ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - ตอนที่ 178 หัวหน้าเผ่า... รอดแล้ว
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- ตอนที่ 178 หัวหน้าเผ่า... รอดแล้ว
ปัง!
สันมีดทำครัวกระดูกมังกรทองปะทะเข้ากับร่างของงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬที่กำลังพุ่งมาด้วยความเร็วสูงเข้าอย่างจัง อสูรเวทระดับเจ็ดลอยละลิ่วกลับไปเป็นก้อนกลมทันที
ทุกคนมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยความประหลาดใจ อสูรเวทที่แสนยิ่งใหญ่ทรงพลังพุ่งไปกระแทกพื้นอย่างจัง แรงปะทะทำให้พื้นพลันยุบลงไป
แขนของปู้ฟางสั่นเล็กน้อย เขาสะดุ้งด้วยความเจ็บปวดพร้อมสูดลมเย็นเข้าปอด งูตัวนี้แข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้ เนื้อตรงฝ่ามือของชายหนุ่มแทบจะหลุดออกมาเพราะแรงปะทะ
งูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬที่ถูกปู้ฟางฟาดด้วยมีดจนต้องล่าถอยไปข้างหลังพลันกระโจนขึ้นในอากาศอีกครั้ง มันแลบลิ้นขู่ฟ่อใส่ปู้ฟาง ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
ชายหนุ่มพาดมีดทำครัวไว้บนบ่า จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วเหลือบตามองงูเหลือม เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหาเจ้าอสูรร้าย
ในเวลาเดียวกัน เหล่าอสูรเวทที่ล้อมเผ่าเอาไว้ก็เลิกโจมตีเกราะป้องกัน ทุกตัวต่างคำนับราบลงกับพื้น พลังที่มีดทำครัวกระดูกมังกรทองปล่อยออกมาแข็งแกร่งมากจนตรึงรางกายของพวกมันไว้กับที่
ปู้ฟางเดินไปหางูร้าย มือหนึ่งถือมีดทำครัวเอาไว้ ชายหนุ่มพาดสันมีดไว้บนบ่า
งูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬสะดุ้งเฮือกพลางมองปู้ฟางด้วยสายตาเกรงกลัว ด้วยความที่มันเป็นอสูรเวทเลื้อยคลาน จึงมีสายเลือดของมังกรอยู่ในกายเช่นกัน ทุกครั้งที่งูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬลอกคราบ สายเลือดของมันจะเข้มข้นจนเข้าใกล้ความเป็นมังกรมากขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้มันจึงต่อต้านไม่ได้แม้แต่น้อยเมื่อเจอเข้ากับมังกรตัวจริง
ฟ่อ…
งูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬดิ้นเร่าๆ ด้วยความเจ็บปวด หนังของมันยังคงลอกออกมาอย่างต่อเนื่อง ความเจ็บปวดจากการลอกคราบนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะเข้าใจได้อย่างแน่นอน
การลอกคราบดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว… หากงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬไม่กลืนฝักบัวเข้าไปตอนนี้ มันจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ผลของความผิดพลาดนี้คือมันต้องใช้เวลารักษาอาการบาดเจ็บไปอีกหลายร้อยปีกว่าจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เจ้างูร้ายคิดว่าการปรากฏขึ้นของดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งเป็นโอกาสทองของมัน แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะมีมนุษย์ที่ครอบครองมีดทำครัวกระดูกมังกรทองโผล่มาชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย ใครกันจะไปทำนายโชคชะตาที่แสนจะรันทดนี้ได้
ปู้ฟางโบกมีดทำครัวในมือ จากนั้นก็ผลักมีดเข้าใส่งูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬ แสงสีทองเบาบางที่ไหลวนอยู่บนพื้นผิวของมีดทำครัวพลันกระจายออกเหมือนกลุ่มควัน แล้วพุ่งเข้าไปในโพรงจมูกของงูเหลือมทันที
ร่างของงูเหลือมสั่นสะท้าน มันหมดสิ้นซึ่งความกล้าที่จะต่อต้าน… เนื่องจากถูกกดเอาไว้ด้วยสายเลือดภายในกาย
ปู้ฟางมองงูเหลือมทมิฬตรงหน้าอย่างไร้ความรู้สึก การที่เขาถือมีดทำครัวกระดูกมังกรทองอยู่ แปลว่ามันจะต่อต้านเขาไม่ได้อย่างแน่นอน ความจริงแล้วมีดของเขาสามารถกดพลังของอสูรเวทระดับเจ็ดเอาไว้ได้เล็กน้อยเท่านั้น แต่จะมีพลังมากเป็นพิเศษหากอสูรเหล่านั้นมีสายเลือดของมังกรอยู่ในตัว อย่างเช่นงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬและวัวมังกรพเนจรนั่นเอง เพราะเป้าหมายในการวิวัฒนาการของพวกมันคือการพยายามกลายเป็นมังกรให้ได้ ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงต้องยอมศิโรราบให้พลังของมังกรตัวจริง
พรวด!
ชายหนุ่มวาดมีดทำครัวกระดูกมังกรทองลง จากนั้นเลือดสดๆ ก็สาดกระจายไปทั่ว
ปู้ฟางมองงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬที่ดิ้นพราดๆ อยู่ในกองเลือดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก…
“ขั้นปราณของเจ้าจัดการยาก วันนี้ข้าจะตัดแค่มงกุฎเลือดของเจ้าทิ้งก็แล้วกัน ไสหัวไปเสีย” ชายหนุ่มเอ่ย
งูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬคำรามตอบกลับพร้อมแลบลิ้นสีดำสนิทขู่ฟ่อ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความขุ่นข้องใจ แต่เมื่อหันไปมองมีดทำครัวกระดูกมังกรทองบนบ่าของปู้ฟาง… มันก็เลือกถอยหนีในที่สุด
หลังจากขู่ฟ่อเป็นครั้งสุดท้าย งูเหลือมยักษ์ก็ขดตัวแล้วเลื้อยหนีเข้าไปยังส่วนลึกของหนองน้ำปราณมายาอย่างรวดเร็ว มันหายตัวไปในพริบตา
เมื่อสูญเสียผู้นำ บรรดาอสูรเวทน้อยใหญ่ก็ล่าถอยไปเช่นกัน สัตว์ร้ายทุกตัวหายวับไปเหมือนกระแสน้ำลง
ปู้ฟางถอนหายใจออกมาเบาๆ โซเซไปเล็กน้อย มีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมืออับแสงลงทันที แสงสว่างเจิดจ้าค่อยๆ หายไป มีดเปลี่ยนสภาพไปเป็นมีดทำครัวสีดำสนิทอีกครั้ง จากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวแล้วกลับเข้าไปในข้อมือชายหนุ่ม
มีดทำครัวกระดูกมังกรทองนี้ใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการควบคุมไม่น้อย แม้ตอนนี้ชายหนุ่มจะมีพลังมากกว่าตอนที่ยังเป็นผู้ฝึกตนระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ แต่ก็ทำได้เพียงตัดมงกุฎเลือดของงูเหลือมออกเท่านั้น
ขั้นปราณของปู้ฟางตอนนี้ทำให้เขาไม่สามารถสังหารงูเหลือมยักษ์ได้ เนื่องจากเกล็ดของมันแข็งเกินไป ชายหนุ่มต้องใช้พลังปราณปริมาณมากในการตัดผ่านผิวหนังของมัน แต่ตอนนี้ตัวเขาเองไม่สามารถส่งพลังปราณขนาดนั้นเข้าไปในมีดทำครัวกระดูกมังกรทองได้
หลังจากที่กลับมายืนตัวตรงอีกครั้ง ปู้ฟางก็เดินไปยังมงกุฎเลือดที่หล่นอยู่บนพื้น
นี่คือมงกุฎเลือดที่แท้จริงของงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬ แม้มงกุฎเลือดบนร่างที่ใหญ่กว่าของมันจะดูดีเช่นกันแต่ก็ไม่ใช่ของจริง พลังงานสารัตถะทั้งหมดของงูตัวนั้นถูกบีบอัดอยู่ภายในมงกุฎเลือดขนาดเท่าสองกำปั้นนี้
หลังจากสูญเสียพลังปราณหล่อเลี้ยงจากงู มงกุฎเลือดก็แข็งตัวขึ้น แต่ก็ไม่ได้แข็งเกินไปนัก ยังพอมีความอ่อนนุ่มเหลืออยู่บ้าง
ปู้ฟางยิ้มเมื่อเห็นว่ามงกุฎเลือดนี้แผ่พลังปราณและพลังชีวิตจำนวนมากออกมา เขาพอใจมากที่ตนเองตัดสินใจตัดมงกุฎเลือดของงูออก เห็นได้ชัดว่ามันเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่ายิ่ง
เมื่อเก็บมงกุฎเลือดเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บ ปู้ฟางก็หันหลังกลับแล้วเดินไปหาฝักบัวของดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็ง
ดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งร่วงโรยไปหมดแล้ว ความงามของมันคงอยู่เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น แม้มันจะสวยงามมาก แต่ก็ทิ้งความงามนั้นเอาไว้ได้ไม่กี่ลมหายใจก่อนจะโรยราไป สิ่งที่เหลืออยู่หลังจากกลีบดอกร่วงไปหมดคือฝักบัวสีฟ้าอ่อน พร้อมด้วยเม็ดบัวที่ดูเหมือนหยกภายในฝัก
ปู้ฟางหยิบมีดทำครัวกระดูกมังกรทองออกมาตัดฝักบัว จากนั้นก็เดินถือมันเข้าไปหาฝูงชน
ทุกคนยังอยู่ในสภาพตกใจ หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬที่แสนยิ่งใหญ่น่ากลัวจึงล่าถอยไป แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฝูงอสูรเวทแสนดุร้ายกัน
“เจ้า… เจ้าไล่ไอ้งูนั่นไปเช่นนั้นรึ!” อู๋อวิ๋นไป่ร้องออกมาพร้อมชี้นิ้วไปที่ปู้ฟาง นางไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ขณะที่ทุกคนต่างสิ้นหวังจากสถานการณ์หายนะที่ทำอย่างไรก็หลีกหนีไม่ได้ พ่อครัวจากที่ไหนก็ไม่ทราบได้กลับโผล่หน้าเข้ามาแก้ปัญหาให้… ด้วยมีดทำครัวหนึ่งเล่ม
“นี่คือฝักบัวของดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็ง” ปู้ฟางไม่ได้ตอบคำถามของนาง แต่กลับหันไปหาผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าที่ยังคงหมอบราบอยู่บนพื้นพร้อมจิตใจที่กระวนกระวาย
ผู้อาวุโสสูงสุดเงยหน้าขึ้นมามองหลังจากได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ย เมื่อเห็นฝักบัวสีฟ้าอ่อนในมืออีกฝ่าย ดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นมาทันที
“ใช่แล้ว นั่นคือฝักบัวของดอกบัวประมุข นายน้อยผู้นี้…” ผู้อาวุโสสูงสุดลังเลเล็กน้อย
หากปู้ฟางยังคงเป็นพ่อครัวไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่เก่งแค่ทำอาหารเหมือนก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสสูงสุดคงวิ่งเข้าไปกระชากฝักบัวออกมาจากมืออีกฝ่ายเป็นแน่ แต่ตอนนี้เขากำลังลังเล… หากต้องคำนับหน้าติดพื้นทุกครั้งที่หมอนี่ชักมีดทำครัวออกมา แล้วจะไปกระชากอะไรออกจากมือใครได้ตอนไหนเล่า
“รับไว้สิ เจ้าจะเอาไปรักษาคนมิใช่หรือ ลองดูว่าใช้ได้ไหม ถึงอย่างไรก็มีเม็ดบัวอยู่หลายเม็ด แค่เหลือไว้ให้ข้าบ้างก็แล้วกันตอนที่เจ้าใช้เสร็จแล้ว” ปู้ฟางพูดพร้อมโยนฝักบัวให้ผู้อาวุโสสูงสุด
ผู้อาวุโสสูงสุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรับฝักบัวเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ
“นายน้อย ท่าน… เอาละ ตามข้ามาเถิด” ผู้อาวุโสสูงสุดมองปู้ฟางด้วยสายตาจริงจัง จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ชายหนุ่มเดินตามเขาไป
หยูฟู่และคนอื่นๆ สะอื้นไห้ด้วยความดีใจ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะสูญเสียฝักบัวไปเสียแล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่าปู้ฟางจะมอบฝักบัวให้พวกเขา หากเป็นเช่นนี้… ดูเหมือนว่าบิดาของนางจะฟื้นได้เสียที!
เม็ดบัวเหล่านี้เป็นความหวังในการรักษาหัวหน้าเผ่าของพวกเขาให้กลับมาแข็งแรงดังเดิม
ขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังจุดหมาย ผู้อาวุโสสูงสุดก็ออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนจัดการทำความสะอาดสวนสมุนไพรเสีย ก่อนจะนำทางปู้ฟางและคนอื่นๆ ผ่านตึกรามบ้านช่องไป
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงอาคารที่ดูทรุดโทรมเล็กน้อย
แม้อาคารนั้นจะเล็กและโทรม แต่ก็ยังดูหรูหราเมื่อเทียบกับบ้านของมนุษย์อสรพิษตนอื่นๆ
ผู้อาวุโสสูงสุดนำปู้ฟางและหยูฟู่ รวมถึงอู๋อวิ๋นไป่ที่ความจริงแล้วไม่มีใครเชิญเข้าไปในห้อง ห้องนั้นดูแคบไปถนัดตา
มนุษย์อสรพิษสตรีรูปงามที่นั่งอยู่ด้านในลุกขึ้นยืนแล้วมองพวกเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ท่านแม่ ดูเหมือนอาการของท่านพ่อจะมีหวังแล้วเจ้าค่ะ!” ทันทีที่หยูฟู่เดินเข้าห้องมา นางก็วิ่งเข้าไปกอดมนุษย์อสรพิษสตรีรูปงามผู้นั้นทันที
มารดาของหยูฟู่อึ้งไปเล็กน้อย นางหันไปมองผู้อาวุโสสูงสุดแล้วเห็นอีกฝ่ายกำลังโบกฝักบัวสีฟ้าอ่อนในมือพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“ดอกบัววิญญาณประมุขน้ำแข็งบานแล้ว แล้วฝักของมันก็อยู่นี่แล้วเช่นกัน… ท่านหัวหน้าเผ่ารอดแล้วละ”