ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 332
เมื่อเหล่าทหารกลับมา บริเวณลานบ้านก็ครึกครื้นขึ้นมาทันที
ทหารสองสามคนรีบไปดูม้า
ส่วนคนอื่นๆ ก็ลากแคร่เลื่อนเล็กใหญ่เข้ามาในลานบ้าน
เอาซากสัตว์ป่าที่ตายแล้วมาวางเรียงรายบนพื้น เลือดไหลนองมากทีเดียว
กระต่ายป่าหนึ่งกระสอบ เมื่อเทออกมา กระสอบชุ่มไปด้วยเลือดอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อเทไก่ป่าออกมาจากกระสอบ พวกมันแข็งสนิท
พวกซ่งฝูเซิงไม่มีเวลาสนใจ ‘ของเล่น’ พวกนี้ พากันไปล้อมหมีป่าหนึ่งตัว เสือที่บึกบึนมากอีกสองตัว วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างออกอรรถรส รู้สึกเหมือนกันว่า ‘คนเป็นทหารไปล่าช่างแตกต่าง พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง เก่งอะไรอย่างนี้’
ส่วนหมาป่า พวกซ่งฝูเซิงไม่อยากไปดูแล้ว มีเพียงหัวหน้าตระกูลเหรินที่จ้องหมาป่าตาเขม็ง
เกิ่งเหลียงนึกไม่ถึงว่าหัวหน้าตระกูลเหรินก็อยู่ด้วย
พอเห็นสีหน้าของหัวหน้าตระกูลเหรินก็นึกไปถึงครอบครัวในหมู่บ้านที่ถูกหมาป่ากัดตาย รวมถึงค่าใช้จ่ายจากในหมู่บ้านที่พวกเขามาครั้งนี้ เกิ่งเหลียงพูด “หมาป่าสี่สิบกว่าตัวนี้ ขอมอบให้คนในหมู่บ้านขอรับ”
ทันใดนั้นเหรินโหยวจินได้หันไปมองเกิ่งเหลียง ดวงตาแดงก่ำ สีหน้าบ่งบอกว่า ‘เมื่อถึงเวลาสำคัญก็ต้องหวังพึ่งพวกทหารนี่แหละ’
เขาสูดจมูกอย่างแรงแล้วมองท้องฟ้าที่มืดสนิท สะกดความเจ็บปวดภายในจิตใจ
เพราะความรู้สึกในเวลานี้ รวมถึงคำพูดที่ซ่งฝูกุ้ยเคยพูดไว้ ‘ให้ตายเถอะ ทำไมเพิ่งจะมากัน’
หากทหารพวกนี้ที่สามารถออกหน้าช่วยชาวบ้านมากันเร็วกว่านี้
หลานชายที่มีอนาคตที่สุดของเขาก็คงไม่ตาย
ตอนนี้เขาก็คงจะไม่มีความคิดแค้นอะไร ตั้งหน้าตั้งตาสอนหนังสือหลาน หวังให้ราชวงศ์เป็นปึกแผ่นในเร็ววัน ฟื้นฟูการสอบจอหงวน
และเขาก็ไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้าน
เขาทระนงตนเพียงใด ตอนนั้นหากมีคนบอกเขาว่าในอนาคตจะมีสักวันหนึ่งที่เขาต้องมีปากเสียงกับเหรินกงซิ่น เขาคงจะบอกว่าคนผู้นั้นอาการหนักแล้ว
เขาเป็นใคร ผู้เฒ่ามากความสามารถ ไม่อยากเป็นพวกเดียวกับคนป่าเถื่อน
เขาคิดว่า เขาคงจะพาชาวบ้านส่วนหนึ่งที่เชื่อในตัวเขามาตลอด พักอาศัยอยู่ตรงแม่น้ำนี้เหมือนอย่างพวกซ่งฝูเซิง
อันที่จริงทุกครั้งที่มาที่นี่ ภายในใจของหัวหน้าตระกูลเหรินจะเกิดความรู้สึกสับสน
บ้านทุกหลังของที่นี่ พวกเขาสร้างมาเองกับมือ
“ใต้เท้า น้ำใจของท่านข้ารับไว้แล้ว ข้าปลงได้แล้ว ได้เห็นวันนี้ที่หมาป่าพวกนี้ถูกฆ่าก็พอใจแล้ว”
ลุงซ่งคาบกระบอกยาสูบพลางคิดในใจ เขาไม่ได้ให้เจ้าคนเดียว แต่ให้คนในหมู่บ้าน รับน้ำใจอะไรเล่า ยังจะพูดว่าพอใจแล้วอีก
ซ่งฝูกุ้ยมองตาปริบๆ ฆ่าแค่นี้ก็พอแล้วเหรอ ท่านกำลังไล่ให้พวกรองผู้บัญชาการเกิ่งกลับไปอย่างนั้นรึ ถ้าจะไป ท่านก็ไปสิ หมาป่าพวกนี้ยกให้ พรุ่งนี้พวกเรายังอยากขึ้นเขาอีก พอเพออะไรเล่า
ซ่งฝูเซิงพูด “ท่านอาหลี่เจิ้ง ไปเรียกคนมาหามไปเถอะ หนังหมาป่าพอขายได้เงินอยู่บ้าง ในเมื่อใต้เท้าให้ ทางหมู่บ้านก็ย่อมต้องรับไว้”
พอได้ยินว่าขายได้เงิน หัวหน้าตระกูลเหรินก็ยิ่งไม่ต้องการ
อันที่จริงเขาอยากหาโอกาสขอบคุณซ่งฝูเซิงมาตลอด
เขาควรแสดงออกต่อตำแหน่งหลี่เจิ้งที่ได้มานี้บ้าง
แต่คนอย่างเขา มองผิวเผินเหมือนเปลี่ยนแปลงนิสัยบางอย่างไปบ้าง แต่ในบางเรื่องก็ยังคงรู้สึกว่าถ้าทำโจ่งแจ้งเกินไป หากตั้งใจให้ของตอบแทน กลับจะกลายเป็นการหักหาญน้ำใจแทน
หัวหน้าตระกูลเหรินบอกปัด “เชื่อข้า พวกเจ้าเก็บเอาไว้ คิดเสียว่าคนในหมู่บ้านชดเชยเรื่องบ้านให้พวกเจ้า ตอนนั้นที่พวกเจ้าเข้ามาอาศัยในหมู่บ้านนี้ เดิมทีคนในหมู่บ้านควรช่วยจัดหาห้องหับให้พวกเจ้าอยู่ แต่กลับมาแบ่งพื้นที่นี่ให้”
เกิ่งเหลียงพูดขัดจังหวะ เขายังไม่ได้กินข้าวเลยนะ หิวมากทีเดียว ไม่อยากฟังคนแก่บ่นแล้ว
“ของของพวกเขา ยังมีเสือ มีหมี อีกทั้งพรุ่งนี้ขึ้นเขาก็ยังจะมีอีก ท่านรีบไปเรียกคนมาหามไปเถอะขอรับ”
ลุงซ่งได้ฟังก็ดีใจ เสือสองตัวกับหมีหนึ่งตัวยกให้พวกเขา ต่อให้เขาซื่อบื้อก็รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้แพงกว่า
ต้องทราบก่อนว่า พวกเขาไม่ใช้เงินสักเหวินเดียวนอกจากเรื่องทำอาหาร แต่กลับได้หมีกับเสือมาเปล่าๆ นี่มันเป็นการได้เปรียบครั้งใหญ่เลยจริงๆ
ผูกกระบอกยาสูบไว้กับเอว รีบพูดด้วยความดีใจ “ไม่ต้องๆ ยังจะกลับเข้าหมู่บ้านเรียกคนทำไม นั่นน่ะ เด็กๆ!”
“ขอรับ!”
ไม่ว่าตอนนี้พวกเด็กหนุ่มกำลังวุ่นอยู่กับอะไร พอได้ยินท่านลุงซ่งกับซ่งฝูเซิงเรียก ต่างก็ต้องตะโกนขานรับ นี่เป็นกฎของพวกเขา
“ช่วยหลี่เจิ้งหามหมาป่าเข้าหมู่บ้าน ของพวกเขาทั้งหมด ของพวกเขาทั้งหมด”
ดังนั้นคืนนี้ ไม่เพียงแต่ทางฝั่งแม่น้ำนี้จะยิ้มกันเบิกบาน ชาวหมู่บ้านเหรินจยาก็เปรมปรีดิ์กันถ้วนหน้า
เพราะท่านอาหัวหน้าตระกูล ไม่สิ ผุย ตอนนี้เป็นท่านอาหลี่เจิ้งแล้ว
ท่านอาหลี่เจิ้งพูดแล้วว่า ให้เลือกหมาป่าที่สภาพสมบูรณ์หลายตัวเพื่อยกให้กับครอบครัวที่มีคนตาย จะเอาไปต้มไปสับเป็นชิ้นๆ ระบายอารมณ์ก็ตามใจ จากนั้นพวกเจ้าที่เหลือก็แยกเอาหนังหมาป่าไปขาย เอาเงินไปใช้รักษาคนในบ้านที่ถูกหมาป่ากัด คิดเสียว่าเป็นน้ำใจของคนในหมู่บ้าน ขายได้เงินเท่าไหร่ ทางหมู่บ้านไม่ขอรับทั้งนั้น
คำพูดนี้ทำเอาท่านยายไจ๋กับอีกครอบครัวเกือบร่ำไห้จนหมดสติ
เกือบคุกเข่าคำนับหัวหน้าตระกูลเหริน ทั้งยังอยากข้ามแม่น้ำไปคำนับเหล่าทหาร
ถูกไหมล่ะ บ้านที่มีคนตายก็ต้องปลอบขวัญก่อน และยังมีคนที่บาดเจ็บสาหัสรออยู่ จำเป็นต้องใช้เงินรักษาตัว
ช่วงหลายวันมานี้ สองครอบครัวนี้ต่างต้องจัดการขายที่ดินกันแล้ว
จะทนดูอยู่เฉยๆ ไม่รักษาก็ไม่ได้ หากไม่รักษาก็จะมีคนตายเพิ่มขึ้นในบ้านอีก
คนในหมู่บ้านเห็นแล้วก็ถึงกับสะอื้นไปด้วย รู้สึกแบบเดียวกัน
หมาป่าวิ่งมาหาสองบ้านนี้ ถือเป็นคราวซวยของสองครอบครัวนี้
ทุกคนคิดว่า ถ้าเกิดวิ่งมาที่บ้านพวกเขาล่ะ คงน่าอนาถใจยิ่งกว่าครอบครัวท่านยายไจ๋ สกุลไจ๋ยังถือว่ามีฐานะในหมู่บ้าน
แม้แต่พวกป้าอ้วนก็เลิกแอบกินฟองเต้าหู้ในมือแล้ว รู้สึกว่าเวลานี้เคี้ยวอะไรในปากดูเหมือนจะไม่ค่อยดี
หัวหน้าตระกูลเหรินทำท่าทางบอกให้คนที่อยู่ตรงนั้นช่วยประคองสองครอบครัวที่กำลังจะคำนับเขา
ตะโกนขึ้น
“ข้าไม่ต้องการให้ใครจดจำเป็นบุญคุณของข้า…
…แต่ข้ามีคำพูดบางอย่างที่อยากพูดกับทุกคน…
…หมู่บ้านของเรา อาศัยอยู่ที่นี่กันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ วันข้างหน้าลูกหลานก็อยู่ที่นี่ ต้องอยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย…
…รู้หรือไม่ว่าพวกคนที่มาอาศัยอีกฝั่งของแม่น้ำทำไมถึงเลี้ยงสัตว์ใหญ่ได้ในเวลาสั้นๆ…
…ตอนนั้นที่พวกเขาเพิ่งมาอยู่ในหมู่บ้าน พวกเขามีสภาพเป็นอย่างไร…
…เข็นรถผุพังสภาพร่อแร่สิบกว่าคัน รองเท้าขาดจนนิ้วโผล่ แต่ละคนผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก พวกเจ้ายังจำได้ไหม…
…แล้วพวกเจ้าลองดูพวกเขาในตอนนี้…
…แต่ละคนแข็งแรง ขึ้นไปบนเขาได้ ล่าหมาป่าเป็นฝูงได้ พวกเด็กๆ มีชุดใหม่สวมใส่ มีที่ปิดหู แต่งตัวหนากว่าเด็กในหมู่บ้านของเรา…
…เพราะอะไร พวกเจ้าไม่เคยคิดกันเลยหรือ…
…คนพวกนั้นเหนือกว่าพวกเราตรงที่สมัครสมานสามัคคี…
…ตะเกียบหนึ่งแท่ง แค่จับบิดก็หัก…
…หากเป็นตะเกียบหลายแท่งมัดรวมกัน เจ้าลองหักดูสิ…
…พวกเราเจอหน้ากันทุกวัน แต่ละครอบครัวเป็นเครือญาติ แต่กลับสู้คนพวกนั้นไม่ได้เชียวรึ”
คำพูดนี้ของเหรินโหยวจินทำให้ทุกคนฉุกคิด
ผู้อาวุโสหลายสิบคนในหมู่บ้านก็พูดเสริม “เด็กหนุ่มของแต่ละบ้าน พวกเราเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอโตแล้วคนที่แล้งน้ำใจกลับมีเยอะขึ้น”
พวกเด็กหนุ่มต่างเงียบเสียง
พอได้ยินคำประกาศของหัวหน้าตระกูลเหริน หนังหมาป่าสามสิบกว่าตัวที่เหลือจะถูกนำไปขาย จากนั้นก็จะแบ่งเงินให้ทุกคนจนไม่เหลือสักเหวิน พวกชาวบ้านก็ยิ่งซึ้งใจ
ต่อให้หนึ่งครอบครัวจะได้เพียงไม่กี่เหรียญทองแดง ก็ยังถือว่าได้รับมาแบบเปล่าๆ
ชาวบ้านแต่ละคนต่างมองเหรินจื่อจิ่ว ลูกชายของเหรินกงซิ่นด้วยสายตารังเกียจ ราวกับกำลังพูดว่า มันต้องอย่างนี้สิหัวหน้าตระกูลเหริน นิสัยไม่เหมือนกับพ่อเจ้า เก่งกว่าพ่อเจ้าเสียอีก!
ส่วนผู้คนอีกฝั่งของแม่น้ำเริ่มกินข้าวกันแล้ว