ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - ตอนที่ 39 หั่นไชเท้าพันหัว
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- ตอนที่ 39 หั่นไชเท้าพันหัว
ดวงตาคู่นั้นเจิดจ้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวงในคืนมืดมิด แจ่มแจ้งราวกับเป็นจุดสีขาวในหมึกสีดำสนิท
ดวงตาของสุนัขสีดำตัวใหญ่จับจ้องอยู่ที่ชิ้นซี่โครงควันฉุยเคลือบด้วยซอสเปรี้ยวหวานสีส้มส่งกลิ่นหอมชวนหิวที่อยู่ระหว่างซี่ตะเกียบ
ความหิวกระหายในดวงตาคู่นั้นทำให้ปู้ฟางผงะไปข้างหลังด้วยความตกใจ
“พับผ่าสิ! เจ้าดำ รู้หรือไม่ว่าการที่เจ้าโผล่มาจ้องข้าเช่นนี้มันน่ากลัวเพียงใด” มือของชายหนุ่มสั่นจนเกือบทำซี่โครงตกจากตะเกียบ
ลิ้นของเจ้าดำห้อยออกจากปาก ดวงตายังคงจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มเจ้าของร้าน
“เจ้าอยากกินไอ้นี่หรือ” ชายหนุ่มถามหน้าตาย โบกซี่โครงเปรี้ยวหวานไปมา เจ้าดำพยักหน้าลิ้นห้อยอย่างว่านอนสอนง่าย
ใบหน้าแข็งทื่อของชายหนุ่มไม่ขยับแม้แต่น้อย แต่มุมปากกลับฉีกกว้างเป็นรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็อ้าปากยัดซี่โครงเปรี้ยวหวานชิ้นอวบอ้วนนุ่มลิ้นเข้าไปหมดในคราวเดียว
ชายหนุ่มมีซี่โครงอยู่เต็มปาก เขากัดลงไปที่เนื้อและเริ่มเคี้ยว ภายนอกริมฝีปากเปรอะเปื้อนไปด้วยซอสเปรี้ยวหวานสีส้ม
ดวงตาของเจ้าดำจ้องซี่โครงเขม็ง เมื่อเห็นว่าปู้ฟางกินซี่โครงเข้าไป ดวงตาของมันก็มืดมิด กำลังใจในการใช้ชีวิตเหือดหาย ราวกับท้องฟ้าจะถล่มโลกจะทลายลงมาก็ไม่ปาน
“ช่างน่าหงุดหงิดอะไรเช่นนี้! เจ้ามนุษย์นี่มันตั้งใจแน่ๆ !” เจ้าดำคิด
เจ้าดำเดือดดาลเป็นอันมากที่ไม่ได้กินซี่โครงชิ้นนั้น ขนของมันตั้งชัน ปากแยกเขี้ยวขาว ดวงตาจ้องชายหนุ่มเขม็ง
แต่ตอนนี้ปู้ฟางไม่มีเวลามาสนใจเจ้าดำแม้แต่น้อย รสชาติยอดเยี่ยมเกินจินตนาการของเนื้อหมูป่าเมฆาทะยานระเบิดอยู่ในปากเขา กลิ่นหอมหวนของเนื้อราวกับเป็นระเบิดปรมาณูที่เข้าครอบงำต่อมรับรสของเขาในพริบตา
รสชาติกลมกล่อมสมบูรณ์แบบของซอสผสานกับเนื้อหมูชั้นยอดไม่เปรี้ยวหรือหวานจนเกินพอดี
สัมผัสของเนื้อไม่แข็งจนเกินไป หลังจากทอดกรอบด้วยกรรมวิธีประณีตมันก็กรอบกรุบลงตัว แป้งทอดที่ชุบเนื้อหมูเองก็กรุบกรอบอร่อยล้ำ
เนื้อหมูส่วนที่ใช้เป็นซี่โครงส่วนใกล้กระดูกสันหลัง ซึ่งหลังจากที่ปู้ฟางทำให้นุ่ม มันก็ทั้งนุ่มและอ่อนนิ่ม แถมยังมีกระดูกอ่อนกรุบกรอบอยู่ภายในด้วย ทุกครั้งที่กัดลงไปจะส่งเสียงกรึบออกมา เพิ่มความอร่อยของรสชาติอาหารให้ทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก
ดวงตาของปู้ฟางสว่างวาบขณะใช้ตะเกียบคีบซี่โครงเปรี้ยวหวานขึ้นมาอีกชิ้น แล้วส่งเข้าปากไปด้วยความเร็วแสง เขาหยีตาเล็กอย่างสุขใจ ปากเคี้ยวซี่โครงหมุบหมับ ตกอยู่ในวังวนของโลกแห่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจ
สุนัขสีดำตัวใหญ่กำลังโกรธจัด! มันโบกหางไปมาเดินพล่านไปทั่วร้าน ดวงตาละล้าละลังตัดสินใจไม่ถูก “ข้าจะเข้าไปฉกซี่โครงมาจากมนุษย์หน้าโง่นี่เลยดีไหมนะ”
“ไม่ได้สิ หากไอ้มนุษย์นี่ไม่ยอมให้อาหารสุนัขรูปงามอย่างข้าอีกในอนาคตล่ะ สุนัขรูปงามอย่างข้าติดใจฝีมือของมนุษย์หน้าโง่นี่เข้าให้แล้ว!
“เอาอย่างไรดี จะแย่งดีหรือไม่แย่งดี” จำนวนซี่โครงเปรี้ยวหวานหายไปจากจานกระเบื้องสีฟ้าขาวอย่างรวดเร็ว เจ้าดำรู้สึกราวกับว่าหัวใจค่อยๆ เต้นโหวงเหวงด้วยความว่างเปล่า…
ท้ายที่สุดก็เหลือซี่โครงอยู่บนจานเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
ตะเกียบในมือปู้ฟางค่อยๆ ยื่นเข้าไปสัมผัสซี่โครงชิ้นสุดท้ายบนจานนั้น ปลายตะเกียบบีบเข้าไปที่ชิ้นซี่โครง ซอสเปรี้ยวหวานบนชิ้นเนื้อกระจายไปทั่วบริเวณ ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจให้รุนแรงขึ้นอีก
ดวงตาของเจ้าดำแทบมีน้ำตาคลอเบ้าขณะมองซี่โครงชิ้นสุดท้ายด้วยความอาลัย!
ปู้ฟางทำท่าเคี้ยว สีหน้าของเขาน่าขันเป็นที่สุด อาจเรียกได้ว่าเป็นสีหน้าที่มีสีสันที่สุดในชีวิตของเขาแล้วก็เป็นได้
“อะ เอาไป ดูเหมือนว่าข้าจะใจดีเกินไปจริงๆ เสียด้วย” ชายหนุ่มพูดพร้อมคีบซี่โครงชิ้นสุดท้ายให้เจ้าดำ
เจ้าดำดีใจเหมือนได้ทองคำแท่ง ดวงตาของมันเจิดจรัสด้วยแสงแห่งความหวังที่อธิบายไม่ถูก ขณะกินซี่โครงเปรี้ยวหวานหมดในคำเดียว
กลิ่นหอมเข้มระเบิดออกมาในปากของมัน ร่างทั้งร่างพาลสั่นไหว ใบหน้าเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ มันส่งเสียงหอนออกมาด้วยความสุขใจ
ปู้ฟางชะงักอึ้ง… แค่ได้กินซี่โครงชิ้นเดียว สุนัขบ้านกลับกลายสภาพเป็นสุนัขป่าได้อย่างไร
หลังจากกินซี่โครงเข้าไปเรียบร้อย เจ้าดำก็ยังไม่รู้สึกพอใจ ทว่าปู้ฟางผู้ชั่วร้ายกลับกินหมดจานเสียแล้ว มันจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเดินกลับไปนอนหลับที่หน้าร้านดังเดิม
ปู้ฟางเองก็ค่อยๆ ล้างจานอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเข้านอน
เช้าวันต่อมา ชายหนุ่มตื่นแต่ไก่โห่
เขาล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าครัวไป วันนี้ปู้ฟางตั้งใจตื่นเร็วกว่าปกติเพื่อมาฝึกทักษะการใช้มีดฝนดาวตกที่ระบบมอบให้ เพียงแค่ชื่อก็ฟังดูน่าประทับใจแล้ว
ทันทีที่ชายหนุ่มเดินเข้าครัวมา สายตาก็ปะทะเข้ากับมีดทำครัวเล่มใหญ่หนา
“จงหั่นไชเท้าหนึ่งพันหัวด้วยมีดทำครัวชนิดพิเศษเล่มนี้ให้เสร็จภายในครึ่งชั่วยาม ทุกชิ้นจะต้องมีขนาดเท่ากันไม่ผิดเพี้ยน หลังจากที่ทำภารกิจฝึกฝนทักษะเสร็จ ท่านจะได้รับคะแนนทักษะการใช้มีดฝนดาวตกรวมสิบคะแนน” ระบบพูดเสียงตายด้าน
หั่นไชเท้าพันหัวภายในครึ่งชั่วยาม ทุกชิ้นต้องมีขนาดเท่ากันเป๊ะ… มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพ่อครัวทั่วๆ ไป แต่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับปู้ฟาง
ทว่าเมื่อเขาคว้ามีดสั่งทำพิเศษที่ทั้งใหญ่ทั้งหนามาไว้ในมือ ใบหน้าของชายหนุ่มก็มืดมนลง
มีดที่ทำมาจากวัสดุใดก็ไม่รู้ได้นั้นหนักจนแทบไม่อยากเชื่อ หากใช้เพียงมือเดียว ปู้ฟางทำได้เพียงยกมันขึ้นจากเขียงเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้มีดนี้ทำภารกิจให้สำเร็จ
“ระบบ เจ้าตั้งใจทำให้ชีวิตข้ายากขึ้นเช่นนั้นรึ” ปู้ฟางถามระบบด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
“ในฐานะชายที่จะกลายเป็นพ่อครัวเทพในอนาคต ท่านกำลังบอกว่าท่านทานทนความลำบากเล็กน้อยมิได้หรือ เส้นทางการเป็นพ่อครัวเทพไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบนะพ่อหนุ่ม ท่านต้องเรียนรู้การอดทนไม่ย่อท้อกับความยากลำบาก ระบบเชื่อมั่นในตัวท่านอย่างเปี่ยมล้น จงฝึกให้หนักเพื่ออนาคตที่สดใส” ระบบให้กำลังใจเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ทำให้ปู้ฟางชะงักไปทันตา
เขารู้ดีว่าเถียงกับระบบไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้เพียงฝึกฝนตามคำแนะนำของระบบเท่านั้น
ชายหนุ่มหยิบไชเท้าสีขาวอ้วนมาไว้ในมือ จากนั้นก็ยกมีดหนักแสนหนักขึ้นหั่นไชเท้าเป็นชิ้นลูกเต๋าอย่างชำนาญมือ ไชเท้านั้นเป็นไชเท้าสีขาวธรรมดา แต่คุณภาพยอดเยี่ยม ทั้งฉ่ำน้ำและอวบอ้วนเต็มมือ
หลังจากที่หั่นไชเท้าหัวแรกเสร็จ ชายหนุ่มก็หยิบไชเท้าหัวที่สองมาเริ่มหั่นเต๋าต่อทันที เมื่อตัดสินใจเริ่มฝึกแล้ว เขาก็จะทำให้เต็มความสามารถ ทักษะการใช้มีดนั้นเป็นทักษะที่ต้องใช้สมาธิสูงมาก และการมีใจจดจ่อก็เป็นวิธีเดียวที่จะฝึกทักษะนี้ได้สำเร็จ
ด้วยเหตุนี้ เสียงใบมีดกระทบเขียงจึงดังเป็นจังหวะออกจากครัวของร้านเล็กๆ ของฟางฟางตั้งแต่เช้าตรู่
…
“หา นายท่านตัวเหม็นไม่เปิดร้านหรอกหรือวันนี้”
โอวหยางเสี่ยวอี้และคนอื่นๆ มาถึงร้านเล็กๆ ของฟางฟาง และพบว่ามีคนมาเข้าแถวรอแต่เช้าแล้ว หลายคนพยายามชะเง้อดูในร้านว่าเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ฮึ! อย่าบอกนะว่าหมอนี่มันรู้เรื่องที่เราพนันกันไว้เลยไม่กล้าเปิดร้าน” เจ้ารู้เก๋อในชุดสีขาวทั้งตัวเยาะเย้ยด้วยท่วงท่าสง่างาม
“เถ้าแก่ปู้เนี่ยนะจะกลัวอะไร หยุดพล่ามไร้สาระได้แล้ว ไปยืนรอในแถวอย่างสงบเสียเถอะ แล้วมอบโอสถรวมปราณระดับห้าให้พี่หญิงเยียนอวี่เสียแต่โดยดี” เด็กหญิงตัวน้อยถากถางเป็นคำตอบ
สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางและสองพี่น้องตระกูลเซียวเองก็มาด้วยเช่นกัน ทั้งห้าประหลาดใจที่วันนี้ร้านยังไม่เปิดเหมือนทุกครั้ง
“อาจจะเกิดเหตุขัดข้องทำให้เถ้าแก่ปู้เปิดร้านช้าก็เป็นได้” เซียวเยียนอวี่พูดด้วยน้ำเสียงหวานอ่อนโยน “รอกันอีกสักพักหนึ่งเถิด”
ทันทีที่สิ้นเสียงนาง ปากทางเข้าร้านก็เปิดออก ปู้ฟางยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าพวกเขาด้วยสีหน้าตายด้าน
“ร้านเปิดแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าร้านไป
ในแถวมีลูกค้าอยู่แปดคน เมื่อรวมพวกเจ้ารู่เก๋อและคนอื่นๆ แล้ว ก็มีลูกค้าอยู่เพียงสิบห้าคนเท่านั้น
โอวหยางเสี่ยวอี้รีบวิ่งเข้าร้านไปช่วยเถ้าแก่ พร้อมทั้งใช้โอกาสนี้ถามปู้ฟางว่าหมักสุราไปถึงไหนแล้ว
“ตายแล้ว นายท่านตัวเหม็น เหตุใดมือท่านถึงสั่นไม่หยุดเช่นนี้เล่า” โอวหยางเสี่ยวอี้จ้องไปที่มือของปู้ฟางที่กระตุกไม่หยุด
ปู้ฟางมองนางก่อนพูดเรียบๆ “ไม่มีอะไร อีกสักพักก็หาย”
มือเขาสั่นไม่หยุดเนื่องจากหั่นไชเท้าด้วยมีดสั่งทำพิเศษหนักอึ้งอยู่นานกว่าครึ่งชั่วยาม… ต่อให้ใช้มีดธรรมดาหั่นก็คงไม่วายสั่นอยู่ดี นับประสาอะไรกับมีดสั่งทำที่หนักเป็นพิเศษกันเล่า
ไม่นานนักระบบก็อัดพลังปราณอ่อนโยนเข้ามาในแขนของเขา ทำให้อาการชาและกระตุกหายไป
เจ้าอ้วนจินและสหายสั่งอาหารด้วยความตื่นเต้น เสี่ยวอี้เองก็ไม่ได้รีบบอกปู้ฟางว่ามีการพนันเกิดขึ้น เมื่อเจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนกินอิ่มเรียบร้อย ก็ถึงตาเจ้ารู่เก๋อและคนอื่นๆ เดินเข้าร้านมาเสียที
เมื่อชายหนุ่มหน้าตาเย่อหยิ่งในชุดขาวเหยียบเข้ามาในร้าน เขาก็รู้สึกถึงอารมณ์ตื้นตันใจจนอยากร้องไห้พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ … ในที่สุดเขาก็จะได้กินอาหารของร้านนี้เสียที!
“นายท่านตัวเหม็น ไอ้หมอนี่มันวางเดิมพันปรามาสไว้ว่าสุราร้านนายท่านด้อยกว่าสุราน้ำอัญมณีทิพย์ของวังหลวง!” เมื่อเจ้ารู่เก๋อและคนอื่นๆ เหยียบเข้าปากประตูร้านมา โอวหยางเสี่ยวอี้ก็ตะโกนเสี้ยมปู้ฟางทันที
ชายหนุ่มเจ้าของร้านผงะเล็กน้อย ก่อนเอ่ยหน้าตายตามสูตร “สุราน้ำอัญมณีทิพย์… ก็แค่น้ำล้างมือ”
……………………………..