ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - ตอนที่ 334 ถูกส่งเข้านรก
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- ตอนที่ 334 ถูกส่งเข้านรก
ตอนที่ 334 ถูกส่งเข้านรก
โกดังหลวง!
แขนขาขาดกระจายเต็มพื้น
เลือดปะปนกับเสบียงสาดไปทั่วทุกทิศ
คนที่รอดตายก็มีเลือดเปื้อนเต็มหน้า นั่งอยู่บนพื้นด้วยความสับสน
เกิดเรื่องใดขึ้น
ทุกคนต่างกำลังถาม
แต่ไม่มีผู้ใดตอบได้
“โกดังหลวงถูกระเบิดแล้ว!”
หัวหน้าองครักษ์จินอู่ เจิ้งกังนำคณะองครักษ์เดินทางมายังที่เกิดเหตุระเบิดเป็นเวลาแรก
สีหน้าของเขาดำทะมึน ราวกับคาดการณ์ได้ว่าศีรษะของตนเองจะไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้แล้ว
เขาออกคำสั่งให้รวมตัวผู้รอดชีวิตเอาไว้ด้วยกัน ซักถามทีละคน สืบทีละคน
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ส่งคนไปยังสำนักเส้าฝู่ ถามหารายชื่อของโกดังหลวงจากสำนักเส้าฝู่
เขาแอบพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชา “คราวนี้ หากข้ายังคงสืบหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้ สืบหาความจริงไม่ได้ ฝ่าบาทคงต้องทรงตัดหัวของข้าแน่ เมื่อถึงเวลานั้น หัวของพวกเจ้าจะรักษาเอาไว้ได้หรือไม่ คงพูดยาก
ดังนั้นเพื่อหัวบนบ่าของตัวเอง พวกเจ้าทุกคนจงตั้งใจ อย่าได้ปล่อยผ่านเบาะแสใดแม้แต่น้อย คราวนี้ มีคนรอดชีวิตมากมาย ไม่ว่าอย่างไรก็คงสืบหาบางอย่างได้บ้าง”
“ขอรับ!”
บรรดาองครักษ์จินอู่ต่างรู้สึกโกรธเคือง!
ผู้ใดที่มันบังอาจก่อความวุ่นในเมืองหลวงกัน
ทำให้ทุกคนเหมือนแมลงวันที่ไร้หัว หัวบนบ่าใกล้จะตกถึงพื้นอยู่แล้ว
…
หลิงฉางจื้อเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุระเบิดเป็นอันดับแรก แต่กลับถูกองครักษ์จินอู่กีดขวางไว้ด้านนอก ไม่อนุญาตให้เขาเข้าใกล้ผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
หลิงฉางจื้อขมวดคิ้ว จากนั้นเดินไปหาหัวหน้าองครักษ์จินอู่ เจิ้งกัง
“ใต้เท้าเจิ้ง มีเรื่องใดที่ข้าช่วยได้บ้าง”
หัวหน้าองครักษ์จินอู่ เจิ้งกังมองเขา
“ใต้เท้าหลิงมาพอดี เวลานี้ประชาชนบริเวณใกล้เคียงตื่นตระหนกจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี หากใต้เท้าหลิงไม่รังเกียจ ท่านสามารถช่วยออกหน้าปลอบประโลมประชนที่ขวัญเสียได้หรือไม่”
หลิงฉางจื้อยกมือ “เรื่องนี้ไว้ใจข้า”
เขากวาดตามองรอบด้าน พลันพูดขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่รบกวนใต้เท้าเจิ้งสืบคดีแล้ว ขอตัว!”
“ใต้เท้าหลิงไปดี”
…
มีคนมากขึ้นเดินทางมาถึงสถานที่เกิดเหตุระเบิดอย่างต่อเนื่อง
ท่านอ๋องผิงชิน เซียวเฉิงเหวินไม่สนใจอากาศที่หนาวเย็น เขาห่อตัวเองเหมือนบะจ่างเดินลงมาจากรถม้า
เมื่อเห็นคราบเลือดเต็มพื้น สีหน้าของเขาก็ดำทะมึน สายตาน่ากลัวเป็นพิเศษ
หัวหน้าองครักษ์จินอู่ เจิ้งกังไม่อาจไล่เขาตรงๆ ได้ ทำได้เพียงตักเตือนทางอ้อม
“ที่แห่งนี้สกปรก เกรงจะแปดเปื้อนดวงตาของท่านอ๋อง ท่านอ๋องจากไปก่อนดีหรือไม่”
เซียวเฉิงเหวินโบกมือ “เจ้าทำงานของเจ้า ไม่ต้องสนใจข้า เจ้าวางใจ ข้าไม่แทรกแซงการสืบคดีของเจ้า”
หัวหน้าองครักษ์จินอู่ เจิ้งกังหมดหนทาง ทำได้เพียงยกมือคารวะ ก่อนจะหันไปทำงานของตนเองต่อ
เฟ่ยกงกงปรนนิบัติอยู่ข้างเซียวเฉิงเหวิน “ท่านอ๋อง ที่นี่ไม่มีสิ่งใดน่าดู ดูแล้วก็ไม่ได้สิ่งใด สู้ขึ้นรถม้ากลับจวนเถิด อย่างไรก็ตาม ร่างกายของ ท่านอ๋องสำคัญกว่า”
เซียวเฉิงเหวินแหงนหน้ามองฟ้า ท้องฟ้ามืดครึ้ม เกรงว่าจะมีหิมะตกลงมาอีกครั้งในไม่ช้า
เขาถามเฟ่ยกงกง “ผู้อยู่เบื้องหลังต้องการทำสิ่งใดกันแน่ สั่นคลอนใจคนหรือ”
เฟ่ยกงกงคาดเดา “เพื่อสั่นคลอนบังลังก์ของฝ่าบาทหรือไม่ นับแต่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ก็เกิดเหตุระเบิดที่ร้ายแรงสองครั้งติดต่อกัน อีกทั้งยังเกิดขึ้นในเมืองหลวง ลับหลังเกรงว่าจะมีคนแอบวิจารณ์ว่ามันเป็น ‘อาเพศ’ เพียงเพราะฝ่าบาทไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ทำให้สวรรค์โกรธ สวรรค์จึงได้ประทาน ‘โทษ’ ลงมา”
เซียวเฉิงเหวินไม่ปฏิเสธ “จากที่เจ้าพูด เป็นฝีมือของตระกูลขุนนางพวกนั้น?”
“กระหม่อมไม่มั่นใจ เพียงแค่บังอาจคาดเดาเท่านั้น”
เซียวเฉิงเหวินขมวดคิ้ว “หากเป็นฝีมือของตระกูลขุนนางจริง เหตุใดต้องรอจนถึงบัดนี้ ก่อนเสด็จพ่อทรงสวรรคต และฮ่องเต้องค์ใหม่ทรงขึ้นครองราชย์ เวลานั้นไม่ยิ่งดีกว่าหรือ”
เฟ่ยกงกงพูดอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋องหมายความว่า เรื่องนี้มีผู้อยู่เบื้องหลัง”
เซียวเฉิงเหวินส่ายหน้า ยังคิดไม่ตกเกี่ยวกับรายละเอียดภายใน
เวลานี้องครักษ์เดินขึ้นหน้ามารายงาน “ทูลท่านอ๋อง พระราชบุตรเขยหลิวมาถึงแล้ว!”
เซียวเฉิงเหวินหันหน้าไปมองทันที ทันใดนั้นก็พบกับพระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิง
หลิวเป่าผิงก็เห็นเขาเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นฝ่ายเดินเข้ามา
“อากาศหนาวเย็น ได้ยินว่าท่านอ๋องร่างกายไม่สบาย นอนป่วยอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน วันนี้อากาศหนาวเช่นนี้ เหตุใดท่านอ๋องจึงออกมา ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง”
เซียวเฉิงเหวินจ้องมองเขา “วันนี้พระราชบุตรเขยมีเวลา?”
หลิวเป่าผิงกวาดตามองที่เกิดเหตุ พลันถอนหายใจ “เหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้ ข้าย่อมต้องมาดู”
เซียวเฉิงเหวินถามเขา “เหตุระเบิดสองครั้งติดต่อกัน พระราชบุตรเขยมีความคิดเห็นอย่างไร”
หลิวเป่าผิงส่ายหน้า “ไม่มีความคิดเห็น”
หลิวเป่าผิงเลิกคิ้ว “ท่านอ๋องกำลังสงสัยข้าหรือ”
เซียวเฉิงเหวินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ความจงรักภักดีของตระกูลหลิว ข้าไม่เคยสงสัยแม้แต่น้อย”
หลิวเป่าผิงพูดอย่างจริงจัง “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ไว้ใจ! ข้าสามารถให้คำตอบท่านอ๋องได้ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นคดีระเบิดสำนักอาวุธ หรือคดีระเบิดในวันนี้ ล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิวแม้แต่น้อย ตระกูลหลิวของพวกเราเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีต่อราชสำนัก รากฐานก็อยู่เหลียงโจว เมืองหลวงไม่ใช่สถานที่ที่ตระกูลหลิวจะแตะต้องได้ เรื่องนี้ข้าและตระกูลของข้าล้วนจดจำได้ขึ้นใจ!”
เซียวเฉิงเหวินเบนสายที่คาดคั้นกลับมา “ในใจขอพระราชบุตรเขยมีสงสัยผู้ใดหรือไม่”
หลิวเป่าผิงยืนคู่กับเขา มองสถานที่เกิดเหตุที่พังพินาศ
เขาพูด “เดิมทีข้าสงสัยว่าเป็นฝีมือของตระกูลขุนนาง ต่อมาครุ่นคิดดูแล้วคงจะไม่ใช่ ฝ่าบาททรงมอบหมายภารกิจให้ขันทีหลังจากคดีระเบิดสำนักอาวุธ ตระกูลขุนนางยืนขึ้นคัดค้านฝ่าบาท แต่ไม่ถึงกับต้องก่อเหตุระเบิดอีกครั้ง
อีกทั้งการระเบิดในรูปแบบนี้ต้องมีผู้เชี่ยวชาญ หลายวันก่อนข้ายังไปถามผู้คุมการผลิตในสำนักเส้าฝู่มา คนที่รู้เรื่องระเบิดมีจำนวนน้อยมาก เรียกได้ว่านับได้ อีกทั้งแต่ละคนยังถูกองครักษ์จินอู่จับตาดูเอาไว้ โดยหลักแล้วคนเหล่านี้ไม่มีโอกาสก่อคดี”
เซียวเฉิงเหวินเงียบ
เรื่องที่หลิวเป่าผิงสืบได้ เขาก็ย่อมสืบได้
เนื่องจากไม่มีคำตอบ ดังนั้นเขาจึงอยากฟังความคิดเห็นของหลิวเป่าผิง
สุดท้าย เขาก็ไม่ได้แรงบันดาลใจแต่อย่างใด
หลิวเป่าผิงเข้าใกล้เขา พูดด้วยน้ำเสียงกระซิบ “ท่านอ๋อง ท่านว่าจะเป็นอูเหิงหรือไม่”
เซียวเฉิงเหวินขมวดคิ้วมุ่น “มือของอูเหิงไม่ยาวเช่นนั้น ไม่มีทางยื่นมาถึงเมืองหลวง”
“หรือจะเป็นโจรกบฏพวกนั้น”
“ในหมู่โจรกบฏมีคนที่ร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ไม่เพียงปะปนเข้าสำนักอาวุธได้ ยังสามารถปะปนเข้าโกดังหลวงได้อีก”
หลิวเป่าผิงยิ้มเก้อ
เมื่อเห็นคนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งขุนนางฝ่ายใน ทั้งขุนนางราชสำนัก…
เซียวเฉิงเหวินเลือกที่จะจากไปอย่างเงียบๆ
…
เยียนอวิ๋นเกอก็อยู่ท่ามกลางฝูงชน
นางนั่งยองอยู่บนพื้น ใช้นิ้วแตะคราบเลือดที่ปะปนกับเสบียงบนพื้น พร้อมทั้งนำขึ้นมาดม
อาเป่ยรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดนิ้วมือให้นาง
“คุณหนูช่างไม่พิถีพิถัน! พวกสิ่งอัปมงคลเหล่านี้ คุณหนูจะใช้มือไปสัมผัสได้อย่างไร”
เยียนอวิ๋นเกอปรบมือพลันยืนขึ้นพึมพำ “น่าสนใจเสียจริง!”
“เรื่องใดน่าสนใจหรือเจ้าคะ” อาเป่ยสงสัยอย่างมาก
เยียนอวิ๋นเกอมองที่เกิดเหตุ พลันพูดเสียงเบา “คนที่สามารถก่อเหตุระเบิดครั้งนี้ได้ ย่อมต้องเป็นผู้มีความสามารถดีเยี่ยม”
อาเป่ยไม่เข้าใจนัก นางถามเสียงเบา “เหตุใดคุณหนูจึงสนใจคดีระเบิดนี้นัก”
“ตัวอยู่ในเมืองหลวง ทุกคนย่อมต้องสนใจคดีระเบิดนี้ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทุกคน เจ้าคิดว่าจวนองค์หญิงจะสามารถทำเหมือนตัวเองอยู่นอกเรื่องนี้ได้หรือ”
“บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนี้ บ่าวแค่อยากบอกว่าคุณหนูเป็นกุลสตรี เรื่องประเภทนี้ให้พวกผู้ชายไปสนใจเสียดีกว่า คุณหนูทั้งไม่ใช่ขุนนาง ทั้งไม่ใช่องครักษ์จินอู่ ดังนั้น…”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดอีก ข้าเข้าใจที่เจ้าพูดแล้ว ตรงนี้ไม่มีสิ่งใดน่าดู เจ้าติดตามข้าไปยังเรือนพักร่ำรวย”
เอ๊ะ?
“เหตุใดคุณหนูจึงตัดสินใจไปเรือนพัก มันกะทันหันเกินไปหรือไม่ ทางองค์หญิงยังไม่ทราบเรื่องเลย!”
“ส่งคนไปแจ้งท่านแม่ ข้าไม่กลับจวนองค์หญิงแล้ว จะออกเดินทางไปเรือนพักเลย”
เยียนอวิ๋นเกอเดินทางเป็นเวลาสองวัน เหนื่อยทั้งคนทั้งม้า ในที่สุดก็เดินทางมาถึงเรือนพักร่ำรวย
จี้ผิงได้ข่าวล่วงหน้า จึงยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูเรือนพัก
“คารวะเถ้าแก่! หานซินแสออกไปข้างนอกแต่เช้า คาดว่าจะกลับมาพรุ่งนี้”
“ข้าไม่ได้มาเพราะเรื่องของโรงงาน หลินเสี่ยวเป่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
จี้ผิงเข้าใจทันที “ยังมีชีวิตอยู่! ตอนนี้ถูกขังอยู่ในคุก”
โจรกบฏหลินเสี่ยวเป่า ตัวแสดงหลักของคณะผิงสี่ คนบ้านเดียวกันกับโจรกบฏซือหม่าโต่ว นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ติดตามของอีกฝ่าย
จี้ผงให้คนไปนำตัวหลินเสี่ยวเป่าออกมาจากคุก พร้อมทั้งเช็ดตัวของเขาให้สะอาด เพื่อไม่ให้เถ้าแก่รู้สึกเหม็น
หลังจากจัดการเขาเสร็จ จึงได้นำตัวเขามาหาเถ้าแก่ เยียนอวิ๋นเกอ
ยังคงเป็นโกดังที่กว้างขวาง
เยียนอวิ๋นเกอมองพินิจหลินเสี่ยวเป่า อืม ยังถือว่าเป็นผู้เป็นคน
ถึงแม้จะขังคนเอาไว้ แต่ไม่ได้ถูกทรมาน
เพียงแค่ไม่เห็นแสงแดดเป็นเวลานาน กินก็ไม่พอ สีหน้ายังคงซีดเซียวเหมือนคนป่วย
หรืออาจเป็นเพราะเสื้อผ้าที่สวมอยู่มีน้อยชิ้น อากาศที่หนาวเกินไป เขาจึงนั่งตัวสั่นปากสั่นอยู่บนพื้น
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มให้เขา “หลินเสี่ยวเป่า เจ้าไม่ได้พูดความจริงกับข้า!”
หลินเสี่ยวเป่าพลันตัวสั่น พลันผงะ สายตาเหม่อลอยเล็กน้อย
เป็นเวลานานกว่าเขาจะเปล่งเสียงออกมาได้
“ข้าไม่เข้าใจที่คุณหนูสี่พูด ข้าพูดในสิ่งที่ข้ารู้ทั้งหมดแล้ว ไม่มีปิดบังแต่อย่างใด”
เยียนอวิ๋นเกอโบกมือ “เจ้าไม่ได้พูดความจริง อย่างน้อยไม่ได้สารภาพทุกอย่างให้กระจ่าง พูดเถิด พวกเจ้ายังมีคนอยู่ในเมืองหลวงมากน้อยเพียงใด”
“ไม่มีแล้ว! รายชื่อทั้งหมดให้ท่านไปแล้ว คุณหนูสี่จะสงสัยข้าไม่ได้”
“ไม่มีแล้วจริงหรือ เจ้าลองคิดดูให้ดี มีคนที่เจ้าเห็นว่าไม่สำคัญหรือไม่ อาทิพวกช่างฝีมือที่เจ้าตกหล่นไป?”
“ไม่มี! คุณหนูสี่ ข้าเป็นแค่นักแสดง วันทั่วไปไม่แสดงละครอยู่ในโรงละคร ก็ไปแสดงในจวนของคนรวย ช่างฝีมือใดกัน ช่างฝีมือที่ข้ารู้จักก็มีเพียงคนในคณะละคร ช่างฝีมือด้านนอกไม่มีโอกาสได้ดูการแสดงของข้า”
หลินเสี่ยวเป่าพูดมีเหตุผล
คณะผิงสี่เป็นคณะละครที่มีระดับ ไม่แสดงให้ประชาชนทั่วไปดู เพราะประชาชนทั่วไปจ่ายไม่ไหว
เยียนอวิ๋นเกอลูบพนักเก้าอี้เบาๆ “ข้าบอกความจริงกับเจ้าก็ได้ ในเมืองหลวงเกิดเหตุระเบิดสองครั้ง มีคนตายจำนวนมาก ได้ยินถึงตรงนี้ เจ้านึกเรื่องใดขึ้นได้บ้างหรือไม่”
หลินเสี่ยวเป่าผงะไป ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมาด้วยความดีใจ
จี้ผิงทำท่าจะลงมือ เยียนอวิ๋นเกอห้ามเขาเอาไว้
หลินเสี่ยวเป่าหัวเราะจนพอใจแล้ว เขาหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา
เขาพูดเสียงดัง “ลิขิตสวรรค์! มันเป็นลิขิตของสวรรค์! ฮ่องเต้ทรงไร้มโนธรรม แม้แต่สวรรค์ก็ทนดูต่อไปไม่ได้ จึงได้ประทาน ‘บทลงโทษ’ เช่นนี้ ฮ่าๆ …ซือหม่าโต่วย่อมต้องกลายเป็นเจ้าแห่งมวลชน เขาย่อมจะบุกเข้าเมืองหลวงได้อย่างแน่นอน”
“เจ้าหุบปาก!”
จี้ผิงเดินเข้าไปตบหน้าอีกฝ่าย ตบจนหลินเสี่ยวเป่าตาลาย
เยียนอวิ๋นเกอพูดอย่างจริงจัง “คดีระเบิด เจ้ารู้เรื่องมากน้อยเพียงใด”
“ฮ่าๆ…”
หลินเสี่ยวเป่าเปล่งเสียงหัวเราะด้วยใบหน้าที่บวม “ข้าไม่รู้เรื่องใดทั้งสิ้น คนที่ข้ารู้จักไม่มีผู้ใดร้ายกาจเช่นนี้ คุณหนูสี่ มันคือลิขิตสวรรค์ มันคือ ‘อาเพศ’ แผ่นดินนี้กำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว! แผ่นดินนี้กำลังจะเปลี่ยนคนปกครองแล้ว ฮ่าๆ …”
“หุบปาก มิเช่นนั้นเจ้าจะตายทั้งเป็น”
เมื่อจี้ผิงส่งเสียง หลินเสี่ยวเป่าก็หยุดหัวเราะทันที
เขากลัวจี้ผิงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่สายตาก็ยังฉายแววหวาดกลัว
เห็นได้ชัดว่าเขาเคยเสียเปรียบในมือของจี้ผิง
ความหวาดกลัวที่มีต่อจี้ผิงถูกผนึกเข้าไปในกระดูกแล้ว
เพียงแค่จี้ผิงส่งเสียง เขาก็จะตอบสนองตามสัญชาตญาณทันที
เยียนอวิ๋นเกอเอามือเท้าคาง จ้องเขม็งไปที่หลินเสี่ยวเป่า “หากพูดเช่นนี้ คดีระเบิดทั้งสองที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง เจ้าไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อยจริง?”
หลิวเสี่ยวเป่าพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ข้าเคยบอกว่า ทุกเรื่องที่ข้ารู้ ข้าไม่ได้ปิดบัง บอกท่านไปหมดแล้ว เหตุระเบิดพวกนั้น ข้าไม่เข้าใจ อีกทั้งยังไม่รู้จักคนทางด้านนี้”
“เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของซือหม่าโต่วหรือไม่”
“คงจะไม่ใช่! ทั้งนครบาล เขาล้วนให้ข้าดูแล หากนอกจากข้าแล้ว ซือหม่าโต่วยังมีคนอีกชุดเคลื่อนไหวอยู่ในนครบาล ข้าย่อมต้องรู้ พูดเช่นนี้ดีกว่า ความสามารถของซือหม่าโต่วยังไม่พอที่จะแตะต้องเมืองหลวง”
มีเหตุผล!
เยียนอวิ๋นเกอโบกมือให้จี้ผิงนำตัวคนออกไป
หลินเสี่ยวเป่าร้อนรน “คุณหนูสี่ ในเมื่อท่านไม่ฆ่าข้า ไว้ชีวิตของข้า แสดงว่าข้ายังมีประโยชน์ ท่านปล่อยข้าได้หรือไม่ ข้ารับใช้ท่าน ท่านให้ข้าทำสิ่งใดข้าก็ทำสิ่งนั้น ถึงแม้ท่านจะให้ข้าแทรกซึมเข้าไปภายในกลุ่มของซือหม่าโต่ว ข้าก็เต็มใจ”
เยียนอวิ๋นเกอมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ได้บอกว่าซือหม่าโต่วจะเป็นเจ้าแห่งมวลชลหรือ เจ้ายังคิดจะรับใช้ข้า เป็นปรปักษ์กับเขา?”
หลินเสี่ยวเป่าพูดอย่างร้อนรน “ข้ารู้จุดอ่อนของซือหม่าโต่ว ข้ารู้จริงๆ ท่านปล่อยข้าได้หรือไม่ ข้าไม่อยากกลับเขาคุก ในนั้นทั้งมืดทั้งหนาว ข้าไม่อยากกลับไป…”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้าเล็กน้อย จี้ผิงลากหลินเสี่ยวเป่าออกไป
หลินเสี่ยวเปล่ากลัวจนร้องโหยหวนออกมา ราวกับกำลังถูกส่งเข้านรก!