ทะลุมิติครั้งนี้ฉันจะเป็นเศรษฐีนีด้วยซูเปอร์มาร์เก็ต - เล่มที่ 1 บทที่ 3 ค่ายาและค่ารักษา
- Home
- ทะลุมิติครั้งนี้ฉันจะเป็นเศรษฐีนีด้วยซูเปอร์มาร์เก็ต
- เล่มที่ 1 บทที่ 3 ค่ายาและค่ารักษา
แม่เฒ่าเคอที่ยังคงพูดพล่ามรีบหุบปากภายในเสี้ยววินาที นางจดจ้องผู้เฒ่าในเรือนตนอย่างเอ่ยคำใดไม่ออก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงและยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
ครั้นท่านผู้เฒ่าถูกชาวบ้านหัวเราะเยาะ ใบหน้าชราถึงกับแดงเถือกทันใด เขาร้องตะคอกว่า “ยังมิไปใช่หรือไม่? เจ้าไม่กลัวว่าวันนี้ตาเฒ่าเช่นข้าจะหย่าเจ้าใช่หรือไม่?”
แม่เฒ่าเคอกัดฟันด้วยความไม่พอใจ ผ่านไปเนิ่นนานจึงหันหลังกลับเข้าเรือนเพื่อนำเงินจำนวนหนึ่งตำลึงและห้าร้อยอีแปะออกมา จากนั้นส่งไปทางหมอหลูด้วยท่าทีโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
หมอหลูรับเงินเอาไว้โดยไม่เกรงใจแม้แต่นิด ภายในใจรู้สึกขุ่นเคือง เขาเห็นแก่แม่นางน้อยบนพื้นที่ดูน่าเวทนา จึงคิดเงินแค่ค่าต้นทุนเท่านั้น
ยังมิได้คิดเงินค่ายาลูกกลอนที่ท่านเซียนเฒ่าให้มาด้วยซ้ำ แม่เฒ่าผู้นี้จงอย่าได้เจ็บไข้ได้ป่วยจะเป็นการดีที่สุด มิเช่นนั้นหากตกอยู่ในมือของเขา ครั้งหน้าเขาคงไม่พูดจาง่ายเช่นนี้อีกแล้ว
เคอโยวหรานมองสีหน้าของหมอหลูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใด แม่เฒ่าผู้นี้ก็ช่างโง่เง่าเสียจริง การสร้างความหมางใจกับท่านหมอเพียงหนึ่งเดียวของสิบลี้แปดหมู่บ้านยังจะไปมีผลดีอันใดต่อนางได้เล่า?
ทางที่ดีที่สุดนางควรภาวนาให้ชั่วชีวิตนี้คนสกุลเคออย่าได้ล้มป่วย ยามล้มป่วยก็อย่าได้ไปขอร้องท่านหมอหลู
หลังหมอหลูรับเงินเรียบร้อยแล้วยังนึกสงสารเคอต้ายาที่นอนอยู่บนพื้น จึงเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “ศีรษะของแม่นางน้อยผู้นี้ได้รับบาดเจ็บรุนแรง ยังต้องจัดเทียบยาให้กินยาเพิ่มอีกหลายชุด…”
กล่าวยังไม่ทันจบ แม่เฒ่าเคอก็ทนไม่ไหวเสียแล้ว พลันชี้นิ้วสั่งให้หมอหลูไสหัวไป สกุลเคอไม่ต้องการหมอ
เคอโยวหรานกลับมองไปทางผู้เฒ่าเคอ “ท่านปู่! ท่านจะให้คนทั้งสิบลี้แปดหมู่บ้านชี้กระดูกสันหลังกล่าวตำหนิว่าท่านใจดำกับหลานสาวหรือเจ้าคะ? หลานยังบาดเจ็บอยู่แท้ๆ กระทั่งยาก็ยังมิอาจหักใจซื้อหรือ?”
ผู้เฒ่าเคอถูกผู้ใหญ่บ้านเฉินกับคนทั้งหมู่บ้านเดียวกันหันมองจนประเดี๋ยวหน้าซีดประเดี๋ยวหน้าแดง…
เคอกว่างเถียนคว้าตัวแม่เฒ่าเคอที่กำลังด่ากราดมา ก่อนกระซิบข้างหูนางเสียงเบา
“ท่านแม่ ต้ายาบาดเจ็บสาหัสเกินไป เงินค่ารักษานับได้ว่าเป็นจำนวนไม่น้อย หากแยกครอบครัวพวกเขาออกไป พวกเราก็ไม่ต้องเก็บกวาดเรื่องยุ่งเหยิงนี้แทนพวกเขาแล้วเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าเคอลังเลครู่หนึ่ง “แต่เอ้อร์ยาเติบใหญ่แล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะออกเรือน แม่ยังหวังจะเอาเงินค่าสินสอดทองหมั้นของนางอยู่!”
เคอกว่างเถียนเอ่ยอย่างจองหอง “ท่านแม่ ท่านคือย่าของพวกเขานะเจ้าคะ แม้จะแยกเรือนออกไปแล้ว ท่านก็ยังคงบีบบังคับได้เช่นเดิมเจ้าค่ะ งานยังต้องทำ แต่ไม่ต้องจ่ายเงินค่ารักษา รอจนกระทั่งเคอเอ้อร์ยาถึงวัยออกเรือน ท่านก็แค่ให้นางแต่งออกไปและรับเงินสินสอดตามเดิม พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่จะกล้าใช้ลูกไม้อันใดกับท่าน ยังคงเป็นท่านที่มีอำนาจตัดสินใจมิใช่หรือเจ้าคะ?”
แม่เฒ่าเคอใคร่ครวญครู่หนึ่ง คำพูดนี้นับว่ามีเหตุมีผล มุมปากพลันอดมิได้ที่จะหยักยกเป็นองศาแปลกประหลาด
ผู้เฒ่าเคอทางด้านข้างอยู่ใกล้กับเคอกว่างเถียนมากที่สุดและได้ยินความคิดเห็นของนางด้วยเช่นกัน ดวงตาถึงกับเป็นประกายทันใด
ประจวบเหมาะกับผู้ใหญ่บ้านเฉินก็อยู่ที่นี่ ผู้เฒ่าเคอจึงหันกายไปประสานมือคารวะผู้ใหญ่บ้าน
“ท่านอาผู้ใหญ่บ้าน ปีนี้ข้าอายุหกสิบสาม นับได้ว่าเป็นผู้ที่ใกล้จะถูกฝังลงดินแล้ว ครอบครัวบุตรชายคนโตของข้ามีห้าปาก ยามนี้ต้ายายังได้รับบาดเจ็บ กล่าวได้ว่าแบกรับภาระไม่ไหวจริงๆ ยามนี้ท่านก็อยู่ด้วย มิสู้เชิญผู้อาวุโสแต่ละสกุลมาและให้พวกเขาแยกเรือนออกไปเถิด!”
เคอโยวหรานตาเป็นประกาย แยกเรือน? แยกเรือนก็ดีน่ะสิ! นางยังกลุ้มอยู่เลยว่าจะหาโอกาสแยกเรือนออกไปมิได้! นี่ไม่เท่ากับกำลังสัปหงกแล้วมีคนส่งหมอนมาให้เช่นนั้นหรือ?
แม่เฒ่าเคอจิตใจเบิกบานยิ่งนัก! นึกไม่ถึงว่าผู้เฒ่าในเรือนตนจะคิดไปในทิศทางเดียวกัน นางกำลังกังวลว่าจะบอกเรื่องนี้กับผู้เฒ่าอย่างไรด้วยซ้ำ! แต่อีกฝ่ายกลับออกปากเองเสียก่อน
ชาวบ้านบางส่วนชมความครึกครื้นโดยไม่เกี่ยงว่าเรื่องจะบานปลาย [3] บางส่วนค่อนข้างกระตือรือร้น ไม่รอให้ผู้ใหญ่บ้านเฉินบอกกล่าวก็วิ่งออกไปเสียแล้ว
ไม่นานนัก ข้างนอกลานเรือนพลันมีเสียงร้องตะโกนดังลั่น “รีบหลบๆ! ทุกคนหลบสักหน่อย เหล่าผู้อาวุโสมาถึงแล้ว!”
ทุกคนล้วนหันมองตามเสียง ผู้นำสกุลเฉินและผู้นำสกุลเคอ รวมถึงผู้อาวุโสที่ค่อนข้างมีบารมีต่างก็มาถึงแล้ว กล่าวได้ว่าอยู่กันอย่างพร้อมเพรียง
ผู้เฒ่าเคอรีบเชิญทุกคนไปยังห้องโถงกลางในเรือนตน ทั้งจัดแจงให้เข้านั่งประจำที่โดยเรียงลำดับตามฐานะและความอาวุโส
แน่นอนว่าผู้ใหญ่บ้านเฉินนั่งอยู่บนตำแหน่งผู้นำสูงสุด
ครั้นทุกคนนั่งลงเรียบร้อย ผู้เฒ่าพลันร้องบอกให้แม่เฒ่าเคอนำใบชามาชงชาให้ผู้ใหญ่บ้านเฉิน ผู้นำสกุล และผู้อาวุโสทุกท่าน
ในครอบครัวชาวนา หากสามารถใช้ใบชารับรองแขกก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสกุลมั่งคั่งแล้ว เพราะยามครอบครัวธรรมดารับรองแขกจะมีเพียงน้ำสะอาดหนึ่งถ้วยเท่านั้น
ใบชาเหล่านี้ ยามปกติกล่าวได้ว่าแม้บีบคอผู้เฒ่าเคอให้ตายก็ไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นแตะต้องแม้เพียงนิด
ทว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ นางยังคงเป็นคนชงชาด้วยตนเอง ไม่ปล่อยให้ผู้อื่นแตะต้องใบชาเหล่านี้แต่อย่างใด
วันนี้แยกเรือนเพียงเพราะต้องการแยกครอบครัวใหญ่สกุลเคอของบิดาทึ่มที่มีสมาชิกห้าคนออกไป ดังนั้นครอบครัวรองสกุลเคอและครอบครัวสี่สกุลเคอที่อาศัยอยู่ในเมืองจึงไม่ต้องมาร่วมด้วย
ส่วนครอบครัวสามสกุลเคอที่ทำงานอยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงก็ยังไม่มีคนไปเชิญมาเช่นกัน
มีเพียงชาวบ้านผู้มีน้ำใจไปพาบิดาทึ่มที่ขึ้นเขาไปตัดฟืนตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างกลับมา
หลังเข้ามาในห้องโถง เขานั่งยองๆ ลงตรงมุมหนึ่ง สายตาจ้องมองไปทางภรรยาของตนโดยไม่ละสายตา ราวกับมีเพียงการทำเช่นนี้จึงจะหาแก่นหัวใจพบ
ภายใต้การประคองของมารดากับน้องสาวทั้งสอง เคอโยวหรานมาถึงหน้าประตูห้องโถงและหาม้านั่งเล็กหนึ่งตัวมานั่งพิง
ช่วยไม่ได้นี่นา! ผู้ใดใช้ให้ฐานะของสตรีต่ำต้อยกันเล่า! ห้องโถงกลางมิใช่สถานที่ที่สตรีจะสามารถเข้าไปได้ตามอำเภอใจ
ครั้นเห็นท่าทางทึ่มทื่อของบิดาผู้มีร่างกายสูงใหญ่กำยำ องคาพยพทั้งห้างามประณีต เคอโยวหรานถึงกับกุมขมับ นี่มันเรื่องอันใดกัน!
บิดาทึ่มมิอาจยืนหยัด ทั้งสตรีไม่มีสิทธิ์ออกเสียง ประสิทธิภาพทางกายกำหนดชีวิตความเป็นอยู่ และนี่ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด
นางต้องการแยกเรือน! ทว่าหากแยกเรือนแล้วมิได้สิ่งใดติดมือมาสักอย่าง เช่นนั้นพวกนางทั้งครอบครัวมิต้องไปกินลมตะวันตกเฉียงเหนือ [2] หรอกหรือ?
เคอโยวหรานหวนระลึกความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ชาติก่อนครอบครัวใหญ่สกุลเคอถูกแยกออกไปหลังการคราดไถดินเตรียมเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ ผู้เฒ่าและแม่เฒ่าสกุลเคอรีดเค้นแรงงานของครอบครัวนี้จนหมดสิ้น
เห็นทีเพราะการมาเยือนของตน ส่งผลให้เส้นเวลาของครอบครัวนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปโดยปริยาย
ชาติก่อน ครอบครัวใหญ่ได้ส่วนแบ่งเพียงเรือนหลังเก่าสกุลเคอและที่ดินด้านข้างที่แม้แต่หญ้าก็ยังไม่ขึ้นจำนวนสองหมู่เท่านั้น [3]
เรือนหลังเก่าอยู่ที่ตีนเขา มีรั้วเตี้ยล้อมรอบ หลังถูกแยกออกไปเป็นเวลาครึ่งปี ฝูงหมาป่าก็ลงจากเขาและพุ่งเข้าหาสกุลเคอ จากนั้นคาบเคอซานยาที่ฉลาดหลักแหลมผู้นั้นไป
มารดาสกุลเคอทนรับความกระทบกระเทือนทางจิตใจไม่ไหวจนถึงขั้นเสียสติ ในฤดูหนาวของปีนั้นจึงหนาวตายอยู่ในเรือนพร้อมบิดาทึ่ม
เคอเอ้อร์ยาถูกแม่เฒ่าเคอผู้เป็นย่าขายให้นายหน้าค้ามนุษย์ [4] ภายหลังไร้ซึ่งข่าวคราว…
ดังนั้นสกุลเคอจึงเหลือเพียงเคอต้ายาที่แต่งเข้าเรือนสกุลต้วน…
ชะตาชีวิตเช่นนี้ของครอบครัวใหญ่สกุลเคอช่างน่าเวทนา ในเมื่อข้าเคอโยวหรานมาแล้วก็จะไม่ยอมให้ซ้ำรอยเดิม ไม่ปล่อยให้ชะตาชีวิตน่ารันทดเช่นนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่ ไม่รู้ว่าวันนี้จะแบ่งได้สิ่งใดมาบ้าง ทำได้เพียงเฝ้าสังเกตสถานการณ์เตรียมรับมืออย่างเงียบๆ เสียแล้ว
สกุลต้วนทั้งห้าคนก็หาที่นั่งรอดูสถานการณ์และยังไม่กลับไปเช่นกัน
เรื่องในวันนี้เกิดขึ้นเพราะพวกเขา อีกทั้งเคอต้ายายังได้รับบาดเจ็บ เรือนของพวกเขาย่อมมีส่วนต้องรับผิดชอบไม่มากก็น้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอดูบทสรุปเสียก่อนค่อยว่ากัน
ผู้ใหญ่บ้านเฉินจิบชาหนึ่งอึก เขามองไปทางบิดาทึ่มที่นั่งยองอยู่ด้านข้างพลางเผยท่าทางเหม่อลอยโดยสมบูรณ์ รวมถึงมารดาและบุตรสาวที่ซูบผอมดำคล้ำไม่ต่างกับท่อนฟืนทั้งสี่คนแล้วส่ายหน้าด้วยความสงสาร
จากนั้นก็หันมาถามผู้เฒ่าเคอว่า
“ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสล้วนมาถึงแล้ว เคอเถี่ยเกิน ครอบครัวนี้ของพวกเจ้าจะแยกกันอย่างไร?”
ผู้เฒ่าเคอก้มหน้า ทำท่าทางครุ่นคิด ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยว่า
“ครอบครัวของพวกเรามีที่ดินสามสิบห้าหมู่ บุตรชายภายในเรือนมีเยอะเกินไปจึงแบ่งมิลงตัว เช่นนั้นก็แบ่งที่ดินสองหมู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำให้เจ้าใหญ่เถิด!
อีกทั้งเรือนหลังใหม่ก็ไม่กว้างขวางเช่นกัน ยามนี้มีคนอาศัยจนเต็มแล้ว ครอบครัวเจ้าใหญ่ไร้ทายาท ภายในเรือนไม่มีบุตรชาย เช่นนั้นก็ให้พวกเขาย้ายออกจากเรือนใหม่หลังนี้
แล้วยกเรือนหลังเก่าตรงฝั่งตะวันออกของแม่น้ำให้พวกเขาเถิด!”
ผู้ใหญ่บ้านเฉิง “…”
ผู้นำสองสกุล “…”
ผู้อาวุโสทุกท่าน “…”
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ “…”
—————————————
เชิงอรรถ
[1] ชมความครึกครื้นโดยไม่เกี่ยงว่าเรื่องจะบานปลาย 看热闹不嫌事儿大 หมายถึง คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ไม่ว่าเรื่องราวจะใหญ่โตบานปลายเพียงใดก็ไม่เกี่ยวกับตนเองเพราะเป็นแค่ผู้ชมเท่านั้น
[2] กินลมตะวันตกเฉียงเหนือ 喝西北风 หมายถึง อดอยากหรือไม่มีอันจะกิน
[3] หมู่ 亩 หมายถึง หน่วยวัดขนาดพื้นที่ของจีน โดยหนึ่งหมู่เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร
[4] นายหน้าค้ามนุษย์ 人牙子 หมายถึง พ่อค้าซึ่งมีหน้าที่หลักในการจับคู่ผู้ซื้อผู้ขายทั้งสองฝ่าย แนะนำหรือค้าขาย จากนั้นรับเงินค่านายหน้าจำนวนหนึ่ง