ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - ตอนที่ 11 เหตุใดจึงไม่กลัวข้า ทั้งที่ข้ายอดเยี่ยมเกรียงไกรขนาดนี้
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- ตอนที่ 11 เหตุใดจึงไม่กลัวข้า ทั้งที่ข้ายอดเยี่ยมเกรียงไกรขนาดนี้
ตามระบบพลังปราณของทวีปมังกรซ่อนเร้น ระดับพลังปราณระดับหนึ่งคือขั้นต่ำสุด เป็นระดับที่ไม่มีปากมีเสียงอะไรในนครหลวง
แต่ปู้ฟางก็ยังงงอยู่ดีว่าตนเองเริ่มมีพลังปราณเที่ยงแท้ได้อย่างไร
หรือเป็นเพราะเขาทำภารกิจของระบบสำเร็จ ภารกิจแรกของเขาคือการหาลูกค้ารายแรกมาให้ได้ แต่รางวัลของภารกิจนั้นคือวิธีการทำข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงและเสี้ยวของชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ ไม่ได้พูดถึงพลังปราณเที่ยงแท้แต่อย่างใด
“ระบบ ข้าจะได้พลังปราณเที่ยงแท้และแข็งแกร่งขึ้นเพราะทำภารกิจสำเร็จใช่หรือไม่” ปู้ฟางถามด้วยความงุนงง
ระบบตอบกลับด้วยเสียงจริงจัง “ระดับพลังปราณเที่ยงแท้ของนายท่านจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนผลึกที่นายท่านมี หลังจากที่ลูกค้าชำระเงินเรียบร้อย ผลึกจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังปราณตามการแปลงหน่วยที่ระบบใช้ นายท่านสามารถเข้าไปดูระดับพลังปราณของท่านและการแปลงหน่วยได้ในหน้าสรุปตัวละคร
“ระดับของระบบตอนนี้อยู่ที่หนึ่งดาว และการแปลงหน่วยผลึกที่ใช้อยู่คือร้อยละสิบ เมื่อระบบพัฒนาขึ้นไปถึงระดับสองดาว หน้าที่ต่างๆ จะถูกเปิดใช้งานมากขึ้น เช่น นายท่านสามารถใช้อุปกรณ์เครื่องเรือนได้มากขึ้น และลูกค้าสามารถนำวัตถุดิบอาหารของตนเองมาได้
“วันนี้นายท่านได้ผลึกมายี่สิบสองผลึก และจากการแปลงหน่วยนายท่านได้รับพลังปราณเที่ยงแท้มาสองผลึก โดยคิดจากร้อยละสิบของยี่สิบสองผลึก พลังปราณเที่ยงแท้ที่นายท่านได้รับจากสองผลึกนี้อยู่ในระดับหนึ่งขั้นนักรบ”
ปู้ฟางนิ่งเงียบ เขาไม่รู้เลยว่าผลึกมีจุดประสงค์ในการใช้งานเช่นนี้ แต่หลังจากที่คิดดูสักพักก็เข้าใจได้ถึงเหตุผล ประการแรกผลึกนั้นเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตผู้ฝึกตน ผู้ฝึกตนสามารถเพิ่มระดับพลังปราณของตนเองได้ผ่านการหล่อหลอมผลึก ดังนั้นการแปลงหน่วยที่ระบบใช้งานจึงถือเป็นทางลัดในการฝึกปราณของปู้ฟาง
“เอ่อ… ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าข้าจะแข็งแกร่งขึ้นหากได้ผลึกมาครอบครองมากขึ้นใช่หรือไม่” รอยยิ้มฝืนค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของปู้ฟาง
“การที่จะมีปราณระดับสองขั้นเจ้ายุทธการได้นั้น นายท่านต้องสะสมเพิ่มอีกสิบผลึก สำหรับระดับสามขั้นคลั่งยุทธการนั้นนายท่านต้องสะสมเพิ่มอีกร้อยผลึก ส่วนระดับสี่ขั้นจิตยุทธการต้องใช้พันผลึก และระดับห้าขั้นราชันยุทธการต้องใช้หมื่นผลึก” ระบบประกาศ
ปู้ฟางหมดสิ้นซึ่งคำพูด
“ดูเหมือนว่าหนทางจะอีกยาวไกล”
“จะว่าไปแล้ว ที่เจ้าบอกว่าลูกค้าสามารถนำวัตถุดิบมาเองได้นี่หมายความว่าอย่างไรหรือ” ปู้ฟางถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“นายท่านสามารถใช้วัตถุดิบที่ลูกค้านำมาเองมาทำอาหารได้ โดยราคาขายระบบจะกำหนดจากระดับของอาหารจานนั้น” ระบบอธิบายอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ดวงตาของปู้ฟางเป็นประกาย กลไกนี้ถือว่าดีต่อตัวเขามากทีเดียว ทั้งยังจะช่วยเขาในการหาผลึกมาให้ได้มากขึ้นอีกด้วย น่าเสียดายที่ระดับของระบบในตอนนี้ยังไม่สูงพอที่จะใช้งานกลไกนี้ได้ ในโลกแห่งจินตนาการนี้มีวัตถุดิบมากมายที่ปู้ฟางสามารถใช้ประกอบอาหารได้ การอนุญาตให้ลูกค้านำวัตถุดิบมาเองจะช่วยให้เขาสะสมผลึกได้มากขึ้น
เรื่องการเพิ่มระดับของระบบนั้น ปู้ฟางต้องทำภารกิจที่ระบบมอบให้สำเร็จ ภารกิจล่าสุดที่ได้รับมาคือ โปรดทำกำไรให้ได้อย่างน้อยร้อยผลึกและพันเหรียญทองภายในหนึ่งสัปดาห์
ความคืบหน้าของภารกิจ: 22/100, 100/100
ปู้ฟางถอนหายใจอยู่ภายใน รู้ดีว่าภารกิจนี้ยังอีกยาวไกลนักกว่าจะเสร็จสิ้น
ในฐานะพ่อครัวมากความสามารถ เขาต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเสมอ หลังจากที่ชายหนุ่มออกจากหน้าจอระบบเรียบร้อย เค้าก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงแล้วผล็อยหลับไปในที่สุด เสียงหายใจนิ่งสม่ำเสมอดังขึ้นหลังจากผ่านไปสักพัก
เช้าวันต่อมา
ปู้ฟางตื่นตรงเวลา หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยเขาก็เริ่มกระบวนการฝึกทำอาหารประจำวัน เมื่อฝึกทำอาหารตามสูตรที่ได้ร่ำเรียนมาครบทุกจานแล้ว ชายหนุ่มก็เปิดร้านทั้งๆ ที่ยังหาวหวอด
สุนัขสีดำตัวใหญ่ยังคงนอนอยู่หน้าร้านตรงจุดเดิม ราวกับว่ามันนอนอยู่ท่าเดิมตรงนั้นโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย แม้แต่ตัวปู้ฟางเองยังตกใจกับระดับความขี้เกียจของเจ้าสุนัข
“อรุณสวัสดิ์ เจ้าดำ” ชายหนุ่มทักทายสุนัขอย่างไร้อารมณ์
เจ้าดำกลอกตาแล้วทำเป็นไม่สนใจเขา
ทว่าปู้ฟางก็ไม่ได้อายแต่อย่างใดที่ถูกสุนัขเมิน เขาเดินกลับเข้าไปในครัว ตักข้าวผัดไข่ที่ตนเองทำขณะฝึกทำอาหารใส่ชาม แล้วเดินกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าดำอีกครั้งพร้อมชามในมือ
“ได้เวลากินข้าวแล้ว เจ้าดำ” ชายหนุ่มเอ่ย
ทันทีที่เจ้าดำจอมขี้เกียจได้กลิ่นอาหารจากชาม มันก็กระตือรือร้นขึ้นมา ลิ้นสีชมพูห้อยออกจากปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นคาดหวังขณะมองชามในมือของปู้ฟาง
ชายหนุ่มคิดอย่างโกรธเคือง “ไอ้หมาตะกละนี่มันทำตัวดีเช่นนี้ทุกทีที่เห็นอาหารรสเลิศ แล้วก็กลับไปนิสัยเสียเหมือนเดิมทุกครั้งที่กินหมด
“ไหนใครมันบอกว่าสุนัขเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์กัน
“มันไม่เข้าใจหรือว่าข้าเป็นคนให้อาหาร ฉะนั้นมันต้องประจบประแจงข้า ชะตากรรมในการได้กินอาหารรสเลิศของมันอยู่ในเงื้อมมือพ่อครัวเช่นข้ามิใช่รึ!”
แต่ตัวเขาเองก็ทำอะไรเจ้าสุนัขตะกละตัวนี้ไม่ได้ ปู้ฟางวางชามลงตรงหน้าเจ้าดำ และเจ้าสุนัขก็เริ่มกินอย่างตะกละตะกลามพร้อมสายหางดิ๊กๆ
ปู้ฟางลากเก้าอี้มาวางแล้วลงไปนอนขดอยู่บนนั้น เขานอนแผ่อย่างสบายอุรารอให้ลูกค้าคนแรกมาเยือนร้าน
วันนี้ก็เป็นวันที่เรียบง่ายสวยงามอีกวันหนึ่ง
ในตอนนั้นเอง กลุ่มคนท่าทางดุร้ายเอาเรื่องกำลังแออัดยัดเยียดอยู่บนถนนหลักของนครหลวง
ซุนฉีเซี่ยงในชุดสีสันสดใสเดินอยู่ข้างหน้าเป็นผู้นำกลุ่ม ในฐานะเสือผู้หญิงที่โด่งดังหนึ่งในสามของนครหลวง ทุกคนบนถนนหลักต่างพากันหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปขวางทางเขาด้วยสายตาเกรงกลัว
ซุนฉีเซี่ยงพอใจกับสายตาหวาดกลัวทุกคู่ที่มองมาทางเขาเป็นอันมาก “ใช่แล้ว! มองข้าด้วยสายตาเกรงกลัวเช่นนี้ถูกแล้ว! ทุกคนจะต้องยำเกรงในตัวข้าเพราะข้าช่างแสนยอดเยี่ยมเกรียงไกร!”
“ตามข้ามา! หากวันนี้ข้าไม่ได้พังไอ้ร้านรูหนูนั่น ข้าจะไม่ขอใช้แซ่ซุนอีกต่อไป!”
หลังจากที่ถูกจับแก้ผ้าโยนออกจากร้านเมื่อวาน ซุนฉีเซี่ยงก็เก็บประสบการณ์หลอนไปฝันร้ายจนนอนไม่หลับ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรวบรวมบ่าวไพร่ทุกคนในบ้านแต่เช้าตรู่ เพื่อที่จะไปจัดการสะสางเรื่องหมางใจกับปู้ฟางเสีย
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของซุนฉีเซี่ยงที่ต้องพบกับความอับอายหมอไม่รับเย็บเช่นนี้ ตราบใดที่ปู้ฟางยังมีชีวิตอยู่ ซุนฉีเซี่ยงก็คงไม่มีวันนอนตายตาหลับ
วันนี้เซียวเยียนอวี่อยู่บ้านตามเดิม หลังจากที่ได้กินข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงไปเมื่อวาน พลังปราณเที่ยงแท้ของนางก็เพิ่มขึ้นจนทำให้นางต้องถือสันโดษเพื่อฝึกปราณ จึงมีเพียงเซียวเสี่ยวหลงคนเดียวเท่านั้นที่ออกเดินทางไปยังร้านเล็กๆ ในซอยร้างผู้คน
แต่ตอนที่เดินมาถึงถนนสายหลัก ชายหนุ่มก็เห็นซุนฉีเซี่ยงกำลังนำชายฉกรรจ์มากกว่าร้อยคนบุกไปพังร้าน
“สวรรค์ช่วย! ข้ายังอยากกินข้าวผัดไข่อยู่นะ! พวกนี้มันคิดจะทำบ้าอะไรกัน!” เซียวเสี่ยวหลงโกรธเกรี้ยวเป็นอันมาก เขาจะไปตามหาข้าวผัดไข่ที่ทั้งอร่อยและยังช่วยเรื่องการเพิ่มพลังปราณจากที่ไหนได้อีก หากร้านเล็กๆ ร้านนี้ถูกทุบทำลาย!
ขณะที่ชายฉกรรจ์กว่าร้อยคนกำลังเดินอาดๆ ผ่านร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ไปอีกสามจั้งกว่าๆ นั้น บรรยากาศรอบกายก็พลันเงียบสนิทเป็นป่าช้า
ตรอกที่ปกติแล้วร้างไร้ผู้คนกลับเต็มไปด้วยฝูงชน ณ วันนั้น
พรรคพวกของซุนฉีเซี่ยงล้วนถือไม้หน้าสามอยู่ในมือ ต่างคนต่างจ้องมองร้านเล็กๆ ในตรอกด้วยสายตาเย็นเยียบ
“พับผ่าสิ! ไอ้ร้านรูหนูในที่รกร้างเช่นนี้มันกล้าดีมาข่มเหงนายน้อยของเรา! วอนหาเรื่องให้โดนทุบเสียแล้ว!”
ปู้ฟางกำลังนอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ที่หน้าทางเข้าร้าน ดวงตาของชายหนุ่มหยีสู้แสงดวงอาทิตย์อบอุ่นที่กำลังอาบไล้ร่างแสนขี้เกียจของเขา
สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนอยู่ใกล้กันนั้น กำลังส่ายหางไปมาพร้อมทั้งกินอาหารในชามข้าวของมันอย่างตะกละตะกลาม
“ข้ามาพังร้านเจ้าตามสัญญาแล้ว!” ซุนฉีเซี่ยงชี้พัดกระดาษไปที่ปู้ฟางด้วยท่าทางโอหัง และตะโกนออกมาด้วยเสียงเย็น เขามั่นใจว่าปู้ฟางจะต้องกลัวหัวหดแน่นอน ด้วยกำลังพลบ่าวไพร่มากมายที่เขานำมาด้วย
หากปู้ฟางไม่คุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาจากเขาละก็ ซุนฉีเซี่ยงจะไม่มีวันปล่อยให้ชายหนุ่มรอดไปได้เป็นอันขาด!
ในตรอกนั้นเงียบสงัด หลังจากที่ซุนฉีเซี่ยงประกาศศักดาเสร็จเรียบร้อย ภาพปู้ฟางที่ทรุดลงแทบเท้าอ้อนวอนกราบกรานเขาก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด ชายหนุ่มเจ้าของร้านยังคงนอนขดอยู่บนเก้าอี้ อาบแดดอย่างสบายอารมณ์
บ่าวไพร่ชายฉกรรจ์ทุกคนต่างหันมามองซุนฉีเซี่ยงชายหนุ่มในชุดหลากสีสันรู้สึกเหมือนโดนลูบคมถึงขั้นสุด เขาไม่ได้คิดว่าตนเองจะโดนเมินเช่นนี้
ความโกรธแสนสาหัสพุ่งเข้าครอบงำจิตใจ ราวกับว่าปู้ฟางได้วิ่งเข้ามาตบหน้าเขาจนชาไปหมด
“พังมัน! พังทุกอย่างที่ขวางหน้าให้หมด! ถอนรากถอนโคนร้านมันทิ้งเสีย! ไอ้ฉิบหายเอ๊ย ข้าอยากให้ไอ้สารเลวนี่มันรู้ซึ้งนัก ว่าไอ้พวกที่กล้ามาลองดีกับข้าไม่มีใครได้ตายดี!”
………………………………..