เป็นเจ้าขาวอยู่วันยังค่ำ มันยังใช้วิธีเดิมในการจัดการศัตรู วิธีที่ทุกคนเห็นกันจนชินตา