ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 99 ถอดเกราะ
บทที่ 99 ถอดเกราะ
ลัทธิบัวขาว (白蓮教 ไป๋เหลียนเจี้ยว) เป็นลัทธิความเชื่ออันมีที่มาแท้จริงค่อนข้างเป็นปริศนา ทว่าสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือคำสอนค่อนข้างเกินไปจริงไปมาก ยกตัวอย่างเช่นสามารถทำให้สาวกร่ำรวยถ้าอุทิศตนมากพอ สามารถทำให้สาวกหายจากโรคร้ายถ้าอุทิศตนมากพอ บ้างก็ถึงขั้นสามารถทำให้สาวกงอกอวัยวะใหม่ขึ้นมาได้หากอุทิศตนมากพอ
ด้วยคำสอนชวนให้ผู้คนงมงาย สุดท้ายสาวกจึงมีเป็นจำนวนมาก
เรียกได้ว่ามีคนทุกแบบทุกระดับชั้น…
ชาวนายากจนต้องการร่ำรวย ก็เป็นสาวก
คนป่วยไข้ไม่มีทางหาย ตนเองและคนในครอบครัวจึงยอมเป็นสาวก
ผู้พิการแขนขาขาดก็อยากให้อวัยวะงอกมาใหม่ ดังนั้นจึงสมัครเป็นสาวก แน่นอน นี่รวมไปถึงขั้นขันทีในวังหลวงด้วย
แม้กระทั่งขุนนางผู้มักใหญ่ใฝ่สูง คนพวกนี้แม้ไม่โง่และพอจะดูออกว่าลัทธินี้ช่างงมงาย แต่ทว่าเพราะมีการสะสมสาวกมาเนิ่นนานจึงทำให้มีสาวกเป็นขุนนางใหญ่มากมาย เมื่อรวมตัวก็ทรงพลังเป็นเส้นสายให้แก่กันและกัน สุดท้ายก็ล้วนเป็นสาวกเพราะต้องการความก้าวหน้าในวงการราชกาลซะอย่างนั้น
ลัทธินี้แผ่ขยายความเชื่อไปมากมายเนิ่นนาน ว่ากันว่าตอนนี้สมควรมีสาวกครึ่งแผ่นดิน
แน่นอน ว่าอีกครึ่งเป็นคนของลัทธิเนี่ยฝานที่เป็นมีคำสอนสมเหตุสมผล
เมื่อทราบข้อมูลนี้ซึ่งเซียงคงบอกมา หลี่เจียงถาน โค่วฉง และหวังกงกง สามผู้ยิ่งใหญ่จากวังหลวงล้วนขมวดคิ้วแน่น
“พวกมันกล้าหรือ? ไม่สิ …ต้องกล้าอยู่แล้ว” รัชทายาทหนุ่มขมวดคิ้วแน่น
ชัดเจนว่าต้องกล้าอยู่แล้ว…
ในยุคที่การศึกษาไม่เท่าเทียม การชักจูงให้ผู้คนคล้อยตามมิใช่เรื่องยาก ยิ่งมีคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่อย่างองค์ชายรองอยู่เบื้องหลัง ต่อให้ชาวประชาจะไม่กล้าลงมือ แต่การแฝงตัวยอดฝีมือเข้ามาก่อการก็ใช่ว่าจะทำมิได้
ใดๆ ในโลกล้วนไม่ยุ่งยาก ถ้าหากว่า… แนบเนียนมากพอ
การที่องค์ชายรองจัดฉากให้ตระกูลเซียงทรยศองค์ชายสามโดยไม่เหลือช่องทางเอาไว้ให้ตามสืบย้อนรอยนั่นก็ร้ายกาจมากแล้ว หากองค์ชายรองต้องการให้ลัทธิบัวขาวลงมือก่อจลาจลเพื่อลอบสังหาร…
น่ากลัวว่าเต็มที่ก็เอาผิดได้แค่เจ้าลัทธิบัวขาวเท่านั้น
ทุกคนล้วนเข้าใจ แต่ฟางมู่ไม่เข้าใจ
“เอ่อ ข้าถามหน่อยสิ ทำไมต้องเครียดกันถึงขนาดนั้น” เขาเกาหัวแกรกๆ “เราก็รู้ล่วงหน้าแล้วนี่นาว่าพวกเขาจะมาก่อจลาจล แบบนี้ก็แค่เตรียมตัวนิดหน่อย ก็น่าจะไม่มีปัญหามั้ง”
หลี่เจียงถานถอนหายใจ หมดอารมณ์จะอธิบาย
ดังนั้นหวังกงกงจึงเป็นคนแถลงไขเสียเอง
“ฐานะขององค์รัชทายาทสูงส่ง หากเกิดจลาจลขึ้นมาจริงๆ การลงมือกับประชาราษฏร์ก็ไม่ค่อยเหมาะสม…”
ฟางมู่เกาหัวแกรกๆ สมแล้วที่เป็นโลกคู่ขนาน ความคิดแบบนี้คงไม่มีแน่ๆ ในยุคศักดินาของราชวงศ์ถังจากโลกของเขา รับรองว่าเหล่าองครักษ์ของหลี่เจียงถานคงลงมือสังหารไม่ไว้หน้าเป็นแน่
“แต่ก็ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ” หวังกงกงเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ ศัตรูอยู่ในที่ลับ แต่เราอยู่ในที่แจ้ง ลัทธิบัวขาวแผ่ความเชื่อกว้างขวาง แม้แต่มหาขันทีในวังหลวงบางคนก็ยังนับถือ…”
ฟางมู่ถอยหายใจ ถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อนิดๆ
“แบบนี้ก็แสดงว่า แม้แต่ในวังหลวงก็ไม่ปลอดภัย”
โค่วฉงและหลี่เจียงถานพยักหน้า
องครักษ์เคราครึ้มเอ่ยเสียงขรึม
“แม้กระทั่งอาหารการกิน หากฝ่ายนั้นต้องการจริงๆ ลอบวางยาก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”
คนข้ามมิิติหัวเราะเสียงขืน
“เอาเข็มเงินตรวจพิษก็ได้นี่นา” ใช่ๆ ในหนังจีนยังมีเข็มเงินตรวจพิษเลยนี่ แล้วก็พวกให้ขันทีชิมอาหารก่อนไรงี้ก็ได้เปล่าหว่า
หลี่เจียงถานปฏิเสธ
“โลกใบนี้มีพิษหลากหลายเกินไป บ้างก็ออกฤทธิ์ทันที บ้างก็ออกฤทธิ์ยาวนานกว่าจะแสดงผลร้ายกาจ ถึงแม้วังหลวงของเราจะถอนพิษได้ทุกชนิดในใต้หล้า แต่ข้าก็ไม่คิดว่าฝ่ายหลี่เซี่ยนจะใช้วิธีนี้หรอก”
โค่วฉงและหวังกงกงพยักหน้าพร้อมกัน
“ทำไมล่ะ” แน่นอนว่าฟางมู่ต้องไม่เข้าใจ
รัชทายาทหนุ่มแถลงไข
“นั่นก็เป็นเพราะ… มัันชัดเจนเกินไป หากเรื่องเกิดในวังหลวงอย่างไรก็ตามสืบหาไม่ยาก อีกอย่างหากวายาพิษก็ไม่แน่ว่าข้าจะตายแน่ๆ ดังนั้นข้าเลยคิดว่าพวกเขาน่าจะใช้ลัทธิบัวขาวมาลอบก่อจลาจลสังหารระหว่างที่ข้ากลับวังหลวงเป็นแน่”
ฟางมู่เริ่มจะเข้าใจแล้ว
หากอีกฝ่ายจะลงมือ ก็ต้องมั่นใจว่าสามารถจัดการหลี่เจียงถานให้ได้ เพราะไม่อย่านั้น ก็เกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
“แล้วแบบนี้เจ้าจะทำอย่างไรเล่า” คนข้ามมิติเริ่มกังวลแล้วจริงๆ
หวังกงกงขมวดคิ้วทำหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย จากนั้นก็ราวกับคิดอะไรได้เลยหันไปมองเซียงคงอีกครา
“เจ้าบอกว่ามีวิธีที่จะทำให้องค์รัชทายาทรอดไปได้นี่นา?”
ใช่แล้ว เซียงคงบอกแบบนั้นจริงๆ กับฟางมู่
ดังนั้นทุกคนเลยมองไปที่นายน้อยสกุลเซียงผู้นี้อีกครั้ง ตั้งความหวังในใจลึกๆ ว่าอีกฝ่ายจะมีวิธีการดีๆ อย่างที่เคยเอ่ยออกมา
“ข้า… มีวิธีจริงๆ”
!!!!!!!
สีหน้าดีใจปรากฏขึ้นกับหลี่เจียงถาน เขาร้อนใจไม่น้อยถึงกับเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้าลองพูดมา”
เซียงคงส่ายหน้า
“ท่านต้องรับปากก่อน ว่าเมื่อข้าพูดออกไปแล้วจะไว้ชีวิตข้าจริงๆ”
“โอหัง” โค่วฉงชักดาบออกมาทำหน้าดุร้าย “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงกล้ามาต่อรองกับองค์รัชทายาท!!”
แต่หลี่เจียงถานกลับยกมือขึ้นมาปรามเอาไว้
“เรารับปาก”
!!!!
ทั้งฟางมู่ โค่วฉง และหวังกงกงสับสนนิดหน่อย ไฉนถึงรับปากเล่า
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เซียงคงโล่งอกนิดๆ นับว่าที่ทนทรมานมาหลายวันช่างคุ้มค่า
“เจ้ากล่าวต่อเถอะ วิธีใดเล่าที่จะแก้ไขปัญหานี้”
ครึ่งมังกรสายตาทอประกายเจ้าเล่ห์
“มีสองวิธีด้วยกัน” เพราะถูกพันธนาการด้วยโซ่อยู่จึงทำได้แค่ขยับหัวได้นิดหน่อย หนุ่มหน้าหยกเอียงคอไปมาจนกระดูกดังกร๊อบแกร๊บน่าหวาดเสียว จากนั้นจึงพ่นวิธีแรกออกมา
“วิธีแรก สังหารลัทธิบัวขาวทิ้งซะให้หมด แน่นอน หากลงมือกับองค์ชายรองได้ด้วยจะถือว่าไร้ภัยคุกคามอย่างแท้จริง”
“ไร้สาระ วิธีเด็กเล่นเช่นนี้ไหนเลยพวกเราจะคิดไม่ได้?” โค่วฉงก้าวเท้าออกมาบ้าง ท่าทางคุกคามชัดเจน “สาวกของพวกมันมีมากมาย ไหนเลยสังหารหมด ถึงจะแค่สังหารเหล่าแกนนำที่เป็นคนรับคำสั่งมาจากองค์ชายรอง พวกเราก็ยังไม่รู้ว่ามีใครบ้าง”
ครึ่งมังกรหันมามองคนเคราครึ้มแล้วยิ้มเยาะ
“แต่ข้ารู้”
!!!!
อีกครั้งแล้วที่เซียงคงทำให้ทุกคนอึ้ง
“เรียนพระองค์ตามตรง กระหม่อมเอาใจออกห่างบ้านสกุลเซียงมาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้น… จึงรวบรวมรายชื่อที่พวกท่านต้องจัดการหากจะล้มล้างลัทธิบัวขาวเอาไว้แล้ว แน่นอน… บิดาของข้าเซียงตู๋ก็เป็นหนึ่งในเจ้าลัทธิสาขาย่อยเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงหาข้อมูลได้ไม่ยากว่าเจ้าลัทธิแต่ละคนคือใครและอยู่ที่ใดบ้าง”
“………”
ทุกคนเงียบกริบ
กระไร เอาใจออกห่างตั้งนานแล้ว?
หวังกงกงกระซิบองค์รัชทายาท
“ข้าน้อยเกรงว่านี่อาจจะเป็นกับดัก….”
“อืม” หลี่เจียงถานรับคำ แต่ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเชื่อแบบนั้นไหม
ที่บอกว่าเป็นกับดักนั่นก็ชัดเจนดี ยามที่รัชทายาทส่งคนไปฆ่าเจ้าลัทธิสาขาย่อยๆ เหล่านั้นแล้วหากไม่ระวังตัว ดีไม่ดีจะเสียกองกำลังส่วนตัวไปเพราะเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะวางกับดักเอาไว้
ถึงแม้วิธีนี้จะไม่เลว แต่… ก็มีความเสี่ยง
“เจ้าบอกว่ามีสองวิธี?” ผู้สูงศักดิ์ที่สุดเอ่ยเสียงเรียบ
“ขอรับ”
“งั้นก็ลองพูดมาอีกวิธี”
เซียงคงเอ่ยราบเรียบ
“สังหารองค์ชายรองซะ”
!!!!!!!
คำพูดนี้ช่างอหังการนัก สังหารราชนิกูลมีโทษเพียงใดไหนเลยจะมีคนตระหนักไม่ได้ เกรงว่าอาจจะเป็นโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร ซ้ำแล้วยังต้องมีคนสังเวยชีวิตจนกลายเป็นธารโลหิตขนาดย่อมๆ
ทว่าคราวนี้โค่วฉงหรือหวังกงกงไม่ตะโกนคำว่า ‘บังอาจ’ อีกแล้ว
นั่นก็เพราะทั้งสองล้วนเข้าใจดี วิธีการนี้… เรียกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน
เจ้าอยากจะสังหารข้างั้นหรือ?
งั้นข้าก็จะสังหารเจ้าซะ!
เช่นกัน คราวนี้หลี่เจียงถานเองลึกๆ ก็ทราบ ว่าการจะสังหารองค์ชายรองไหนเลยง่ายดาย แต่การที่เซียงคงเสนอวิธีการเช่นนี้ ก็คาดว่าตัวเขาอาจจะมีแนวทางสร้างโอกาสให้ลงมือสังหารหลี่เซี่ยนก็เป็นได้
ฟางมู่เหงื่อตกแล้ว
นะ-นี่มัน… วางแผนฆ่าคนกันจริงจังเลยนี่นา
หลี่เจียงถานหันมามองฟางมู่
“สหาย ขอพวกข้าคุยกันเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?”
ประจวบเหมาะพอดิบพอดี ฟางมู่เองก็กระอักกระอ่วมไม่น้อยที่จะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเกมชิงบัลลังก์ แต่เมื่อฝ่ายนั้นเป็นคนขอมา เขาก็เลยได้โอกาสไหลไปตามน้ำ
“อื้อ” เด็กหนุ่มคิดในใจ ไม่ว่าจะตัดสินใจว่าอย่างไร มันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาแล้ว เรื่องพี่ใหญ่ก็ฝากฝังไปแล้ว ดังนั้น… เขาถอยมาล้วนดีที่สุด
ดังนั้นเจ้าตัวจึงเดินออกมา
ทว่าทันที่ทีเขาออกมาจากถ้ำ เหล่าองครักษ์ที่ถูกสั่งให้รักษาความปลอยภัยด้านนอกก็มองมาที่ฟางมู่ราวกับจะดูว่าใช่นายของตนหรือไม่ พอเห็นว่าไม่ใช่ก็เพียงยิ้มให้นิดๆ ก่อนที่จะกลับไประวังรอบด้านเหมือนเดิม
พึบพับ พึบพับ พึบพับ
“หือ??”
เสียงปีกอะไรสักอย่างกระพือจนดังพอจะสังเกตุ เมื่อเด็กหนุ่มรับรู้ได้ว่ามันมาจากด้านบน เขาก็เงยหน้าขึ้นไป
เป็นนกตัวหนึ่งบนฟ้า
“????”
เหล่าองครักษ์เห็นว่าจู่ๆ ฟางมู่ก็เงยหน้ากระทันหันนัก ดังนั้นเลยตกใจไม่น้อยเงยหน้ามองบ้าง แต่เมื่อพบว่าไม่มีอะไรก็พากันส่ายหน้าแล้วกลับมาทำตามหน้าที่ของตน
‘พวกเขาไม่เห็น?’
ประหยาดใจนักว่าทำไมพวกเขาถึงทำราวกับมองไม่เห็นนก แต่เมื่อมันบินลงมาเรื่อยๆ ฟางมู่ก็ชัดแจ้งแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ใยดีนกตัวนี้
นั่นก็เพราะว่าพวกเขา… มองไม่เห็น
และก็เพราะว่ามันเป็นวัตถุวิเศษ
กระเรียนจดหมาย!
หมับ
นกบินมาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าของเด็กหนุ่ม ผู้ใช้ระบบความดีไม่รอช้า คว้าจับกระเรียนกระดาษที่กลายร่างเป็นจดหมายทันทีที่สัมผัสปลายนิ้วมือ
“พี่จี้หรือ?”
เท่าที่รู้ก็มีแค่จี้หลางเสินคนเดียวเท่านั้นที่จะส่งจดหมายมาให้เขา ดังนั้นจึงไม่รอช้า ส่งจดหมายมาแบบนี้ก็แปลว่าด่วนมาก เด็กหนุ่มเลยเปิดอ่านทันที
‘พรุ่งนี้ ที่ทำการลัทธิเนี่ยฝานประจำเมืองเหอเฉียน มาแต่เช้า’
ฟางมู่ขมวดคิ้ววุ่น
“เรื่องด่วนจริงๆ ด้วยแหะ” เขาเกาหัวแกรกๆ “สงสัยจะเป็นเรื่องใหญ่สินะ อืม พรุ่งนี้ข้าไปก็ได้”
_____________________________________________
เสียงตบโต๊ะดังลั่น จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงโครมครามหลายสิ่งอย่าง เมื่อลองดูดีๆ ก็พบว่า คนที่เตะโต๊ะจนล้มพินาศนั่นก็ไม่ใช่ใครนอกไปจาก… ฟางล่ง บิดาของฟางมู่
“บัดซบ!” นายร้อยกองธงเล็กแห่งกองทัพที่มีความชอบมากที่สุด ณ นอกด่านสบถด่าเสียงลั่น “แย่งความดีความชอบ นี่มันแย่งความดีความชอบกันชัดๆ เลย!”
“…..”
ขณะที่ฟางล่งกำลังโวยวาย เจี๋ยหลี่ที่นั่งอยู่บนโต๊ะแม่ทัพพร้อมด้วยชุดเกราะเต็มขั้นก็ทำได้แต่ค่ถอนหายใจ
ในมือของเขาถือคำสั่งด่วนที่ลงนามโดยแม่ทัพใหญ่ทั้งสามแห่งต้าถัง
ความในนั้นมีคำสั่งชัดเจน เจี๋ยหลี่สร้างความดีความชอบมหาศาล เขาตีชนเผ่าคิยาดจนแตกพ่ายได้สำเร็จ ให้กลับฉางอันไปเป็นแม่ทัพเฝ้าพระนคร รอการอวยยศโดยกรมพระราชสำนัก
อันที่จริงคนที่ต้องกลับไปรับการอวยยศไม่ได้มีแค่เจี๋ยหลี่ แต่มีฟางล่งและทหารคนอื่นๆ จากกองทัพขององค์ชายสามด้วย
เดี๋ยวนะ แล้วการอวยยศไม่ดีตรงไหน?
อธิบายโดยให้เข้าใจง่ายก็มิได้มีอะไรซับซ้อนเลย เดิมทีแม่ทัพใหญ่ทั้งสามแห่งต้าถังล้วนต้องการกำจัด ‘เผ่าคิยาด’ ที่เปรียบเสมือนดาวเพชรฆาตของกองทัพถัง แต่พวกเขาไม่อยากออกไปรบเอง เพราะกลัวว่าจะมีอันตรายถึงชีวิต
ประจวบเหมาะกับที่เจี๋ยหลี่ลุกผงาดขึ้นมาพอดี พวกเขาเลยส่งกองทัพของตัวเองมาช่วยรบ เดิมทีคิดแค่ว่าอยากจะให้เจี๋ยหลี่ลองหยั่งเชิงเตมูร์ซาอะไรนั่นเฉยๆ ไม่คิดจริงๆ ว่าเจ้าเด็กหน้าอ่อนนี่จะเอาชนะเผ่าคิยาดได้จริงๆ
ชนะแล้วเป็นอย่างไร? ก็ดีน่ะสิ แต่ไม่ได้ดีกับพวกสามแม่ทัพหรอกนะ
เจี๋ยหลี่ไม่มีคนหนุนหลังทำอะไรก็ย่อมไม่สะดวก แต่แม่ทัพทั้งสามมีคนหนุนหลัง ดังนั้นเพื่อเป็นการไม่ให้ความดีความชอบหลุดไปที่คนอื่นมากกว่านี้
งั้นพวกข้าส่งเจ้ากลับไปฉางอันแล้วกัน
ต้องเข้าใจนะว่าวงการราชกาลช่างบัดซบ พวกข้าสามแม่ทัพครองอำนาจมาช้านาน อยู่ๆ จะให้คนอื่นมาเกินหน้าเกินตาได้อย่างไร เจ้าตีเผ่าคิยาดแตก? ตามธรรมเนียมคือต้องยึดจุดยุทธศาสตร์นี่ไว้ ถ้าเจี๋ยหลี่ทำสำเร็จ เขาก็จะได้ความชอบมากมาย
ไม่ได้ เจี๋ยหลี่ไม่ใช่คนของพวกข้า ดังนั้นความดีความชอบนี้ หาทางถ่ายโอนมาให้คนในสังกัดข้ามิดีกว่าหรือ?
ง่ายๆ ชัดๆ และกระชับมาก สามแม่ทัพลงมือสอดประสาน ให้เหล่าขุนนางบุ๋นที่ถือหางกันช่วยถวายฏีกา บอกว่าเจี๋ยหลี่ยังหนุ่มแน่นมีฝีมือร้ายกาจ ให้กลับมาป้องกันฉางอันจะดีกว่า
อันที่จริงเจี๋ยหลี่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนหนุนหลัง เพราะคนหนุนหลังก็คือองค์ชายสามอย่างไรเล่า แต่ช่วยไม่ได้ ตอนนี้หลี่หลงซ่างแม้แต่ตัวเองยังเอาไม่รอด กลายเป็นนักโทษหนีคดี ดังนั้นสามแม่ทัพดีดนิ้วคราหนึ่งเจี๋ยหลี่เลยถูกเด้งกลับไปพระนครเช่นนี้
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
“ช่างเถอะท่านอาฟาง อย่างน้อยก็นับว่าได้กลับบ้าน…” พอนึกๆ ว่าหากตนกลับต้าถัง แม้เต็มที่อาจจะเป็นได้แค่ขุนนางบู๊ขั้น 5 ที่ค่อนข้างกลางๆ ไม่สูงไม่ต่ำ แต่ถ้าได้ใช้ชีวิตใกล้เคียงกับฟางมู่ อืม… นั่นก็ไม่เลวนะ
แถมฟางล่งยังได้กลับไปพร้อมเจี๋ยหลี่ด้วย ไม่สิ คนขององค์ชายสามทุกคนล้วนต้องกลับ เพราะยามนี้สามแม่ทัพจะสร้างความชอบโดยการปรายทัพมองโกลอย่างจริงจังแล้ว
“เห้อ ความชอบของข้า…” ฟางล่งครวญนิดหน่อยในใจ กลับไปตอนนี้เต็มที่ก็อาจจะได้รับการอวยยศขั้นเล็กๆ ฟางล่งยังไม่ทราบว่าตัวเองตอนนี้เป็นตระกูลร่ำรวยแล้ว ดังนั้นเลยเสียใจไม่น้อยที่มิอาจทำให้ครอบครัวได้รับวาสนาที่ดีไป
ทหารคนสนิทที่รับหน้าที่เขียนจดหมายให้ฟางล่งเห็นท่าทีแบบนี้ของเขาแล้วก็ถอนหายใจ ความชอบของท่านบ้าอะไรเล่า ท่านเอาแต่อยู่ด้านหลังนะ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะแม่ทัพเจี๋ยต่างหาก… เอ๋ ทำไมข้าถึงรู้น่ะหรือ นั่นก็เพราะว่าข้าก็อยู่ข้างหลังท่านอีกทีอย่างไรเล่า…
เอาเถอะ ในเมื่อคำสั่งออกมาแล้ว และตอนนี้เขาปราศจากคนหนุนหลัง จะอย่างไรก็ไม่สามารถขัดได้ ต้องกลับฉางอันจริงๆ
เจี๋ยหลี่ส่ายหน้ายิ้มแย้ม
“ฟางมู่ เราจะได้เจอกันซะทีนะ”
ฟางล่งสะดุ้ง
เดี๋ยวนะ
ตะกี้ไอ้แม่ทัพคนบ้านเดียวกันกับข้า เพิ่งจะเอ่ยชื่อลูกชายข้าออกมาเหรอ?
แถมยังทำหน้าเคลิบเคลิ้มเสียด้วย
‘สายตานั่น ฮึ่ม… กลิ่นแปลกๆ !’ ฟางล่งหลี่ตาเล็กหยี กลิ่นอายพ่อหมาห่วงลูกหมาแผ่กำจายออกมานิดๆ ตามสัญชาตญาณ