ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - ตอนที่ 133 แผนการของจักรพรรดิ อภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกร
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- ตอนที่ 133 แผนการของจักรพรรดิ อภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกร
“หยุดเดี๋ยวนี้!” อวี่อ๋องบันดาลโทสะเป็นอันมาก! ไอ้พวกสวะจากสำนักบังอาจขัดคำสั่งเขาหรือ!
แต่โครงกระดูกระดับเจ็ดที่สร้างจากผู้ฝึกตนวังกระดูกขาวไม่ได้สนใจเสียงตะโกนของเขาแต่อย่างใด มันยื่นมือออกไปหาโลงศพทันที เบ้าตาที่กลวงโบ๋นั้นเต็มไปด้วยความโลภและความหิวกระหาย
ผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการแปดคนที่แบกโลงศพอยู่ทานทนพลังกดดันของโครงกระดูกระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการไม่ไหว ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง เข่าทรุดลงกับพื้นข้างหนึ่ง โลงศพทำจากทองแดงที่แบกอยู่ตกลงบนพื้นเสียงดังสนั่น
ตึง!
เสียงโลหะตกกระทบพื้นดังไปทั่วประตูมายาสวรรค์ ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ ต่างหันไปมองโลงศพที่ตกอยู่บนพื้นเป็นตาเดียว
“โลงพระศพแตะพื้นดิน… แปลว่าพิธีศพล่มหรือ”
ความคิดนี้วาบเข้ามาในใจทุกคน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมากมายหลายอย่างสับสนปนเปไป จักรพรรดิองค์ก่อนเป็นผู้ยิ่งใหญ่น่ายำเกรงเหนือโลกา แต่งานศพของพระองค์กลับถูกทำลายลงเสียนี่
รูม่านตาของอวี่อ๋องหดแคบ โทสะท่วมท้นจิตใจ พลังปราณเที่ยงแท้พุ่งกระจายออกจากร่างอย่างรุนแรง เขาจ้องไปที่โครงกระดูกยักษ์ด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
พลังปราณที่กระจายออกจากร่างของจีเฉิงเสวี่ยนั้นรุนแรงกว่าเดิมมาก หลังจากที่กินสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงเข้าไป พลังปราณของเขาก็บรรลุไปแตะระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการในที่สุด จนแม้แต่ตัวเองยังรู้สึกประหลาดใจ
หลังจากที่ส่งฝ่ามือกระแทกสตรีห้าคนจากสำนักสุขสามัคคีให้พ้นไปได้ สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยก็เย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง เขาตะโกนก้อง “ไอ้พวกกบฏโอหัง!”
โครงกระดูกยักษ์ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดีใจเป็นล้นพ้น มันกวาดมือส่งพลังปราณรุนแรงออกมาปัดผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการทั้งแปดทิ้งไปด้านข้าง
มันก้าวเพียงก้าวเดียวก็เข้ามาประชิดโลงศพทองแดงทันที ดวงตาของมันพร่ามัวด้วยไฟแห่งความกระหายพลางจ้องไปที่โลงศพตรงหน้า แขนที่ทำจากกระดูกสั่นเทาเล็กน้อย
ภายในโลงศพมีพลังบางอย่างที่มันต้องการยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด สิ่งนั้นคืออุปกรณ์กึ่งเทพของสำนักวังวิญญาณทมิฬ… ลูกโลกวิญญาณล่วงลับนั่นเอง!
แม้วังกระดูกขาวจะอยู่ในระดับเดียวกับวังวิญญาณทมิฬ แต่ก็ไม่มีอุปกรณ์กึ่งเทพไว้ในครอบครองแม้แต่ชิ้นเดียว นี่เป็นขวากหนามใหญ่ที่ทิ่มแทงจิตใจของพวกเขามาตลอด หลังจากที่วังวิญญาณทมิฬถูกเซียวเหมิงทำลายไปในคราวเดียว อุปกรณ์กึ่งเทพของสำนักก็ถูกนำมาเก็บไว้ที่นครหลวงด้วยเช่นกัน
ลูกโลกวิญญาณล่วงลับนั้นมีอำนาจในการปลอบประโลมวิญญาณ ช่วยป้องกันการเสื่อมสลาย และจัดเป็นของที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำไปใส่ในโลงศพ
ในเมื่อจักรพรรดิฉางเฟิ่งได้ลูกโลกวิญญาณล่วงลับมาแล้ว ก็ไม่แปลกอะไรที่วังหลวงจะนำของชิ้นนี้มาใส่ไว้ในโลงศพของพระองค์เมื่อสวรรคตไป
เซียวเหมิงที่ต่อสู้อยู่ไกลออกไปนั้นมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที เจ้าอเวจีที่หุนเชียนอวิ่นควบคุมอยู่มีฤทธิ์ไม่น้อย ทำให้เขาต้องใช้เวลาจัดการพอสมควร เขามองโครงกระดูกยักษ์ที่กำลังจะเอื้อมมือไปแตะโลงศพ ความเย็นเยียบในดวงตาทวีคูณขึ้นอีก
จากนั้นเสียงแคร้งก็ดังขึ้น
ลำแสงจากกระบี่เทลงมาจากจุดสูงสุดของฟากฟ้า พุ่งตรงไปยังโครงกระดูกยักษ์และถึงเป้าหมายภายในพริบตา
เสียงคำรามของนกปักษาเพลิงดังออกจากร่างที่ลอยอยู่เหนือตัวจีเฉิงเสวี่ย ส่วนชายหนุ่มก็พุ่งเข้าหาโครงกระดูกยักษ์พร้อมเหวี่ยงหมัดออกไป
เซียวเยวี่ยและจีเฉิงเสวี่ยโจมตีพร้อมกัน พวกเขาใช้การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของตนเพื่อบังคับให้โครงกระดูกยักษ์ล่าถอยไป
“ฮึ! ช่างโง่งมอะไรเช่นนี้!”
โครงกระดูกยักษ์หยุดเคลื่อนไหวแล้วหันกลับมามอง ร่างของมันสั่นเทิ้ม จากนั้นกระดูกมากมายนับไม่ถ้วนก็ผละออกจากกัน พุ่งเข้าหาชายหนุ่มทั้งสอง
การโจมตีจากท้องฟ้าของเซียวเยวี่ยถูกสกัดเอาไว้ได้ เขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับหกเท่านั้น จึงทำได้เพียงกลับลงมาตั้งหลักที่พื้น
ส่วนจีเฉิงเสวี่ยนั้นทำลายกระดูกไปได้ชิ้นหนึ่งด้วยหมัดของตนเอง แต่ก็ต้องล่าถอยมาตั้งหลักบนพื้นเช่นกัน ระดับพลังปราณที่ต่างกันทำให้พวกเขาเข้าใกล้มันไม่ได้แม้แต่น้อย
ปัง!
โครงกระดูกยักษ์ฉีกยิ้มน่าขนลุก จากนั้นก็ตบฝ่ามือลงบนโลงศพอย่างแรง มันใช้พลังมหาศาลพยายามแหกโลงศพให้เปิด
แต่ไม่นานนักมันก็พบว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แม้จะทุ่มพลังสุดแรง แต่ก็ไม่อาจเปิดฝาโลงออกได้แม้แต่คืบเดียว!
“โลงศพนี่มีอะไรผิดปกติ!” เปลวไฟผีเต้นตุบอยู่ในเบ้าตาของโครงกระดูกยักษ์
เจ้ามู่เฉิงที่ยืนอยู่ไกลออกไปก็ขมวดคิ้วเช่นกัน เขาจ้องไปที่โลงศพอย่างพิจารณา ไม่นานนักรูม่านตาก็พลันหดแคบ…
ฝาโลงกำลังขยับ!
ทุกคนมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ ฝาโลงศพค่อยๆ เปิดจากด้านใน เสียงฝาโลงโลหะขูดขีดกับผนังโลงทำให้ทุกคนขนลุกซู่
ผู้คนที่กำลังต่อสู้กันในลานจัตุรัสหยุดเคลื่อนไหวทันที ต่างหันมามองโลงศพเป็นตาเดียวด้วยความตกใจเป็นล้นพ้น
เหลียนฟู่ระเบิดหัวเราะเสียงแหลม เลือดไหลย้อยออกจากมุมปาก นิ้วโป้งและนิ้วกลางจีบเข้าหากัน ก่อนกวาดสายตามองไปทั่วลาน เขาพูดเน้นคำ “ไอ้พวกกบฏจากสำนัก… พวกเจ้าทุกคนต้องตาย!”
ทันทีที่เหลียนฟู่พูดจบ ร่างที่อยู่ในโลงก็ผุดลุกขึ้นนั่ง จากนั้นพลังปราณชวนขนหัวลุกก็สาดกระจายออกมา
“อะไรกัน!”
โครงกระดูกยักษ์ที่อยู่ใกล้โลงศพที่สุดรู้สึกได้ถึงกระแสพลังปราณที่พุ่งออกมาจากโลงทันที พลังปราณนี้เป็นพลังปราณของผู้ปกครองอาณาจักร ทั้งยิ่งใหญ่น่าเกรงขามและทรงอำนาจจนขัดขืนไม่ได้
โครงกระดูกยักษ์ถูกโยนให้ถอยไปด้วยอำนาจของพลังปราณ จากนั้นก็แตกสลายหายไปกลางอากาศ กลายเป็นเพียงเสี้ยวกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อย วิชารวมร่างถูกทำลายในพริบตา
เจ้ามู่เฉิงสูดลมเย็นเข้าลึก สายตาจับจ้องไปที่ร่างซึ่งเพิ่งผุดลุกขึ้นนั่งในโลง “จีฉางเฟิ่ง… ยังไม่ตายรึ” เขาคิด
“หือ เกิดอะไรขึ้นกัน! ร่างนี้ไม่มีพลังชีวิตแม้แต่น้อย… ดังนั้นจึงควรตายไปแล้ว แต่กลับมีกระแสพลังปราณหลั่งไหลออกมา ยิ่งไปกว่านั้น… พลังปราณนี้ยังไหลสู่บรรยากาศรอบกายอีกด้วย…” เจ้ามู่เฉิงพึมพำ จากนั้นก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ใบหน้าของเขาพลันซีดเผือดไป “จีฉางเฟิ่ง… ช่างเป็นแผนการที่ปราดเปรื่องอะไรเช่นนี้!”
ประตูจัตุรัสมายาสวรรค์สั่นสะเทือน หิมะละลายก่อนระเหยกลายเป็นไอ เสาศิลาที่ถูกหิมะปกคลุมอยู่เรืองแสงหลากสีเจิดจ้า บนผิวศิลามีลวดลายเส้นเลือดปรากฏขึ้น
ทุกคนในที่แห่งนั้นงุนงงเป็นอันมาก เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
“อภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกร… จีฉางเฟิ่งปลุกอำนาจของวงแหวนปราณนี้ขึ้นมาใช้รึ! การพยากรณ์ของตาแก่นั่นถูกต้องจริงๆ เสียด้วย!” หนี่หยันอุทานออกมาขณะมองฉากตรงหน้า นางยืนอยู่กลางอากาศนอกประตูมายาสวรรค์
จุดมุ่งหมายหลักในการมานครหลวงครั้งนี้ของนาง ก็คืออภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรนั่นเอง วงแหวนปราณนี้เป็นวงแหวนปราณที่ปกป้องจักรวรรดิวายุแผ่วมาตลอด ในสมัยที่จักรวรรดิเพิ่งก่อตั้งขึ้นนั้น จักรพรรดิองค์แรกพึ่งพาพลังอำนาจของวงแหวนปราณนี้ในการกำจัดผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการไปหลายสิบคน พลังของวงแหวนปราณน่าสะพรึงกลัวจนทำให้สำนักน้อยใหญ่สั่นสะท้านด้วยความยำเกรง
พลังของมันจัดได้ว่าเทียบเท่าระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามเลยทีเดียว!
จากบันทึกของสำนักความลับแห่งสวรรค์ อภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรอาจจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในห้าวงแหวนปราณที่ทรงพลังที่สุด
หนี่หยันได้รับภารกิจจากเจ้าสำนักความลับแห่งสวรรค์ ให้มาบันทึกความรู้เกี่ยวกับอภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรนี้ลงในคลังความรู้ของสำนัก…
นางสะบัดมือเรียกยันต์หยกหลายชิ้นออกมาโยนไปในอากาศ จากนั้นก็ส่งพลังปราณของตนเข้าไปในยันต์ที่สั่นตอบรับทันที
ยันต์หยกทอแสงแรงกล้า ก่อตัวเป็นลูกตาขนาดยักษ์เหนือศีรษะของหนี่หยัน ดวงตานั้นกำลังบันทึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในประตูมายาสวรรค์เอาไว้
ทว่าดวงตาของหนี่หยันก็พลันว่างเปล่าไปชั่วขณะ เมื่อนางเห็นร่างร่างหนึ่งที่ทางเข้าประตู
ร่างโปร่งกำลังเดินผ่านประตูเข้ามา ค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังสนามรบกลางลาน
“เถ้าแก่ปู้รึ หมอนี่มันสติแตกไปแล้วหรืออย่างไร คนกำลังรบกันอยู่… แล้วพ่อครัวสะเออะไปทำอะไรตรงนั้น”
ลำแสงเจิดจ้าพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าจากพื้นกระเบื้องภายในลานจัตุรัสมายาสวรรค์ แสงนี้รวมตัวกันอยู่กลางอากาศก่อนกระจายไปทุกทิศทาง สร้างเป็นเกราะคุ้มกันขนาดใหญ่ที่ครอบทั้งบริเวณเอาไว้
เสาสองต้นเหมือนกลับมามีชีวิต มันส่งสายโซ่สีดำสนิทพุ่งออกมาใส่โลงศพทองแดง สายโซ่นั้นเข้าพันเกี่ยวรอบโลงศพ ตรึงโลงเอาไว้กลางอากาศ
จากนั้นพลังปราณปริมาณมหาศาลไร้ที่สิ้นสุดก็สร้างวงแหวนปราณขึ้น โดยมีโลงศพเป็นจุดศูนย์กลาง
เสียงมังกรคำรามดังขึ้น ตามมาด้วยร่างมายาของมังกรเทพที่เหาะเหินออกจากวงแหวนปราณ ลอยค้างอยู่เหนือประตูมายาสวรรค์ พลังปราณไหลออกจากร่างไม่หยุดเมื่อมันเปิดปาก
“ข้าทำลายและยึดครองสำนักมานานหลายปีดีดัก ผู้ฝึกตนแก่กล้ามากมายต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือของข้า แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงกล้ามาหลู่เกียรติที่งานศพของข้าอีก ต่อให้ข้าวายชนม์ ก็ยังไม่ใช่คนที่น้ำหน้าอย่างพวกเจ้าจะมาฉีกหน้าให้อับอายได้ ไอ้พวกกบฏจากสำนักทุกตัวที่หลุดมาอยู่ในลานจัตุรัสมายาสวรรค์นี้…จะต้องตาย”
………………