ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - ตอนที่ 37 ซี่โครงเปรี้ยวหวานและทักษะการใช้มีดฝนดาวตก
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- ตอนที่ 37 ซี่โครงเปรี้ยวหวานและทักษะการใช้มีดฝนดาวตก
“นายท่าน ขอแสดงความยินดีที่ทำกำไรได้ห้าร้อยผลึก ทั้งยังทำภารกิจระยะสั้นสำเร็จ นายท่านจะได้รับรางวัลตอบแทนเร็วๆ นี้…”
จู่ๆ เสียงเรียบเฉยก็ดังขึ้นในหัวของปู้ฟางจนชายหนุ่มตกใจสร่างเมาทันที
เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านไปหลายวันจนทำเงินได้มากถึงห้าร้อยผลึกแล้ว แม้แต่ใบหน้าตายด้านของปู้ฟางยังกระตุกรอยยิ้มที่มุมปากเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ชายผู้ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นพ่อครัวเทพ ยินดีด้วยที่ทำภารกิจเพิ่มยอดขายระยะสั้นสำเร็จ ท่านได้เข้าใกล้เป้าหมายของตนไปอีกหนึ่งก้าวแล้ว รางวัลที่ได้รับก็คือ วิธีการทำซี่โครงเปรี้ยวหวาน ทักษะการฝึกฝนการใช้มีดฝนดาวตก และเสี้ยวหนึ่งของชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ”
“ซี่โครงเปรี้ยวหวานรึ!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงระบบพูดคำนี้ ปู้ฟางก็กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว เขาคุ้นเคยกับอาหารจานนี้ดี เนื่องจากเป็นอาหารจานโปรดของเขาบนโลก
ชายหนุ่มดีใจเป็นอันมากที่ได้อาหารจานใหม่ แถมยังเป็นซี่โครงเปรี้ยวหวานของโปรดอีกด้วย เขามีความสุขมากเสียจนตัวแทบลอย
อาหารจานอร่อยอย่างซี่โครงเปรี้ยวหวานนั้นมีกลิ่นหอมอย่างเหลือเชื่อ เนื้อเคลือบซอสสีน้ำตาลส้ม รสชาติทั้งเปรี้ยวและหวานสมชื่อ ภายนอกกรุบกรอบส่วนภายในนุ่มจนแทบละลายในปาก ทันทีที่กัดลงไป กลิ่นหอมเข้มข้นของเนื้อจะระเบิดออกมาภายในปาก ทำให้ใครก็ตามที่ได้ลิ้มลองรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวังวนอันน่าประทับใจ
ซี่โครงเปรี้ยวหวานนั้นจัดเป็นอาหารที่ทำให้ทุกคนตกหลุมรักได้จริงๆ
ปู้ฟางพยายามสู้กับความต้องการที่จะเดินเข้าครัวไปทำอาหารจานนี้กินเสียเดี๋ยวนี้ และเปิดดูรายละเอียดของทักษะการใช้มีดฝนดาวตกแทน แน่นอนว่าชายหนุ่มเชี่ยวชาญการใช้มีดเป็นอย่างดี เนื่องจากทำอาหารมานานหลายต่อหลายปีจนมีวิธีการใช้มีดเฉพาะตน
“การฝึกทักษะการใช้มีดฝนดาวตก ในฐานะชายผู้ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นพ่อครัวเทพ ท่านต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้มีดเพื่อประกอบอาหาร การฝึกฝนทักษะนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ท่านจงฝึกฝนการใช้ทักษะนี้เป็นประจำทุกวัน เพื่อสะสมแต้มประสบการณ์และพัฒนาขีดความสามารถในการใช้มีดให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น เมื่อท่านพิชิตทักษะนี้ได้แล้ว ฝีไม้ลายมือการใช้มีดของท่านจะรวดเร็วปานฝนดาวตก และจะสามารถหั่นสิ่งใดก็ตามให้เป็นชิ้นเท่ากันได้อย่างประณีตสมบูรณ์แบบ”
ปู้ฟางชะงัก จากนั้นหน้าสรุปตัวละครก็ปรากฏขึ้นในศีรษะของเขา
นายท่าน: ปู้ฟาง
ระดับพลังปราณเที่ยงแท้: ระดับสาม (ท่านสามารถรวมพลังปราณเที่ยงแท้ไว้ภายนอกร่างได้แล้ว ในฐานะพ่อครัวเทพในโลกแห่งจินตนาการ ท่านจะต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการประกอบอาหาร จงฝึกฝนอย่างหนักต่อไปนะ พ่อหนุ่ม)
พรสวรรค์การทำอาหาร: ยังไม่เปิดใช้งาน
ทักษะ: ทักษะการใช้มีดฝนดาวตกระดับหนึ่ง (0/100)
อุปกรณ์: ชิ้นส่วนของชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ (3/4)
คะแนนรวมการเป็นพ่อครัวเทพ: พ่อครัวฝึกหัด (ในที่สุดท่านก็สามารถใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการทำอาหารได้ จงฝึกทักษะการใช้มีดต่อไป และเส้นทางการเป็นพ่อครัวเทพจะเปิดให้ท่านก้าวเดินสักวันหนึ่ง จงฝึกฝนอย่างหนักต่อไปนะ พ่อหนุ่ม)
ระดับของระบบ: สามดาว (สัดส่วนการแปลงหน่วยอยู่ที่ร้อยละ 25 ลูกค้าสามารถนำวัตถุดิบที่ต่ำกว่าระดับสี่มาเองได้)
เมื่อปู้ฟางอ่านคำอธิบายจนจบ เขาก็สูดหายใจเข้าลึกเพื่อทำใจให้สงบ
ชายหนุ่มยกมือของตนเองขึ้นแล้วออกคำสั่งในใจ จากนั้นก็พลันรู้สึกถึงกระแสพลังที่ไหลคดเคี้ยวเหมือนงู เคลื่อนที่ออกจากหนึ่งในเส้นปราณในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว และส่งพลังระเบิดออกจากฝ่ามือเขาเหมือนก๊าซสีขาว
การรวบรวมพลังปราณเที่ยงแท้ภายนอกร่าง! เขาสามารถรวบรวมพลังปราณเที่ยงแท้ภายนอกร่างได้จริงๆ! ปู้ฟางอ้าปากค้างด้วยความตกใจ รู้สึกราวกับตนเองเป็นผู้ฝึกตนในนิยายก็ไม่ปาน ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
การจะได้พลังปราณระดับสามขั้นคลั่งยุทธการมาครอบครองนั้น เขาต้องสะสมพลังปราณให้ได้ร้อยผลึก ก่อนหน้านี้เขาทำกำไรได้ห้าร้อยผลึก สัดส่วนการแปลงหน่วยของระบบระดับสองอยู่ที่ร้อยละ 20 หลังจากแปลงหน่วยเรียบร้อยแล้ว พลังปราณที่เขาได้รับมีค่าร้อยผลึก จึงทำให้เขาบรรลุพลังปราณระดับสาม และกลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นคลั่งยุทธการในที่สุด
เมื่อสองสามวันก่อนเขายังเพิ่งบรรลุปราณระดับสองไปหยกๆ มาวันนี้กลับบรรลุขั้นปราณอีกครั้งแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกไม่อยากเชื่อผลลัพธ์นี้
หากคนอื่นมาเห็นเหตุการณ์นี้เข้า พวกเขาคงรู้สึกไม่อยากเชื่อมากขึ้นไปอีก
กระนั้นความตกใจของปู้ฟางก็อยู่ไม่นาน เขาสงบจิตสงบใจลงในที่สุด ตัวเขาเองนั้นไม่เหมือนคนอื่น ถึงจะมีพลังปราณเที่ยงแท้อยู่ในระดับสาม แต่หากต้องต่อสู้กับเซียวเสี่ยวหลงก็คงพ่ายแพ้โดยง่าย เนื่องจากแม้ระดับพลังปราณจะสูงแต่ความสามารถในการต่อสู้กลับไม่มีแม้แต่น้อย
“ข้าสู้ไม่เป็น ก็แล้วมันจะอย่างไรเล่า ในเมื่อข้ามีเจ้าขาวอยู่ทั้งคน” ปู้ฟางคิด
“ระบบ ข้าต้องสะสมพลังปราณเที่ยงแท้อีกเท่าใดจึงจะบรรลุระดับสี่ได้” ปู้ฟางถาม
“การจะบรรลุปราณระดับสี่ขั้นจิตยุทธการได้นั้นต้องใช้หนึ่งพันผลึก ระดับห้าขั้นราชันยุทธการต้องใช้หนึ่งหมื่นผนึก และระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการต้องใช้หนึ่งแสนผลึก” ระบบตอบเสียงเคร่ง
ปู้ฟางยกมือขึ้นทาบอก พยายามต่อต้านความรู้สึกอยากกระอักเลือดออกมาให้รู้แล้วรู้รอด… น่าหงุดหงิดใจเป็นบ้า! นี่เขาจะต้องขายข้าวผัดไข่อีกสักกี่ชามกันกว่าจะได้หนึ่งแสนผลึกมาครอบครอง รับรองว่ามันจะต้องมากกว่าจำนวนปีที่เขาเหลืออยู่บนโลกนี้อย่างแน่นอน
“ดูเหมือนความหวังที่ข้าจะใช้พลังปราณของตัวเองอวดเบ่งกับใครต่อใครจะดับสูญไปเสียแล้ว…” ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความหดหู่
“หากระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการต้องใช้แสนผลึก แปลว่าระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการต้องใช้ล้านผลึก… สวรรค์โปรด ล้านผลึก! หากเอามากองรวมกันเป็นภูเขา คงทับข้าตายกลายเป็นซากกระรอกเป็นแน่แท้
“แล้วถ้าลองคิดเลขต่อไปเล่า ระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม… สวรรค์เป็นพยาน!”
ปู้ฟางตัวสั่น ขนหัวลุกจนไม่กล้าคิดเลขต่อ เขาสงบจิตใจตนเองลงในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นปราณขั้นเจ็ดหรือแปดก็ไม่เกี่ยวกับตัวเขาแม้แต่น้อยในตอนนี้ จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องมานั่งคิดสะระตะแต่อย่างใด ชายหนุ่มรู้สึกว่าชีวิตของตนเองในตอนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
หลังจากหมดเวลาเปิดร้าน เขาก็ปิดทางเข้าร้านแล้วเดินเข้าครัวไปเพื่อศึกษาการทำซี่โครงเปรี้ยวหวานที่ใฝ่ฝัน
…
ณ ท้องพระโรงใหญ่ของพระราชวังหลวง
ประตูท้องพระโรงเปิดออกกว้าง สตรีร่างบางใบหน้าสะสวยมากมายเดินเรียงแถวกันเข้ามาด้านใน พร้อมอาหารจานอร่อยในมือ
เสียงเครื่องสายผีผาดังในอากาศ ล้อกับเสียงกู่เจิงที่ขานรับ
ท้องพระโรงเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง
ที่จุดสูงสุดของท้องพระโรง จักรพรรดิประทับอยู่บนเก้าอี้พนักเตี้ยสีทอง โต๊ะข้างหน้าพรั่งพร้อมไปด้วยอาหารเลิศรสมากมาย ทั้งยังมีนางในสองคนกำลังพัดวีเพื่อความเย็นสบาย
เบื้องล่างด้านซ้ายของจักรพรรดิเป็นที่นั่งของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงผู้ทั้งรูปงามและเก่งกล้าสามารถ และองค์ชายรัชทายาทจีเฉิงอันที่กำลังยิ้มย่อง ด้านขวามีอวี่อ๋องและองค์ชายสามจีเฉิงเสวี่ย บรรยากาศระหว่างองค์ชายทั้งสองค่อนข้างเย็นชาและกระอักกระอ่วนพอตัว
ด้านล่างลงไปอีกเป็นบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว และแขกผู้มีเกียรติอื่นๆ ที่ได้รับเชิญมาร่วมงานเลี้ยง
สมาชิกตระกูลเซียวและตระกูลโอวหยางนั่งอยู่ด้วยกัน โอวหยางเสี่ยวอี้นั่งข้างเซียวเยียนอวี่และกำลังคุยกันอยู่
เซียวเสี่ยวหลงกำลังนั่งจ้องเหยือกไพลินที่บรรจุสุราไว้ภายในด้วยสีหน้าตื่นเต้น ภายในเหยือกนั้นมีสุราน้ำอัญมณีทิพย์
สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางเองก็เลียริมฝีปากและจ้องเหยือกตาไม่กะพริบเช่นกัน
ทั้งสองตระกูลมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือสภาพของจานอาหารตรงหน้าที่แทบไม่ได้แตะเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นภาพที่ดูประหลาดมากในท้องพระโรง
อาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่ปรุงโดยฝีมือของพ่อครัวหลวง รสชาติย่อมต้องอร่อยและอาจเรียกได้ว่าเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในจักรวรรดิเลยก็ว่าได้ ทว่าพี่น้องจากตระกูลเซียวและตระกูลโอวหยางกลับหยุดกินหลังจากตักเข้าปากไปได้คำเดียวเท่านั้น
“อาหารนี่รสชาติแย่เป็นบ้า แย่กว่าอาหารของนายท่านตัวเหม็นสุดๆ ไปเลย…” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดขณะเอาตะเกียบจิ้มชิ้นปลาเล่นด้วยสีหน้าเดียดฉันท์ นางไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย
แม้อารมณ์เช่นเดียวกันจะไม่ได้ปรากฏอยู่บนใบหน้างดงามของเซียวเยียนอวี่ แต่นางก็ไม่ได้มีท่าทางว่าจะหยิบตะเกียบขึ้นมาแต่อย่างใด ทำเพียงมองภาพบรรยากาศภายในท้องพระโรงเท่านั้น
“เหตุผลเดียวที่เรามาที่นี่เป็นเพราะสุราน้ำอัญมณีทิพย์ หากไม่ใช่เพราะเถ้าแก่ปู้ไม่ขายสุราแล้วละก็ ข้าคงไม่แม้แต่จะมาเหยียบที่นี่ด้วยซ้ำ อาหารทั้งหมดนี้ยังเทียบข้าวผัดไข่ของเถ้าแก่ปู้ไม่ได้เลย!” เซียวเสี่ยวหลงพูดพร้อมถอนหายใจ
เมื่อสามพี่น้องตระกูลโอวหยางได้ยินก็พากันพยักหน้าหงึกหงัก โอวหยางเจินเอ่ยสำทับ “ปลาดองเหล้าของเถ้าแก่ปู้นั้นอร่อยเลิศ แม้แต่ผู้ที่ต่อมรับรสตายด้านอย่างพวกเรายังต้องยอมสยบ!”
“จึ๊! พวกเจ้านี่พูดโม้เกินจริงกันเสียเหลือเกิน ไอ้ร้านเส็งเคร็งเช่นนั้นมันจะไปมีอาหารอร่อยได้อย่างไรกัน” เจ้ารู่เก๋อที่นั่งอย่างสง่างามอยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยขึ้นมา
“เจ้าหัวเราะอะไร! หากข้าบอกว่าอร่อย มันก็ต้องอร่อยสิ!” โอวหยางเจินพูด ดวงตาจ้องไปที่เจ้ารู่เก๋ออย่างขุ่นเคือง
“ฝ่าบาทเป็นผู้เลือกพ่อครัวหลวงด้วยตนเองจากพ่อครัวที่มีชื่อเสียงทั่วทั้งอาณาจักร กว่าจะมาเป็นพ่อครัวในวังหลวงได้จะต้องผ่านการคัดเลือกที่เข้มงวดหลายรายการ แล้วพ่อครัวจากร้านเล็กๆ ในตรอกจะไปสู้พวกเขาได้อย่างไรกัน การที่พวกเจ้าเอ่ยปากชมเขามิได้แปลว่าฝ่าบาทไร้ความสามารถในการคัดคนรึ” เจ้ารู่เก๋อเอ่ยเรียบๆ
แม้โอวหยางเสี่ยวอี้จะคิดว่านายท่านตัวเหม็นเป็นคนร้ายกาจ แต่ก็ไม่ชอบให้มีคนมาพูดถึงเขาในแง่ไม่ดี ดวงตาคู่โตของนางจ้องเขม็งไปที่เจ้ารู่เก๋อแล้วเบ้ปาก “เจ้าเคยกินอาหารที่นายท่านตัวเหม็นทำหรืออย่างไรกัน หากไม่เคยกินมาก่อนก็เงียบปากไปเสียเถอะ!”
สีหน้าของเจ้ารู่เก๋อชะงักเก้อ รู้สึกราวถูกลูกศรล่องหนพุ่งเข้าเสียบอก
“รายการต่อไปคือ สุราน้ำอัญมณีทิพย์!”
ตอนที่เจ้ารู่เก๋อกำลังจะตอกกลับนั้นเอง เสียงประกาศเข้มของขันทีก็ดังไปทั่วบริเวณ จากนั้นทุกคนในท้องพระโรงก็พากันตะโกนโห่ร้อง เนื่องจากจุดที่ดีที่สุดของงานเลี้ยงได้มาถึงแล้ว
เจ้ารู่เก๋อพ่นลมเยาะ จากนั้นก็ชี้ไปที่เหยือกไพลินที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า “เห็นสุราน้ำอัญมณีทิพย์นี่หรือไม่ แค่สุรานี้ก็เลิศล้ำกว่าอาหารทุกจานในร้านกะหลั่วนั่นแล้ว!”
สุราน้ำอัญมณีทิพย์คือสุราอันดับหนึ่งในจักรวรรดิวายุแผ่วอย่างแน่นอน… ชายหนุ่มมั่นใจเต็มร้อย!
……………………………