ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - ตอนที่ 52 ขนมปังแผ่นหอยนางรมสำหรับสั่งกลับบ้าน
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- ตอนที่ 52 ขนมปังแผ่นหอยนางรมสำหรับสั่งกลับบ้าน
องค์ชายรัชทายาทมองหน้าปู้ฟางด้วยความตกใจเหลือล้น พลางคิดว่า “หมอนี่สติไม่ดีรึ เอาความกล้ามาจากไหนถึงพยายามต่อรองกับพวกผู้ฝึกตนระดับนักพรตยุทธการ แถมยังขู่จะจับแก้ผ้าประจาน… ต่อหน้าประชาชีอีก พูดเช่นนี้มั่นใจมากหรือว่าตนเองมีปัญญาพอจะทำได้”
จีเฉิงอันมองปราดเดียวก็รู้ว่าปู้ฟางมีพลังปราณอยู่ที่ระดับใด ชายหนุ่มตรงหน้าเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับสามขั้นคลั่งยุทธการเท่านั้น แม้แต่มดปลวกยังไม่มีสิทธิ์เป็นด้วยซ้ำเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ แล้วหมอนี่มันไปเอาความมั่นใจผิดๆ เช่นนี้มาจากที่ใดกัน
ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์เอามือกอดอก ดวงตามองดูเจ้าของร้านอาหารตรงหน้าด้วยความสนอกสนใจ ตั้งใจว่าถึงอย่างไรวันนี้จะต้องได้เห็นปู้ฟางโดนสั่งสอนจนหลาบจำอย่างแน่นอน
นอกจากองค์ชายรัชทายาทแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ของตระกูลเซียวก็มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเช่นเดียวกัน ในความคิดของพวกเขา พ่อหนุ่มนี่เป็นเพียงคนโง่เง่าไม่ดูตาม้าตาเรือเท่านั้น
สายตาเย็นเยียบคมกริบเหมือนปลายกระบี่ของเซียวเหมิงและเซียวเยวี่ยจับจ้องไปที่ปู้ฟางพร้อมกัน บรรยากาศภายในร้านพลันหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มเจ้าของร้านถือเหยือกสุราหัวใจหยกเยือกแข็งเอาไว้ในมือหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างกำลังลูบพุงใหญ่ๆ ของเจ้าขาว หุ่นยนต์เหล็กตัวยักษ์มาปรากฏตัวข้างๆ เขาโดยไม่มีผู้ใดรู้สึกตัว ดวงตากะพริบแสงสีแดงวาบ
สายตาของทั้งบิดาและบุตรแห่งตระกูลเซียวตวัดไปมองเจ้าขาวทันที “หุ่นเชิดจักรกลนี่…”
บรรยากาศภายในร้านตึงเครียดขึ้นอีกขั้น ทว่าตอนที่ทุกคนคิดว่าปู้ฟางกำลังจะตายอย่างเขียดนั้นเอง แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงก็ถอนหายใจออกมา เขาหันหลังกลับเพื่อเดินไปยังทางเข้าร้าน
“วันนี้ข้าจะไว้หน้าเถ้าแก่ปู้ก็แล้วกัน ตามข้าออกมา มาสู้กันให้รู้หมู่รู้จ่าข้างนอกเถิด”
มุมปากของเซียวเยวี่ยตวัดขึ้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นเหนื่อยหน่ายใจ
“เหตุใดข้าต้องทำตามที่ท่านบอกด้วย ถ้าทำเช่นนั้นก็แปลว่าข้าต้องกลายเป็นฝ่ายเสียหน้าน่ะสิ” เซียวเยวี่ยเดินเข้าไปหาปู้ฟางเพื่อรับเหยือกสุรามาถือไว้ในมือ
แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมามอง เขายกมือขึ้น ทันใดนั้นพลังปราณเที่ยงแท้ก็ซัดออกจากฝ่ามือ แปรเปลี่ยนเป็นกระแสพลังที่พุ่งเข้าพันเกี่ยวเหยือกในมือเซียวเยวี่ยเอาไว้
แม่ทัพใหญ่ออกแรงกระตุกเพียงเล็กน้อย เหยือกสุราหัวใจหยกเยือกแข็งก็ลอยมาเข้ามือ
รูม่านตาของเซียวเยวี่ยหดแคบ รังสีที่แผ่ออกจากกายเปลี่ยนไปทันที เขาส่งพลังปราณของตนเข้าไปเกี่ยวเหยือกเอาไว้เช่นกัน
“ข้าบอกว่าถ้าอยากจะตีกัน… ก็ให้ออกไปตีข้างนอกไง” ปู้ฟางพูดหน้าตายเมื่อเห็นทั้งสองตั้งท่าจะวางมวยกันอีกครั้ง
ทั้งเซียวเหมิงและเซียวเยวี่ยพ่นลมเย้ยออกมาพร้อมกัน ก่อนพุ่งออกนอกร้านไปยืนอยู่กลางตรอกแคบ
ช่างน่าขนพองสยองเกล้าเสียจริง! เมื่อทั้งสองออกจากร้านไป บรรยากาศก็พลันเปลี่ยนกลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง ทุกคนหอบตัวโยน สีหน้าหวาดกลัวถึงขีดสุด
องค์ชายรัชทายาทจีเฉิงอันมองหน้าปู้ฟางอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งเซียวเยวี่ยและแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงทำตามที่หมอนี่พูดแล้วออกไปสู้กันข้างนอกจริงๆ เสียด้วย… สิ่งที่เกิดขึ้นจริงช่างต่างจากสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้เหลือเกิน
“ไอ้หมอนี่… มันใช้เล่ห์กลอะไรกันนะ!” จีเฉิงอันหายใจออกอย่างหนักหน่วง พลางพูดพร้อมมุ่นคิ้ว
ซูฉีถอนหายใจ องค์ชายของเขาไม่ได้รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของร้านนี้แม้แต่น้อย จึงไม่มีวันเข้าใจความโหดเหี้ยมเกินบรรยายของหุ่นเชิดโลหะตัวอ้วนนั่นได้เลย
ส่วนคนอื่นๆ นั้นได้แต่จ้องมองปู้ฟางราวกับเขาเป็นปีศาจ เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ผู้นี้กลับมีอำนาจบังคับให้ผู้ฝึกตนระดับนักพรตยุทธการทำตามได้
“มองอะไรกันอยู่ ร้านปิดแล้ว เชิญออกไปกันเสียให้หมด” ปู้ฟางกวาดสายตามองแขกในร้านพร้อมออกคำสั่งเสียงเรียบให้กลับบ้านไป เขาไม่สนใจสายตาตกใจของคนเหล่านี้แม้แต่น้อย
“เถ้าแก่ปู้ ข้า…”
“ข้าก็บอกไปแล้วอย่างไร… ว่าอาหารจานนั้นไม่ได้มีไว้ขาย หากเจ้าอยากกินก็เอาวัตถุดิบของตัวเองมา” ก่อนที่องค์ชายรัชทายาทจะพูดจบ ปู้ฟางก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
องค์ชายหนุ่มเคืองเล็กน้อยที่โดนแทรก แต่ดวงตาก็พลันเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน หากเขานำวัตถุดิบของตนเองมา ปู้ฟางจะยอมทำให้เช่นนั้นรึ
นอกจากองค์ชายหนึ่งแล้ว องค์ชายสามจีเฉิงเสวี่ยเองก็ดวงตาเป็นประกายเช่นกัน
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าลาก่อนก็แล้วกัน” หลังจากที่ได้ข้อมูลไป องค์ชายรัชทายาทก็หันหลังกลับไปด้วยสีหน้าชื่นมื่น แล้วออกจากร้านไปพร้อมซูฉี เพื่อรีบไปดูการต่อสู้ระหว่างเซียวเหมิงและเซียวเยวี่ย
คนอื่นก็กระวีกระวาดออกไปเช่นกัน การต่อสู้ระหว่างสองพ่อลูกนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง จึงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
เซียวเสี่ยวหลงออกคำสั่งให้บ่าวไพร่อุ้มเซียวเยียนอวี่ขึ้นแล้วจากไปเช่นกัน แม้อาการเจ็บป่วยของนางจะดีขึ้นแล้ว แต่ร่างกายก็ยังอ่อนเพลียอยู่มาก
ภายในพริบตา แทบทุกคนก็หายวับออกจากร้านไป ร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้กลับมาร้างผู้คนอีกครั้ง
“นายท่านตัวเหม็น ข้าเองก็ต้องขอตัวก่อน พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่นะ” โอวหยางเสี่ยวอี้ยิ้มจนตาหยี นายท่านตัวเหม็นไม่ได้โกหกนางจริงๆ เสียด้วยว่าจะช่วยเซียวเยียนอวี่ให้ได้
ปู้ฟางไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย ทำเพียงหันหลังเดินกลับเข้าครัวไป โอวหยางเสี่ยวอี้แลบลิ้นปลิ้นตาใส่แผ่นหลังของชายหนุ่ม ก่อนจะกระโดดโลดเต้นออกจากร้านไป
ในคืนนั้น ทั่วทั้งนครหลวงไม่อาจสงบเงียบได้เหมือนปกติ
ราชากระบี่หัวใจสะบั้นปรากฏตัวที่นครหลวงอีกครั้ง ทั้งยังต่อสู้กับแม่ทัพใหญ่เซียวด้วย
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าทั้งสองสู้กันเพื่อแย่งสุราหนึ่งเหยือก คู่แค้นพ่อลูกต่อสู้กันจากทิศตะวันออกของเมืองไปจนถึงทิศตะวันตก และวนกลับไปยังทิศตะวันออกอีกครั้ง ทั้งสองสู้กันพัลวันเพื่อแย่งสุราเหยือกนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ
ความสามารถด้านการยุทธ์ของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงนั้นยากหาผู้ใดเทียบเทียม ทว่าราชากระบี่หัวใจสะบั้นก็เก่งกล้าสามารถจนผ่าผืนฟ้าได้ในกระบี่เดียว การต่อสู้นี้ทำให้ทั้งนครหลวงตกอยู่ในความวุ่นวาย จนสถานการณ์ที่ล่อแหลมอยู่แล้วคาดเดาได้ยากขึ้นไปอีก
การต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้ผู้ฝึกตนจากสำนักต่างๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในนครหลวงออกจากที่ซ่อนทีละคนสองคน การประลองกำลังน้อยใหญ่อุบัติขึ้นทั่วนคร ในตรอกซอกซอยต่างๆ กระแสพลังปราณเที่ยงแท้ระเบิดออกมาติดๆ กันเหมือนพลุสีสันสดสวย
ทว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีผลต่อปู้ฟางเลยแม้แต่น้อย
หลังจากปิดร้านเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินเข้าครัวไป ไม่ว่าภายนอกจะโกลาหลเพียงใด ภายในร้านเล็กๆ ของฟางฟางจะยังคงบรรยากาศแห่งความสงบเอาไว้ได้เสมอ สิ่งที่เขาต้องทำในคราวนี้คือการลองทำอาหารจานใหม่
“ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่ทำภารกิจฉุกเฉินสำเร็จ ท่านได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารโอสถทิพย์ น้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิง และได้ช่วยชีวิตสาวงามเอาไว้ได้ในที่สุด ระบบจะมอบรางวัลให้ท่าน ณ บัดนี้
“ระบบมอบรางวัลให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ขอความกรุณานายท่านตรวจสอบดู”
เสียงเรียบของระบบดังขึ้นในศีรษะของปู้ฟาง ดวงตาของชายหนุ่มพลันสว่างขึ้นทันที จิตใจสงบลงอย่างฉับพลัน
“รางวัลจากระบบ: ขนมปังแผ่นหอยนางรมสำหรับสั่งกลับบ้าน”
“ขนมปังแผ่นหอยนางรมน่าจะเป็นขนมขบเคี้ยวชนิดหนึ่งสินะ” ปู้ฟางคิด หลังจากที่อ่านเจอว่าอาหารรายการนี้สามารถหิ้วกลับบ้านได้ เขารู้ดีว่าโดยปกติแล้วระบบจะไม่ให้ซื้ออาหารจานหลักกลับบ้าน
“นี่น่ะรึรางวัลที่ข้าได้จากการทำงานหลังขดหลังแข็งมาครึ่งวัน…” ปู้ฟางคิด อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารตัวเอง
“ขนมปังแผ่นหอยนางรมเป็นขนมขบเคี้ยวที่ไม่เหมือนใคร ขนมชนิดนี้ทำมาจากน้ำนมข้าว หัวไชเท้าหั่นฝอย หอยนางรม หัวหอมสับ เนื้อบด และวัตถุดิบอื่นๆ อีกมากมาย ขนมนี้ต้องนำไปทอดให้เหลืองกรอบด้วยวิธีการพิเศษ รสชาติของมันอร่อยล้ำ ทั้งยังมีรสชาติและกลิ่นที่เลิศล้ำน่าจดจำค้างอยู่ในปาก”
ปู้ฟางไม่เคยกินขนมปังแผ่นหอยนางรมมาก่อนตอนอยู่บนโลก จึงสนอกสนใจอาหารชนิดนี้อยู่ไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ ในขณะที่ข้างนอกกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ชายหนุ่มก็เริ่มทำอาหารจานใหม่อย่างมีความสุขอยู่คนเดียวในครัว
ระบบเตรียมวัตถุดิบให้เหมือนเคย โดยใส่เอาไว้ในตู้แยก ปู้ฟางนำหัวไชเท้าสีขาวผ่องออกมา หัวไชเท้านี้คุณภาพดีกว่าหัวไชเท้าที่เขาหั่นเพื่อฝึกทักษะการใช้มีด
เพียงแค่ถือเอาไว้ในมือก็รู้สึกได้ถึงพลังปราณเข้มข้นที่ไหลเวียน และน้ำหัวไชเท้าชุ่มฉ่ำที่อยู่ภายใน
เรื่องการหั่นฝอยนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา หลังจากที่หั่นหัวไชเท้าเป็นเส้นยาวบาง เขาก็กวาดเส้นหัวไชเท้าไปพักไว้ก่อน จากนั้นก็นำเนื้อออกมาชิ้นหนึ่งเพื่อบด แล้วใส่ไว้ในชามเล็ก หัวหอมเองก็ผ่านการตระเตรียมเรียบร้อยเช่นกัน ส่วนหอยนางรมตัวอ้วนเขาก็ล้างจนสะอาด
หอยนางรมนี้ไม่ใช่หอยนางรมธรรมดา แต่เป็นหอยนางรมระดับสูงสุดจากชายฝั่งของดินแดนรกร้างปักษ์ใต้ หอยนี้เต็มไปด้วยพลังปราณ จัดเป็นวัตถุดิบประกอบอาหารชั้นเยี่ยม
หลังจากที่เตรียมวัตถุดิบเรียบร้อย ปู้ฟางก็เริ่มทำน้ำนมข้าว เขาต้องใส่ใจขั้นตอนนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากน้ำนมข้าวต้องไม่เหลวหรือข้นจนเกินไป
หากน้ำนมขาวเหลวเกินไป ขนมปังแผ่นจะแตกได้ง่าย แต่หากข้นเกินไป ขนมปังก็จะแข็งและทำให้รสชาติที่ค้างอยู่ในปากไม่ดีเท่าที่ควร
ปู้ฟางเอาเครื่องโม่ขนาดเล็กออกมาจากตู้เก็บของ จัดการยืดเส้นยืดสายให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมตัวโม่ข้าวสำหรับทำน้ำนมข้าว
……………………………….