ทะลุมิติครั้งนี้ฉันจะเป็นเศรษฐีนีด้วยซูเปอร์มาร์เก็ต - เล่มที่ 1 บทที่ 4 แยกเรือน
เคอโยวหรานเอ่ยในใจ : ดังคาด ยังคงแบ่งเช่นนี้! ครอบครัวชาวนาทั่วไปมีที่ดินหนึ่งถึงสองหมู่ก็นับว่ามั่งคั่งแล้ว สกุลเคอมีที่ดินสามสิบห้าหมู่แต่กลับไม่พอแบ่งกัน? เหอๆ…
เหนือศีรษะของผู้ใหญ่บ้านเฉินและผู้อาวุโสทุกท่านถึงกับมีอีกาบินเรียงแถว!
ผู้เฒ่าเคอผู้นี้จะลำเอียงเกินไปแล้วกระมัง! มีผู้ใดสาปแช่งบุตรชายของตนเองว่าไร้ทายาทบ้าง?
เจ้าใหญ่สกุลเคออายุแค่สามสิบ คือช่วงวัยกำลังดี การให้กำเนิดบุตรน่าจะไม่เป็นปัญหา เหตุใดกลับกลายเป็นคนไร้ทายาทเสียแล้ว?
ภายในหมู่บ้านมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าบุตรคนแรกสุดของครอบครัวใหญ่สกุลเคอมิใช่เคอต้ายา แต่เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
ในปีที่บุตรชายคนโตของเขาเพิ่งจะครึ่งขวบมีหิมะตกหนัก แต่แม่เฒ่าเคอกลับบังคับให้สองผัวเมียขึ้นเขาไปเก็บฟืนให้จงได้ บอกว่าตนจะคอยดูแลหลานชายคนโตเอง
ทว่าผู้ใดจะคาดคิด ครั้นคนทั้งสองฝ่าพายุหิมะกลับมาหลังจากเก็บฟืนทั้งวัน เด็กน้อยครึ่งขวบผู้นั้นก็แข็งตายอยู่ตรงหัวเตียงใกล้เตาไฟเสียแล้ว
แม่เฒ่าเคอมิได้ไปเติมฟืนในเตาไฟเลยสักน้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ยอมไปดูแลหลานชายของตนแต่อย่างใด
หลังจากคลอดเคอต้ายาได้ไม่นาน ถงซื่อยังตั้งครรภ์อีกครั้ง ตอนตั้งครรภ์ได้แปดเดือนกลับถูกแม่เฒ่าเคอทุบตีอย่างไร้เหตุผล
ยามนั้นทารกพลันไหลออกมา คือเด็กน้อยเพศชายที่เป็นรูปเป็นร่างแล้ว หลังจากนั้นถงซื่อก็ร่างกายทรุดโทรม ผ่านไปอีกสามปีจึงค่อยตั้งครรภ์เคอเอ้อร์ยา
อีกทั้งทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยังใกล้กับภูเขาต้าชิง บนเขามีฝูงหมาป่าเคลื่อนไหว ยามนี้มีเพียงสกุลต้วนที่อพยพมาจากต่างถิ่นอาศัยอยู่ที่นั่น
ที่ดินสองหมู่นั้นยิ่งแห้งแล้งจนไม่เข้าท่า กระทั่งหญ้ายังมิอาจงอกขึ้น
หากแยกเรือนทั้งเช่นนี้ก็เท่ากับบีบครอบครัวใหญ่ของเคอต้าส่าเข้าสู่ความตาย! บรรดาชาวบ้านที่ชมความครึกครื้นอยู่ข้างนอกล้วนทอดถอนใจอย่างอดมิได้!
ทุกคนพากันส่งสายตาเวทนามาทางครอบครัวของเคอโยวหรานทั้งห้าคน
เคอโยวหรานถอนหายใจ ดึงซานยาเข้ามาก่อนกระซิบข้างหูนางไม่กี่ประโยค
ซานยาพยักหน้าแล้ววิ่งเข้าไปในห้องโถงภายในไม่กี่ก้าว เด็กน้อยเอ๋ย! หากบุ่มบ่ามทำสิ่งใดลงไปยังให้อภัยได้ เพราะเด็กยังเล็กและไม่รู้ความ!
นอกจากนั้นรูปร่างของซานยายังให้ความรู้สึกตบตาอย่างยิ่ง ทั้งที่อายุแปดขวบแล้ว แต่รูปร่างกลับซูบผอมไม่ต่างจากเด็กสี่ห้าขวบ ท่าทางน่าสงสารเช่นนั้น ผู้ใดเห็นก็ล้วนมิอาจหักใจตำหนิ
ซานยาคุกเข่าโขกศีรษะไปทางผู้ใหญ่บ้านเฉิน ผู้นำทั้งสองสกุล และผู้อาวุโสทุกท่านอย่างมีมารยาท จากนั้นร้องทุกข์ทั้งน้ำตาว่า
“ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน ท่านผู้นำสกุลทั้งสองท่าน และผู้อาวุโสทุกท่านเจ้าคะ ท่านพ่อของข้าปัญญาทึบ แต่ตลอดหลายปีมานี้เป็นผู้ที่ทำงานหนักมากที่สุด ที่ดินสามสิบห้าหมู่ภายในเรือน ล้วนเป็นท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าที่ไปเช้ากลับค่ำคอยดูแลเจ้าค่ะ
ผลผลิตจากที่นาแต่ละปี ครอบครัวของพวกเราก็มิได้อันใดสักอย่าง ล้วนกลายเป็นค่าครูของท่านอารองกับท่านอาสี่ทั้งหมดแล้วเจ้าค่ะ
พวกเราสามพี่น้องเองก็ไม่เคยอยู่เฉย ไก่ เป็ด และหมูภายในเรือน มีเพียงพวกเราสามพี่น้องที่ขึ้นเขาไปขุดผักป่าและหญ้าเลี้ยงหมูมาเลี้ยงเจ้าค่ะ
ยามนี้จะแยกเรือนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะแบ่งเงินและธัญพืชสักหน่อยกระมัง!
หากไม่แบ่งอันใดให้เลยสักอย่าง ไม่เท่ากับบีบพวกเราทั้งครอบครัวไปตายหรือเจ้าคะ?”
ครั้นเอ่ยถึงเงินทองและเสบียงอาหาร แม่เฒ่าเคอถึงกับลนลาน พลันถอดรองเท้าบุกเข้าไปในห้องโถง ไม่ฟังเสียงใดก็ถือรองเท้าไว้หมายจะฟาดลงบนร่างกายของซานยา
“นังเด็กสารเลว ผู้อาวุโสกำลังหารือกัน เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาสอดปาก ดูเถิดว่าข้าจะตีเจ้าตายหรือไม่!”
ซานยาก็นับว่าเป็นเด็กฉลาดผู้หนึ่ง พลันเบี่ยงซ้ายหลบขวา ร่างกายปราดเปรียว วิ่งตรงไปยังข้างกายเหล่าผู้นำสกุลและผู้ใหญ่บ้านเฉิน หนีไปพลางร้องไห้โฮไปพลาง
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ! พวกท่านปู่ช่วยซานยาด้วย! ท่านย่าจะฆ่าคนแล้วเจ้าค่ะ!”
พื้นรองเท้าของแม่เฒ่าเคอฟาดไม่ถูกเคอซานยา แต่เกือบจะทักทายลงบนกายของผู้อาวุโสสกุลเฉินเสียแล้ว
เพลิงโทสะของผู้ใหญ่บ้านเฉินพลันปะทุ คว้าถ้วยดินใช้ดื่มน้ำเขวี้ยงไปทางข้างฝ่าเท้าของแม่เฒ่าเคอ หลังหนึ่งเสียงกระทบพื้น ถ้วยดินส่งเสียงขานรับก่อนจะแตกละเอียด
“พอได้แล้ว! ห้องโถงกลางใช่สถานที่ที่สตรีเช่นเจ้าจะมากำเริบเสิบสานหรือ? ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก!”
แม่เฒ่าเคอเป็นคนชอบไม้อ่อนเกลียดไม้แข็ง ครั้นถูกผู้ใหญ่บ้านเฉินตะคอกก็ถึงกับเงียบกริบไปทันที
แม้ผู้ใหญ่บ้านเฉินจะอายุน้อยกว่านาง แต่กลับมิอาจต้านทานลำดับความอาวุโสของผู้อื่น!
นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับแต่งตั้งจากอำเภอ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นขุนนาง
อีกทั้งสกุลเฉินยังถือคติพูดคำใดคำนั้น หากหมางใจกับเขา ครั้นถึงยามใช้กฎหมู่บ้านหรือกฎสกุลขึ้นมา แขนขาแก่ชราของนางคงมิอาจรับไหว
แต่เมื่อคิดว่าต้องปันเงินและธัญพืชให้ครอบครัวเจ้าทึ่ม นางพลันระเบิดโทสะที่สั่งสมจากหลายเรื่อง
นางเก็บเงินไว้เป็นสินเดิมให้บุตรสาวคนเล็ก จะยอมแบ่งออกไปโดยง่ายได้อย่างไร?
ผู้ใหญ่บ้านเฉินเห็นแม่เฒ่าเคอไม่ยอมขยับ สายตาพลันฉายแววดุดัน เพิ่มระดับเสียงและเอ่ยอย่างน่าเกรงขามว่า “หืม? ยังไม่ไสหัวออกไปอีก?”
แม่เฒ่าเคอถูกเสียงตะคอกของผู้ใหญ่บ้านเฉินทำเอาตกใจจนรีบล้มลุกคลุกคลานออกจากห้องโถง เคอก่วงเถียนที่รออยู่นอกประตูรีบประคองมารดาของตน เช่นนี้จึงทำให้แม่เฒ่าเคอผ่อนคลายลงเล็กน้อย
มารดาสกุลต้วนทอดมองเคอก่วงเถียนที่หน้าตาสะอาดสะอ้าน สวมชุดกระโปรงลายดอกไม้ และรองเท้าผ้าฝ้ายปักลายดอกไม้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน
จากนั้นหันมองเคอต้ายาที่สวมชุดแต่งงานสีแดงสดทำจากผ้าเนื้อบางและรองเท้าฟาง ร่างกายผอมแห้งดั่งท่อนฟืน ใบหน้าเหลืองซีดมิต่างจากเทียนไขค่อนไปทางดำคล้ำ ซึ่งยามนี้นั่งอยู่บนม้านั่งเล็ก
รวมถึงเสื้อผ้าของพวกนางสามแม่ลูกที่เต็มไปด้วยรอยปะ หากไม่เปรียบเทียบก็คงไม่เกิดความเจ็บปวดอย่างแท้จริง
ครอบครัวนี้ช่างลำบากเกินไปแล้ว ที่ผ่านมาต้องใช้ชีวิตเยี่ยงไรกัน? กระทั่งผู้ที่อพยพมาจากต่างถิ่นเช่นพวกนางยังเทียบไม่ติด
ผู้ใหญ่บ้านเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่อยากถือสาหาความแม่เฒ่าที่กระทำเรื่องไร้ระเบียบแบบแผนและหันไปมองผู้เฒ่าเคอ
“ข้าว่านะเคอเถี่ยเกิน! ไม่ว่าอย่างไรต้าส่าก็คือบุตรชายของเจ้า เช่นนั้นเงินทองและธัญพืชที่ต้องกินอยู่จนถึงช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงก็ควรจะแบ่งให้พวกเขาจำนวนหนึ่งมิใช่หรือ?”
ผู้เฒ่าเคอครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยอย่างเอ้อระเหย “ผู้ใหญ่บ้านเฉิน ท่านก็เห็นแล้วว่าเพิ่งจะใช้เงินไปหนึ่งตำลึงครึ่งเพื่อรักษาต้ายา ครอบครัวของพวกเรายังมีบัณฑิตสองคนที่ต้องเลี้ยงดู มิอาจปันเงินออกมาได้จริงๆ มิสู้แบ่งธัญพืชให้พวกเขาห้าสิบจิน [1] เถิด! นี่ก็นับว่าเกินขีดจำกัดแล้ว”
ภายในใจของเคอโยวหรานนึกชิงชังนัก! อยากจะสาปแช่งบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของเขาจริงๆ
ทว่ามิได้! ยามนี้นางถูกคลุมด้วยเนื้อหนังของเคอต้ายา หากสาปแช่งบรรพบุรุษของผู้เฒ่าเคอ ก็ไม่เท่ากับสาปแช่งบรรพบุรุษของตนเองหรอกหรือ?
ใจเย็น! ใจเย็นเข้าไว้! ไม่โมโห พวกเราจะไม่โมโห หากโมโหมีแต่จะทำร้ายตนเอง
ช่างเถิด ธัญพืชห้าสิบจินก็ห้าสิบจินเถิด ย่อมต้องดีกว่ามิได้อันใดเลยสักอย่าง!
ยามนี้นางปวดหัวเจียนตายแล้ว ด้านข้างประตูยังมีลมเย็นหนาวถึงกระดูก รีบจัดการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเถิด นางจะได้หาสถานที่อุ่นๆ ตามด้วยกินบางสิ่งเล็กน้อยแล้วนอนหลับสักตื่น
เคอโยวหรานรู้สึกว่าตนอดทนจนใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว จึงฝืนปริปากเอ่ยว่า
“ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน ท่านผู้นำทั้งสองสกุล และผู้อาวุโสทุกท่านเจ้าคะ ท่านพ่อของข้าปัญญาทึบ ข้าเป็นบุตรสาวคนโต เช่นนั้นขอให้ข้าได้พูดแทนเขาไม่กี่ประโยคเถิดเจ้าค่ะ!
ในเมื่อท่านปู่จะแยกเรือน พวกเรายอมรับเป็นพอ แต่หลังจากแยกเรือนแล้ว ทะเบียนบ้านของพวกเราห้าคนจำต้องแยกออกจากทะเบียนบ้านของท่านปู่ แบ่งออกเป็นอีกหนึ่งครอบครัวเจ้าค่ะ”
เมื่อชาติก่อน เพราะไม่ได้แยกทะเบียนบ้าน แม่เฒ่าเคอจึงสามารถขายเคอเอ้อร์ยาออกไป
ครั้งนี้มิอาจซ้ำรอยความผิดพลาดเดิมอีก
ผู้ใหญ่บ้านเฉิน ผู้นำทั้งสองสกุล และผู้อาวุโสทุกท่านต่างพยักหน้าแล้วมองไปทางผู้เฒ่าเคอ
ผู้เฒ่าเคอไร้ความเห็นอื่นใดเช่นกัน แม่นางน้อยในครอบครัวนี้ก็มิได้มีแรงกำลังอันใด มีทั้งคนปัญญาทึบ คนบาดเจ็บ และเด็กเล็ก คือหนึ่งครอบครัวที่เป็นภาระ แยกออกไปตั้งแต่เนิ่นๆ เสียเป็นดี
ผู้นำสกุลเคอพลันนำทะเบียนบ้านออกมา ยกพู่กันขึ้นหมายจะจดบันทึก
เคอโยวหรานเห็นเช่นนี้ นี่ไม่นับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เปลี่ยนนามหรอกหรือ?
เคอต้ายา [2] อันใดกัน นางยังคงชอบนามในชาติก่อนมากกว่า “ท่านผู้นำสกุลเจ้าคะ”
ผู้นำสกุลเคอได้ยินเช่นนั้นพลันหันมามองเคอต้ายา “เจ้ายังมีเรื่องอันใดอีกหรือ?”
เคอโยวหรานเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ท่านผู้นำสกุล ในเมื่อพวกเราแยกเรือนไปแล้ว มีชีวิตใหม่ กลิ่นอายใหม่ ขอฉวยโอกาสนี้เปลี่ยนนามใหม่ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ผู้นำสกุลเคอลูบเคราขาว ยามมองไปทางแม่ลูกผู้น่าเวทนาทั้งสี่ ชายชราพลันใจอ่อนยวบภายในเสี้ยววินาที
แม่นางน้อยเอ๋ย! ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนต้องออกเรือน มิได้ส่งผลกระทบต่อชะตาสกุลแต่อย่างใด ก็แค่นาม หากอยากฉวยโอกาสนี้เปลี่ยนก็เปลี่ยนเถิด ไม่เห็นจะเป็นอันใด
เขาขมวดคิ้วพลางถาม “เจ้าอยากเปลี่ยนเป็นนามใดหรือ?”
—————————————
เชิงอรรถ
[1] จิน 斤 หมายถึง หน่วยชั่งน้ำหนักของจีน ประมาณห้าร้อยกรัม
[2] ต้ายา 大丫 มาจากคำว่า 大丫头 หมายถึง แม่นางใหญ่