ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 337 เหตุใดหมอนี่จึงยังไม่ตายกัน
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 337 เหตุใดหมอนี่จึงยังไม่ตายกัน
จันทร์เสี้ยวสองดวงลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าสีหมึก ดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องกะพริบบนฟากฟ้า ดาวตกพุ่งผ่านให้เห็นเป็นครั้งคราว ดาวตกเหล่านั้นเปรียบเสมือนหินที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบกว้าง ก่อให้เกิดวงน้ำกระเพื่อมบนพื้นผิว
เมืองประจิมเร้นลับที่เก่าแก่ยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่แสนสงบ
ร่างสองร่างในชุดคลุมยาวสีดำสนิทพุ่งตรงเข้าหาเมืองนั้น ทั้งสองเคลื่อนไหวราวกับกำลังร่อนไปบนผืนดิน ทุกย่างก้าวส่งพวกเขารุดหน้าไปได้ไกลแสนไกล
วืด!
เสียงลมพุ่งผ่านตัวคนทั้งสอง พัดเอาผ้าคลุมศีรษะของหนึ่งในนั้นให้เปิดออก เผยให้เห็นหน้ากากเย็นเยียบ
“ท่านผู้นำลัทธิ… นั่นคือเมืองประจิมเร้นลับเจ้าค่ะ เราควรเข้าไปหรือไม่เจ้าคะ” มหาพรตถามชายข้างกายนางด้วยความเคารพ ชายผู้นั้นไม่ได้ปล่อยกระแสพลังออกมาจากร่างแม้แต่น้อย
“เป้าหมายของเราคือการนำขุมพลังที่ยิ่งใหญ่มาไว้ในครอบครองเพื่อหลอมจิตวิญญาณแสนดวงในลูกโลกวิญญาณล่วงลับ แล้วเราจะเข้าเมืองไปเพื่ออะไรกันเล่า จิตวิญญาณที่เรามีในลูกโลกวิญญาณล่วงลับจัดว่ายอดเยี่ยมดีอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปแสดงแสนยานุภาพโดยการสังหารหมู่คนทั้งเมืองอย่างไม่มีเหตุผล เพื่อเพิ่มจำนวนวิญญาณให้มากขึ้น” ชายผู้นั้นตอบด้วยน้ำเสียงแหบห้าว ส่วนมหาพรตก็พยักหน้ารับรู้
ทั้งสองหันไปมองเมืองประจิมเร้นลับด้วยสายตาไร้ความรู้สึก จากนั้นก็วนรอบเมืองเพื่อมุ่งหน้าไปสู่เทือกเขากว้างใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง
จุดหมายปลายทางของทั้งสองคือ ดินแดนแสนภูผา
….
“อะไรกัน เจ้าเองหรอกหรือ รีบหนีไปเร็ว!”
เยี่ยผังเหงื่อโทรมกาย เขาใช้พลังทั้งหมดในการปลุกพลังปราณเที่ยงขึ้นมาต้านนกเพลิงในอากาศ ตัวเขาเองก็คิดว่าเป็นกำลังเสริมจากสำนักที่มาถึงเช่นกัน ไม่ได้คาดคิดแม้แต่น้อยว่าจะเป็นพ่อครัวที่ตนและศิษย์พี่เพิ่งเดินไปเจอก่อนหน้านี้
เยี่ยผังชื่นชมปู้ฟางมาก หรือจะพูดให้ถูกก็คือเขาชื่นชอบฝีมือการทำอาหารของปู้ฟางโจ๊กสีแดงนั้นทำให้เขาประทับใจไม่รู้ลืมเลยทีเดียว
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะจากมา เขาได้พยายามโน้มน้าวให้ปู้ฟางออกจากดินแดนแสนภูผาไป เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งในดินแดนที่แสนอันตรายแห่งนี้
ด้วยเหตุนี้เยี่ยผังจึงไม่คาดคิดว่าปู้ฟางจะรุดมาที่นี่ ทั้งๆ ที่เขาออกปากเตือนไปแล้ว คนผู้นี้ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าตอนนี้พวกพวกเขากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ ไม่รู้หรือว่าที่นี่มันอันตรายมาก
กระแสพลังปราณที่เยี่ยผังสัมผัสได้จากตัวปู้ฟางนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย น่าจะเป็นแค่ระดับสี่ขั้นจิตยุทธการเท่านั้น หรืออย่างดีที่สุดก็ขั้นราชันยุทธการ พลังปราณระดับนี้เรียกได้ว่าเป็นเพียงมดปลวกในดินแดนแสนภูผาเท่านั้น
ในมือของปู้ฟางถือเนื้อสุนัขป่าย่างสีเหลืองทองเอาไว้ เนื้อนั้นส่งไอร้อนขาวออกมาทั้งยังมีน้ำมันจากเนื้อหยดลงมาติ๋งๆ กลิ่นเนื้อหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ อีกทั้งชายหนุ่มก็กำลังเคี้ยวเนื้อในมือไปด้วยขณะเดินตรงเข้ามา
รสชาติของเนื้อพอใช้ได้ แต่รสสัมผัสเรียกได้ว่ากินแล้วแทบอยากถุยออกมา แม้ปู้ฟางจะตั้งใจปรุงอย่างสุดฝีมือแล้ว เนื้อนี้ก็ไม่ได้นุ่มลงแต่อย่างใด
นั่นเพราะรสสัมผัสแข็งกระด้างเป็นคุณสมบัติของเนื้อชนิดนี้นั่นเอง การพยายามเปลี่ยนมันให้นุ่มคงจะเป็นงานที่ทั้งยากเย็นและไร้ประโยชน์
พอเขากัดเนื้อเข้าไปอีกสองคำ ปู้ฟางก็เริ่มคิดว่ามันยังจืดชืดไม่ได้เรื่องอยู่ดี
“เฮ้ย เจ้า อย่ามาตรงนี้” เยี่ยผังตะโกนอย่างกระวนกระวาย
เมื่อปู้ฟางได้ยินเสียงตะโกนของเยี่ยผัง เขาก็หันกลับมามองและสังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่กำลังใช้กำลังทั้งหมดที่มีต้านทานนกเพลิง ใบหน้าของปู้ฟางดูประหลาดใจเล็กน้อย
“บังเอิญดีที่เจอกันอีก” ปู้ฟางเอ่ย
บังเอิญ…มันนอนตะแคงมองจากมุมไหนถึงกลายเป็นเรื่องบังเอิญไปได้ หมอนี่ไม่รู้หรอกหรือว่าตอนนี้ตนเองกำลังตกอยู่ในอันตรายเพียงใด
แต่แน่นอนว่าปู้ฟางไม่ได้สนใจอะไรเช่นนั้นแม้แต่น้อย ทันทีที่เขาเห็นมันฝรั่งหัวสิงโตทมิฬ ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเดินดุ่มๆ เข้าไป
ชายหนุ่มผมเทามองปู้ฟางมาตั้งแต่ต้น ทั้งยังสงสัยเป็นอันมากว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นใคร
เมื่อเห็นเจ้าขาวร่างอ้วนที่เดินตามปู้ฟางต้อยๆ ม่านตาของเขาก็หดแคบลงเล็กน้อย “เจ้าเป็นคนของสำนักหุ่นเชิดรึ”
ปู้ฟางไม่รู้ว่าสำนักหุ่นเชิดคืออะไร เขาเลยไม่ได้ตอบ แต่กลับจ้องไปที่มันฝรั่งหัวสิงโตทมิฬด้วยสายตาประหลาดยิ่ง
“ไม่…เจ้าไม่ใช่คนของสำนักหุ่นเชิด แล้วไอ้อ้วนนี่ก็ไม่ใช่หุ่นเชิดซากศพทองแดงของสำนักหุ่นเชิดด้วย มันเป็นตัวบ้าอะไรกัน” ชายหนุ่มผมเทาถาม สายตาของเขาจับจ้องไปที่เจ้าขาวซึ่งเดินอยู่ด้านหลังปู้ฟางไม่วางตา
ดวงตาจักรกลของเจ้าขาวกะพริบเล็กน้อย จากนั้นมันก็กวาดตามองชายหนุ่มผมเทาตั้งแต่หัวจดเท้า
ม่านตาของชายหนุ่มหดแคบลงอีก หัวใจเต้นระส่ำอยู่ในอกด้วยความหวาดกลัว
ส่วนปู้ฟางก็ยังคงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ
ชายหนุ่มผมเทามุ่นคิ้วพลางตะโกนเสียงเย็น “ไปให้พ้น!”
ปู้ฟางหยุดเท้าไปชั่วครู่ มองชายหนุ่มผมเทาตรงหน้าด้วยสายตาไร้ความรู้สึก จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าต่อ
“รนหาที่ตายรึ…” ชายหนุ่มผมเทายิ้มเยาะอย่างเย็นชา ในเมื่อหมอนี่ไม่ได้มาจากสำนักหุ่นเชิด แปลว่าฆ่าได้
เขาโบกมือ จากนั้นนกเพลิงที่กำลังจัดการกับผู้ฝึกตนจากสำนักเจดีย์นภากระจ่างก็สะบัดปีกแล้วเบนเข็มมาหาปู้ฟางทันที หมายจะเผาอีกฝ่ายให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
ดวงตาของเจ้าขาวกลายเป็นสีม่วง มันกำลังจะพุ่งออกไปจัดการ แต่กลับถูกปู้ฟางหยุดเอาไว้เสียก่อน
ชายหนุ่มมองไปที่นกเพลิงซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยสายตาตื่นเต้น
ควันสีเขียววนอยู่รอบมือ จากนั้นกระทะกลุ่มดาวเต่าดำก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า กระทะนั้นหมุนวนในอากาศเล็กน้อย แล้วถูกบังคับให้ก็มาลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา
ในตอนนั้นเองนกเพลิงก็เข้ามาประชิดตัว
ปัง!
เพลิงร้ายเข้าปะทะพร้อมด้วยกระแสความร้อนที่พัดไปทั่วบริเวณ
บรรดาผู้ฝึกตนจากสำนักเจดีย์สภากระจ่างที่อยู่รายรอบหัวใจแทบทะลุออกจากหน้าอก
แม้เปลวเพลิงที่ชายหนุ่มผมเทาใช้จะไม่ใช่เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี แต่พลังของมันก็ยังจัดว่าร้ายกาจยิ่ง
พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวของชายหนุ่มผู้นี้มาก่อนเลยในดินแดนทางใต้แห่งนี้
“ไอ้หมอนั่นจบเห่แล้ว”
สตรีที่เคยเจอกันก่อนหน้านี้มองไปยังจุดที่ปู้ฟางยืนอยู่ แต่แล้วใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อเห็นเปลวเพลิงพุ่งเข้าใส่
น่าเสียดายนัก… เยี่ยผังถอนใจ เขาชื่นชอบทักษะการทำอาหารของปู้ฟางมาก และคิดว่าความตายของพ่อครัวฝีมือระดับนั้นช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่ง
ผู้ฝึกตนคนอื่นจากสำนักเจดีย์นภากระจ่างไม่ได้สนใจปู้ฟางแม้แต่น้อย
สิ่งเดียวที่พวกเขาคิดในตอนนี้คือจะหนีไปจากชายหนุ่มผมเทาอย่างไรดี
แม้พลังปราณของชายผู้นี้จะอยู่เพียงระดับแปดขึ้นเทพแห่งสงคราม แต่พลังของเปลวเพลิงประหลาดทำให้เขาเทียบเคียงได้กับขั้นเซียนเทพระดับเก้าเลยทีเดียว พวกเขาต่อกรกับหมอนี่ไม่ได้แม้แต่น้อย
พวกเขาควรรีบกลับไปบอกบรรดาผู้นำของสำนักเรื่องที่มีผู้ฝึกตนระดับนี้ปรากฏกายขึ้นในดินแดนแสนภูผา
“ข้าจะถ่วงเวลาไอ้หมอนี่เอาไว้เอง พวกเจ้าจงรีบหนีกลับไป” ผู้อาวุโสจากสำนักเจดีย์นภากระจ่างพูดด้วยสายตามุ่งมั่น
เขาพุ่งไปข้างหน้าเพื่อยืนกันศิษย์ของตนเอาไว้จากชายหนุ่มผมเทา
บรรดาศิษย์ดูโศกเศร้า แต่ก็รู้ว่าตนเองคงทำให้ผู้อาวุโสเปลี่ยนใจไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงหันหลังกลับเพื่อจะวิ่งหนีไป
“พวกเจ้าคิดจะหนีหรือ หลังจากที่มาทำตัวจองหองอวดดีต่อหน้าข้าต้วนอวิ๋นผู้นี้น่ะหรือ ยังมีหน้าจะหนีอีก” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเย็นพร้อมโบกมือขึ้น เปลวเพลิงของเขาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เปลี่ยนสภาพไปเป็นฝ่ามือเพลิงขนาดยักษ์
จากนั้นฝ่ามือเพลิงก็วาดลงด้านล่าง พุ่งตรงเข้าใส่เยี่ยผังและศิษย์คนอื่นๆ
แต่ทันทีที่เพลิงซึ่งก่อนหน้านี้กำลังเผาไหม้อยู่ตรงบริเวณที่ปู้ฟางยืน พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยการควบคุมของชายหนุ่มผมเทา เขาก็ถึงกับผงะไป
นั่นเพราะร่างสูงโปร่งนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“เหตุใดเจ้าจึงไม่กลายเป็นขี้เถ้าเมื่อโดนเพลิงของข้าเผา” ต้วนอวิ๋นตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เขาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย เนื่องจากรู้เป็นอย่างดีว่าพลังของเปลวเพลิงนั้นอยู่ในระดับใด
แม้เพลิงสังเคราะห์ของเขาจะไม่ได้ทรงพลังเหมือนเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี แต่เขาก็สามารถใช้มันสังหารขั้นเทพแห่งสงครามได้เลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงคนอย่างปู้ฟางที่ดูไม่ได้แข็งแกร่งอะไร
ต้วนอวิ๋นไม่ใช่คนเดียวที่ตกใจกับความสามารถของปู้ฟาง บรรดาศิษย์จากสำนักเจดีย์สภากระจ่างเองก็ตกใจจนกรามค้างเช่นกัน โดยเฉพาะสตรีที่เจอปู้ฟางก่อนหน้านี้ ตอนที่ปู้ฟางถูกเพลิงเข้าไปเต็มๆ นางคิดว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นขี้เถ้าทันที แต่ผลที่ออกมากลับเหนือความคาดหมายของทุกคนไปไกล
“เขายังอยู่รึ” เยี่ยผังอุทานพร้อมเบิกตากว้าง
ปู้ฟางยังคงยืนอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วนิ่วหน้าทั้งยังมีแววผิดหวังปรากฏอยู่ในดวงตา
กระทะกลุ่มดาวเต่าดำลอยอยู่เหนือศีรษะเขา เพลิงที่ต้วนอวิ๋นส่งมานั้นทำได้เพียงพุ่งเข้าปะทะมันแล้วสลายหายไปในอากาศเท่านั้น
เขาอยากจะลองใช้เพลิงสีแดงนี้ปลุกกระทะกลุ่มดาวเต่าดำให้ทำงาน แต่หลังจากที่ปล่อยให้มันโดนเพลิงยิงใส่อยู่พักใหญ่ อุณหภูมิของกระทะกลับไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
เหมือนที่ระบบว่าไว้จริงๆ เสียด้วย… มีเพียงเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีเท่านั้นที่จะทำให้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำทำงานได้
“ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะต้านทานพลังของเปลวเพลิงสังเคราะห์ของข้าได้ ดูเหมือนว่าข้าจะประมาทเจ้าไปหน่อย… ซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้ได้เก่งนักนะ”
สีหน้าของต้วนอวิ๋นเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขากดยันต์ในมือ จากนั้นฝ่ามือเปลวเพลิงก็เบนออกจากลุ่มศิษย์สำนักเจดีย์นภากระจ่างพุ่งเข้าหาปู้ฟางทันที
ส่วนปู้ฟางกลับมองต้วนอวิ๋นด้วยสายตาที่มองคนบ้า
เขาเพิ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้และแค่อยากดูมันฝรั่งหัวสิงโตทมิฬเท่านั้น แต่ไอ้ต้วนอวิ๋นอะไรนี่กลับอยากจะสังหารเขาขึ้นมาเฉยๆ ช่างเป็นสถานการณ์ที่คิดอย่างไรก็ไม่มีวันเข้าใจ
ปัง!
ฝ่ามือเพลิงตบลงใส่ปู้ฟางเต็มๆ เพลิงร้ายทำเอาพื้นดินมอดไหม้กลายเป็นตอตะโก จากนั้นก็พุ่งกลับขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนเมฆรูปเห็ด
คราวนี้คงได้ฤกษ์ตายจริงเสียที…
ต้วนอวิ๋นถอนหายใจออกมาเบาๆ พลังของฝ่ามือนั้นรุนแรงกว่านกเพลิงเป็นอันมาก นกเพลิงนั้นเขาแค่เอาไว้ใช้เล่นๆ เท่านั้น ชายหนุ่มคิดว่าถึงอย่างไรปู้ฟางก็ต้านทานการโจมตีเมื่อครู่ไม่ได้แน่นอน เพลิงร้อนเหมือนนรกนั้นเกิดจากการสังเคราะห์ของสารเคมีที่คนธรรมดาไม่อาจทานทนได้
เมื่อศิษย์จากสำนักเจดีย์นภากระจ่างได้เห็นพลังจากฝ่ามือเบื้องหน้า ปากของพวกเขาก็กระตุกทันที
หากเป็นพวกเขาที่ถูกฝ่ามือเพลิงนั้นตบ ป่านนี้คงกลายเป็นขี้เถ้ามอบสารอาหารให้ผืนดินไปเรียบร้อยแล้ว
“คราว…คราวนี้น่าจะไม่รอดนะ” เยี่ยผังมองไปยังเปลวเพลิงที่เผาไหม้อย่างร้อนแรงด้วยสายตาไม่แน่ใจ
จากนั้นม่านตาของเขาก็หดแคบเมื่อเห็นเค้าโครงของคนที่ค่อยๆ โผล่ออกมาจากเปลวเพลิง
เมื่อเห็นภาพเดิมฉายซ้ำ กล้ามเนื้อในกายของต้วนอวิ๋นก็เกร็งขึ้นมาทันที
เขามองไปที่เปลวเพลิงเขม็ง เพลิงนั้นพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วพลันสลายตัวทันทีพร้อมด้วยเสียงถอนใจเบาๆ
ทันใดนั้นกระทะสีดำขนาดใหญ่ก็ลอยออกจากเปลวเพลิง พุ่งเข้าหาต้วนอวิ๋น
กระทะบ้าอะไรกันนี่
ต้วนอวิ๋นชะงักไป เขาพยายามยกมือปัดกระทะ เพราะแค่เห็นกระทะพุ่งเข้ามาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์แล้ว
แต่ทันทีที่มือของต้วนอวิ๋นสัมผัสกระทะ ใบหน้าเรียบเฉยก็พลันปรากฏขึ้นหลังกระทะ
ปู้ฟางจับกระทะไว้มั่น จากนั้นก็ฟาดใส่ต้วนอวิ๋นอย่างจัง