ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - ตอนที่ 191 แค่ไม้ประดับเท่านั้น
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- ตอนที่ 191 แค่ไม้ประดับเท่านั้น
“แปลว่าต้นไม้นี่ชื่อต้นตื่นรู้ทางห้าสายเช่นนั้นรึ” ปู้ฟางมองหน้าหนี่หยันแล้วเอ่ยถาม
“เจ้าไม่รู้ชื่อต้นไม้ที่ตัวเองปลูกหรอกหรือ” ดวงตาคู่สวยของหนี่หยันเบิกกว้างขึ้น ใบหน้าของนางดูตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นอันมาก ริมฝีปากอิ่มเต็มมันวาวสีแดงเรื่อเหมือนผลมะเดื่อดูสวยน่ารักเม้มเข้าหากัน
“เจ้าไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไร แล้วปลูกไว้ในร้านเพื่อเหตุผลกลใดกัน”
ปู้ฟางยิ้ม “ข้าแค่อยากปลูกไม้ประดับในร้านเสียหน่อย”
ชายหนุ่มดูสงบนิ่งเป็นปกติ แต่หนี่หยันเก็บอาการอึ้งเอาไว้ไม่อยู่ “ไอ้หมอนี่ไม่รู้รึว่าต้นตื่นรู้ทางห้าสายนั้นมีค่าขนาดไหน เอามาเป็นไม้ประดับร้านเนี่ยนะ… ยอดเยี่ยมไปเลยเถ้าแก่” นางคิด คงมีแต่คนประหลาดเช่นปู้ฟางเท่านั้นที่จะปลูกต้นตื่นรู้ทางห้าสายเอาไว้ประดับร้านโดยไม่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง
“ข้ามีผลตื่นรู้ทางสามสายด้วย หรือว่าต้นไม้สองชนิดนี้จะเกี่ยวข้องกัน” ชายหนุ่มถามด้วยสีหน้างุนงง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ชื่อของต้นไม้ที่ตัวเองปลูก
ตาแก่เมื่อวาน… แม้จะรู้ว่าต้นไม้นี้คือต้นอะไร แต่ดูจากสีหน้าก็รู้แล้วว่าหมอนั่นมีจุดประสงค์แอบแฝง ดูท่าจะอยากฮุบต้นไม้นี้เอาไว้คนเดียว
ไอ้บ้องตื้นนั่น… กล้าดีอย่างไรมาคิดอกุศลกับไม้ประดับในร้านข้า!
“ต้นไม้นี้ชื่อต้นตื่นรู้ทางห้าสาย ผลของมันเรียกว่าผลตื่นรู้ทางห้าสาย มันไม่เหมือนต้นตื่นรู้ทางสามสายแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าคนละระดับก็ว่าได้” หนี่หยันพึมพำให้ข้อมูล
“ผลตื่นรู้ทางสามสายสามารถทำให้ผู้ฝึกตนระดับหกขั้นราชันยุทธการก้าวขึ้นมาเป็นขั้นนักพรตยุทธการได้ฉันใด ผลตื่นรู้ทางห้าสายก็สามารถทำให้ขั้นนักพรตยุทธการก้าวขึ้นมาเป็นขั้นเทพแห่งสงครามได้ฉันนั้น… มูลค่าของผลไม้ทั้งสองชนิดนี้แตกต่างกันอย่างเทียบไม่ติดเลยทีเดียว”
ปู้ฟางชะงัก ดูเหมือนว่าต้นไม้ที่เขาปลูกนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว
“หากมีใครกระจายข่าวเรื่องต้นตื่นรู้ทางห้าสายนี้ออกไป รับรองร้านเจ้าต้องตกอยู่ในความโกลาหลแน่ เพราะจะมีพวกขั้นนักพรตยุทธการมาล้อมเอาไว้เต็มไปหมด” หนี่หยันอธิบาย
“อ้อ ไม่ใช่ปัญหาหรอก” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ
หนี่หยันพลันชะงักไป “เจ้าไปเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากหนใดกัน นี่เรากำลังพูดถึงขั้นนักพรตยุทธการนะ… ไม่ใช่ฝูงแมลงสาบ! เจ้านี่ ช่วยจริงจังหน่อยได้หรือไม่”
เมื่อได้รู้ชื่อเสียงเรียงนามของต้นไม้เรียบร้อย ปู้ฟางก็ไม่ดึงดันถามอะไรหนี่หยันอีก เขาหันหลังเดินกลับเข้าครัวไปท่ามกลางสายตาตกใจของอีกฝ่าย
หนี่หยันอึ้งจนพูดไม่ออก ปู้ฟางอาจจะไม่มีอะไรให้ต้องกลัว แต่เมื่อคิดภาพฝูงขั้นนักพรตยุทธการแล้ว… ภาพที่ผุดเข้ามาในมโนจิตก็ทำให้หนี่หยันขนลุกซู่ทีเดียว
หญิงสาวไม่อยากแยกจากต้นตื่นรู้ทางห้าสายแม้แต่น้อย แต่นางก็ทำได้เพียงมองมันให้เต็มตาอีกรอบก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ ไม่นานนักกลิ่นเนื้อก็โชยออกมาจากห้องครัว แล้วจานเนื้อตุ๋นตำรับจีนนุ่มแน่นก็ถูกยกออกมา
เมื่อเจออาหารอร่อย ความอาลัยอาวรณ์ต่อต้นตื่นรู้ทางห้าสายของหนี่หยันก็ถูกโยนทิ้งไปกับสายลมทันที สิ่งเดียวที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของนางคือเนื้อตุ๋นตำรับจีนสีเรื่อน่ากินเท่านั้น
นางรินสุราหัวใจหยกเยือกแข็งใส่จอก การได้กินเนื้อตุ๋นพร้อมดื่มสุราไปด้วยช่างเป็นความสุขในชีวิตเสียจริง
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือความจริงที่ว่าสุราหัวใจหยกเยือกแข็งนี้ด้อยกว่าลมหายใจมังกรของตาแก่นั่น หากเปลี่ยนสุราในจอกตรงหน้าเป็นลมหายใจมังกร ชีวิตนางคงสมบูรณ์แบบ
ระหว่างที่หนี่หยันและคนอื่นๆ กำลังกินอาหารเลิศรสอย่างเอร็ดอร่อย เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นในตรอก
เซียวเหมิงเดินตัวตรงก้าวยาวๆ มาที่ร้าน
“ท่านลุงเซียว” โอวหยางเสี่ยวอี้ทักทายอีกฝ่ายด้วยความร่าเริง ดวงตาของนางดูงุนงงเล็กน้อย เหตุใดเซียวเหมิงจึงมาที่ร้านในวันนี้กัน นานๆ คนผู้นี้จะโผล่มาสักที
“เถ้าแก่ปู้อยู่ที่ใดรึ” เซียวเหมิงพยักหน้าให้โอวหยางเสี่ยวอี้พลางเอ่ยถาม
เด็กหญิงชี้ไปที่ห้องครัว เซียวเหมิงไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ไปหาที่นั่งข้างต้นตื่นรู้ทางห้าสายแทน แล้วเริ่มพินิจพิเคราะห์มันใกล้ๆ
“ท่านลุงเซียว รับอะไรดีเจ้าคะ” เสี่ยวอี้ถาม
“เอาสุราหัวใจหยกเยือกแข็งเหยือกหนึ่ง” ดวงตาของเซียวเหมิงยังคงจับจ้องอยู่ที่ต้นตื่นรู้ทางห้าสาย เขาพูดรายการที่ตนเองจะสั่งออกมาอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
“ท่านลุงเซียวเจ้าคะ… วันนี้ร้านเราขายสุราหัวใจหยกเยือกแข็งครบสามเหยือกแล้วเจ้าค่ะ”
“หา” เซียวเหมิงถึงกับชะงัก จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองโอวหยางเสี่ยวอี้ แล้วหันไปมองหนี่หยันที่กำลังทั้งกินทั้งดื่มอยู่ตรงโต๊ะซึ่งไกลออกไป รูม่านตาของชายวัยกลางคนหดแคบทันที
อะไรกัน พวกสำนักความลับแห่งสวรรค์มาถึงแล้วรึ!
เซียวเหมิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วสั่งเกี๊ยวสีรุ้งในน้ำซุปแทน
หนี่หยันรู้สึกเหมือนถูกคนจ้อง นางจึงเงยหน้าขึ้นมองเซียวเหมิง แต่ก็ไม่ได้สนใจใยดีอะไรจากนั้นก็หันกลับไปตั้งหน้าตั้งตากินอาหารในจานต่อ
“นี่เป็นขั้นนักพรตยุทธการคนที่สองแล้ว…” เซียวเหมิงคิดเงียบๆ อยู่ในใจ “ผู้อาวุโสลำดับสามแห่งสำนักความลับแห่งสวรรค์ เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งแม้ในหมู่ขั้นนักพรตยุทธการด้วยกันเอง นอกจากพ่อครัวเงาแล้วในหมู่ขั้นนักพรตยุทธการทั้งหมดก็มีแม่นางคนนี้ที่ต่อกรด้วยยาก ดูเหมือนว่าจำนวนผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการในนครหลวงจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สินะ”
ปู้ฟางเดินออกจากครัวมาพร้อมชามเกี๊ยวสีรุ้งในน้ำซุป เซียวเหมิงมองปู้ฟางอยู่นานสองนาน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาไม่ได้ถามเรื่องต้นตื่นรู้ทางห้าสายด้วยซ้ำ
พอกินเสร็จเซียวเหมิงก็รีบรุดออกจากร้านไป
ทว่าหนี่หยันนั้นดูท่าจะไม่ทิ้งปู้ฟางไปง่ายๆ นางหยิบกล่องอาหารของตนเองออกมาเพื่อขอคำแนะนำ แล้วผลลัพธ์ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย อาหารของนางถูกฝีปากของปู้ฟางชำแหละเสียแหลก
เมื่อชายหนุ่มได้เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ เขาจะพูดน้ำไหลไฟดับไม่ยอมหยุด ปู้ฟางแจกแจงข้อผิดพลาดทั้งหมดในอาหารของหนี่หยันชนิดเก็บครบทุกเม็ดเลยทีเดียว
หนี่หยันเก็บกล่องอาหารอย่างรวดเร็วแล้วจากไปพร้อมถังอิ่น
ปู้ฟางมองเงาของคนทั้งคู่เดินจากไปจนลับสายตา ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ที่ทางเข้าร้าน ผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องไปยังหิมะที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า
…
เวลารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
อุณหภูมิในนครหลวงเริ่มอุ่นขึ้น หิมะตกน้อยลงเรื่อยๆ บางวันแสงแดดอุ่นก็สาดส่องลงมาให้คนบนพื้นได้ชื่นใจ
ลมที่เคยพัดหวีดหวิวรุนแรงอ่อนโยนลงมาก แม้จะยังคงกรีดแทงผิวอยู่บ้างทุกครั้งที่ปะทะร่างกาย แต่ก็ไม่ได้โหดร้ายเหมือนช่วงปลายของฤดูหนาวอีกแล้ว
นครหลวงไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักในเดือนนี้ มีเพียงจำนวนทหารคุ้มกันเมืองที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะกลุ่มที่สวมชุดเกราะ
นอกจากนี้ยังมีเหล่าคนแปลกหน้าเข้าเมืองมาเรื่อยๆ หลายคนมาจากส่วนต่างๆ ของจักรวรรดิวายุแผ่ว แต่ละคนมีขั้นปราณที่แข็งแกร่ง ส่วนมากเป็นผู้ฝึกตนระดับห้าขั้นราชันยุทธการ หรือไม่ก็ระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ…
นครหลวงเองก็มีการเพิ่มมาตรการความคุ้มกันขึ้นเช่นกัน ในฐานะหัวหน้าองครักษ์พิทักษ์เมือง เซียวเหมิงรู้สึกกังวลใจเหมือนจะเป็นบ้า
ณ ห้องทำงานที่ตำหนักเซียว
เซียวเยวี่ยยืนพิงกรอบประตู เล่นกระบี่คมกริบในมือพลางพูดเสียงแหบห้าวกับผู้เป็นพ่อซึ่งนั่งอ่านหนังสือราชการลับอยู่บนโต๊ะทำงาน “จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ผู้อาวุโสประจำตระกูลหลิวจากเมืองยู่จั่วมาถึงนครหลวงเมื่อคืนนี้ ดูเหมือนว่าเขาได้ต่อสู้กับสิบสามกองโจรจากเมืองโม่จั่วหน้านครหลวงขอรับ…”
“ผู้อาวุโสประจำตระกูลหลิวขั้นนักพรตยุทธการที่ขาข้างหนึ่งไปรออยู่ในโลงเรียบร้อยแล้วน่ะนะ” เซียวเหมิงวางบันทึกราชการลับลง ขยี้ตาตนเอง แล้วพูดออกมาเสียงเบา
“ใช่แล้วขอรับ พวกสิบสามกองโจรนั้นมีระดับพลังปราณใช้ได้ พอร่วมมือกันก็สามารถสยบผู้อาวุโสประจำตระกูลหลิวลงได้ขอรับ” เซียวเยวี่ยพลิกกระบี่ยาวในมือ เสียงคมกริบดังสะท้อนไปทั่วห้องทำงาน
“ขาข้างหนึ่งไปรออยู่ในโลงแล้วก็แปลว่าสภาพร่างกายไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนสมัยก่อนอีก ผู้อาวุโสประจำตระกูลหลิวในตอนนี้อาจจะแค่ดีกว่าขั้นจักรพรรดิยุทธการทั่วไปเล็กน้อย ก็ไม่แปลกอะไรที่พวกสิบสามกองโจรจะสยบเขาได้ แล้วมีเรื่องอื่นที่น่าสงสัยอีกหรือไม่” เซียวเหมิงถาม
“ผู้อาวุโสแห่งตำหนักกระบี่มหาสูญกลับมาแล้ว… ข้าเพิ่งได้ข่าวนี้มาไม่นาน ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าจริงหรือไม่ แต่มีโอกาสมากที่จะเป็นเรื่องจริง” เซียวเยวี่ยประกาศด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ผู้อาวุโสแห่งตำหนักกระบี่มหาสูญเช่นนั้นรึ… เซียวเหมิงนั่งทำสมาธิครุ่นคิดอยู่สักพัก คนผู้นี้เป็นขั้นนักพรตยุทธการที่เยี่ยมยุทธ์โดยแท้ เขาทำให้ผืนดินและสวรรค์ต้องสั่นสะเทือนตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ดูเหมือนจะเข้าสู่ด้านมืดขณะฝึกปราณ ทุกคนคิดว่าชายผู้นี้เสียชีวิตไปแล้ว จึงเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เขาจะกลับมาอีกครั้ง ผู้อาวุโสแห่งตำหนักกระบี่มหาสูญเป็นหนึ่งในขั้นนักพรตยุทธการไม่กี่คนที่ไม่ได้มาจากสำนักความลับแห่งสวรรค์
“ถ้ารวมผู้อาวุโสคนนี้เข้าไปแล้ว ตอนนี้ก็น่าจะมีขั้นนักพรตยุทธการอยู่ในนครหลวงสิบห้าคนแล้วใช่หรือไม่”
เซียวเยวี่ยจึ๊ปาก ขั้นนักพรตยุทธการ… ดูเป็นผู้ที่หาตัวได้ยากขณะปลีกวิเวกฝึกพลังปราณ แต่เมื่อคิดจะมารวมตัวกันกลับมีมากหลาย ราวกับว่าบรรดาขั้นนักพรตยุทธการทั้งหมดในจักรวรรดิวายุแผ่วจู่ๆ ก็นึกครึ้มมาประชุมกันโดยไม่ได้นักหมายเสียอย่างนั้น
บรรยากาศในนครหลวงตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว… ไม่มีใครกล้าทำตัวกร่างสุ่มสี่สุ่มห้าอีกต่อไป เพราะคนที่เดินสวนกันบนถนนอาจจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการก็เป็นได้
บรรดาคุณชายร่ำรวยน้อยใหญ่ในนครหลวงต่างได้รับบทเรียนแสนเจ็บแสบกันมานักต่อนักแล้ว เดี๋ยวนี้พวกเขาส่วนมากจึงตัดสินใจอยู่แต่ในบ้านกัน
“เอาละ เจ้าจงตั้งใจสืบต่อไป เมื่อมีขั้นนักพรตยุทธการคนใหม่เข้านครหลวงมา จงมารายงานข้าทันที” เซียวเหมิงพูดกับเซียวเยวี่ย แล้วลุกขึ้นยืนพลางถอนหายใจออกมา
เซียวเยวี่ยพยักหน้ารับ เขาแตะปลายเท้าลงบนพื้น จากนั้นก็หายตัววับไปกับตาพร้อมแสงสะท้อนของคมกระบี่
…
ในตำหนักหรูหราแห่งหนึ่งของนครหลวง พ่อครัวเงาหวังติ้งนั่งอยู่ที่โต๊ะ เบื้องหน้ามีอาหารเรียกน้ำย่อยสองสามจานและสุราที่เขาหมักด้วยตนเองวางอยู่ ชายชรารินสุราลงจอกพลางดื่มเพียงลำพัง
ขณะที่กำลังดื่มสุราอยู่นั้น รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของชายชราก็สั่นระริก
“ผ่านมาเดือนหนึ่ง เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ในนครหลวงเพิ่มมากขึ้นแล้ว… เหมือนที่ตาแก่ผู้นี้คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด พอข่าวเกี่ยวกับต้นตื่นรู้ทางห้าสายแพร่ออกไป ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการทั่วทุกสารทิศไม่ว่าจะคนใดก็คงใจเย็นอยู่ไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าต้นไม้จะโตเต็มวัย แต่ก็ไม่น่าจะนานนัก ดูเหมือนว่าร้านนั้นจะหาวิธีเร่งการเจริญเติบโตของต้นตื่นรู้ได้ มันคงจะออกผลอีกไม่ช้า”
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ รินสุราให้ตนเองอีกจอก พ่อครัวเงาจ้องไปที่สุราน้ำทิพย์สีขุ่นแล้วยิ้มออกมา
“ปลามาถึงแล้ว แต่ยังกวนน้ำให้ขุ่นไม่พอ”