ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 400: มือของลิเลียน (1)
บทที่ 400: มือของลิเลียน (1)
เคิร์ตเน้นคำว่า ‘ผู้ร่วงหล่น’ อยู่สองสามครั้ง
เมื่อนึกถึงการสนทนาที่เคยมีกับเคิร์ต โรเอลก็ขมวดคิ้วอย่างช้า ๆ
ในระหว่างการโต้เถียงกับผู้ชายคนนั้น โรเอลรู้สึกหงุดหงิดเสียจนมองข้ามรายละเอียดสำคัญบางอย่างไป ไม่อย่างนั้นเขาคงจะขอให้เคิร์ตชี้แจงอย่างชัดเจนในหลาย ๆ ประเด็น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคำว่า ‘ผู้ร่วงหล่น’
ทีแรกโรเอลคิดว่ากรันด้าถูกมองว่าเป็น ‘ผู้ร่วงหล่น’ เนื่องจากการฟื้นคืนชีพของอันเดธ แต่มันไม่สมเหตุสมผลเลยเมื่อเขาลองคิดดี ๆ แล้ว
สิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วแต่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเองถูกจัดอยู่ในประเภทอันเดธทั้งหมด มันเป็นคำจำกัดความที่กว้างมากจนไม่เหมาะสมที่จะเรียกพวกอันเดธว่า ‘ผู้ร่วงหล่น’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันมาพร้อมกับความหมายเชิงลบสุด ๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงคำว่า ‘ผู้ร่วงหล่น’ โรเอลก็นึกถึงบุคคลบางคน… ‘ผู้กอบกู้’
แอสตริดเคยเล่าให้โรเอลฟังเกี่ยวกับผลกระทบมหาศาลที่ผู้กอบกู้นำมาสู่โลกในยุคโบราณ เรื่องที่น่ากลัวที่สุดอย่างหนึ่งคือเสียงพึมพำอย่างบ้าคลั่งของคนคนนั้น ที่ล่อลวงให้ผู้อื่นกลายเป็นคนเลวทรามต่ำช้า ห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อต่อต้านความบ้าคลั่งที่ผู้กอบกู้แพร่กระจายออกไป
คำว่า ‘ผู้ร่วงหล่น’ ที่ใช้ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ของยักษ์เองก็อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้หรือเปล่า?
เกี่ยวกับคำถามนั้น เปตราได้ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว
“ในยุคของข้าไม่มีคำที่เรียกว่า ‘ผู้ร่วงหล่น’ คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดเป็นการรวมตัวกันของทุกเชื้อชาติรอบ ๆ เทพีเซีย นำไปสู่ยุคแห่งสันติภาพและความมั่นคง แม้จะมีสัตว์อสูรเช่นอสรพิษเก้าเศียร แต่พวกมันก็เป็นแค่สัตว์ร้ายที่เลวทรามโดยเนื้อแท้และขาดสติปัญญา ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะเรียกพวกมันว่า ‘ผู้ร่วงหล่น’ ”
กลับกันแล้ว ดวงตาสีแดงของอาร์เทเชียขดเป็นเสมือนจันทร์เสี้ยว ขณะที่เธอเริ่มหัวเราะเยาะเย้ย
“วีรบุรุษของข้า ‘ผู้ร่วงหล่น’ ที่เจ้าพูดถึงปรากฏขึ้นหลังจากการจากไปของเทพีเซีย มันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกซากเก่า ๆ ที่ตายตั้งแต่เนิ่น ๆ จะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคำนี้”
“นังแม่มด นี่เจ้ากำลังพยายามยั่วโมโหข้าเหรอ?”
“ว้าว เทพธิดาแห่งผืนปฐพีช่างน่ากลัวเสียจริง ข้าก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามที่เต็มไปด้วยความขุ่นข้องและโกรธขึ้งของเปตรา อาร์เทเชียก็ยกมือทาบอก แสร้งทำเป็นกลัวอย่างเกินจริงพร้อมกับวิ่งไปหาโรเอลเพื่อหาที่กำบัง
“วีรบุรุษของข้า เห็นไหมว่าข้าถูกเธอแกล้ง เจ้าจะไม่ทำอะไรเพื่อปกป้องเจ้าหญิงของตัวเองหน่อยเหรอ?”
“เจ้าเป็นราชินีต่างหากไม่ใช่เจ้าหญิง! อีกอย่างเจ้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วย!”
“นี่ นังแม่มด ออกไปจากเขาเดี๋ยวนี้นะ!”
อาร์เทเชียแสดงสีหน้าไม่พอใจเมื่อโรเอลนิ่งเฉย ส่วนเปตราก็จ้องไปที่อาร์เทเชียพร้อมกับตะโกนใส่เจ้าหล่อน ทำให้โรเอลต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการวกกลับมาที่หัวข้อเดิม
“อาร์เทเชีย ‘ผู้ร่วงหล่น’ ในสมัยโบราณหมายความว่าอย่างไร?”
“มีสองความหมายแฝงอยู่ หนึ่งหมายถึงเทพเจ้าที่ยอมจำนนต่อความชั่วช้าในการแสวงหาอำนาจ และอีกหนึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิตอันน่าสมเพช ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้กอบกู้ ผลลัพธ์ค่อนข้างจะเหมือนกัน เพียงแต่แตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่ว่ามันจะเป็นไปโดยสมัครใจหรือไม่ก็เท่านั้น”
“เข้าใจแล้ว…”
โรเอลพึมพำในขณะใช้เวลารับเอาคำพูดของอาร์เทเชียเข้ามาประมวล
มันไม่น่าเป็นไปได้ที่กรันด้าจะตกอยู่ในความเสื่อมทรามด้วยตัวของเขาเอง
ตามคำกล่าวของเปตรา โรเอลจะได้พบกับเทพเจ้าโบราณที่บรรพบุรุษของเขาเองรู้จักและได้ยอมรับเท่านั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไร มันก็เป็นไปไม่ได้ที่บรรพบุรุษของเขาจะเพิ่มเทพเจ้าที่ชั่วช้าเลวทรามลงใน ‘ตู้กาชา’ ของตน แล้วสร้างความลำบากให้กับลูกหลานของตัวเอง
จากมุมมองดังกล่าว กรันด้าน่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีนี้
อย่างไรก็ตามมันคงเป็นเรื่องโง่หากจะละเลยและกล่าวว่าบันทึกทางประวัติศาสตร์ของพวกยักษ์เป็นเรื่องโกหก น่าจะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้พวกเขาบันทึกว่ากรันด้าเป็นผู้ร่วงหล่น บางทีกรันด้าอาจจะมีความเชื่อมโยงกับผู้กอบกู้ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่…
กรันด้าไม่สามารถตอบข้อสงสัยของโรเอลได้ เพราะเขาลืมเรื่องของตัวเองไปนานมากแล้ว เปตราและอาร์เทเชียเองก็ไม่ทราบรายละเอียดเช่นกัน เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากเงื่อนงำที่จำกัด โรเอลจึงทำได้เพียงแค่ทิ้งความลึกลับที่อยู่เบื้องหลังอดีตของกรันด้าไปก่อน
เผ่าพันธุ์โบราณส่วนใหญ่ในทวีปเซีย ไม่มีนิสัยชอบบันทึกสิ่งต่าง ๆ ยักษ์ถ่ายทอดมรดกของพวกตนโดยการบอกเล่าแบบปากเปล่า ดังนั้นข้อมูลจึงถูกบิดเบือนไปตามกาลเวลาได้ง่าย เมื่อมีคนสนใจที่จะจัดระเบียบข้อมูลและเขียนลงในบันทึก มันจึงยากที่จะบอกได้ว่าข้อมูลนั้นน่าเชื่อถือมากแค่ไหน
กรันด้าอาจเป็นหนึ่งในเหยื่อของการบิดเบือนข้อมูลดังกล่าว ถ้าเป็นไปได้โรเอลอยากจะช่วยสหายของเขาล้างชื่อเสีย น่าเสียดายที่เด็กหนุ่มไม่มีข้อมูลมากพอที่จะทำแบบนั้น
คงจะดีถ้าโรเอลสามารถอ่านบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เคิร์ตพูดถึงได้ เพื่อที่เขาจะได้สามารถตรวจสอบมันด้วยตนเอง แต่นั่นคงจะเป็นเรื่องในอนาคต
ไม่ว่าจะในกรณีใด โรเอลตัดสินใจที่จะรวบรัดการประชุม เนื่องจากไม่มีอะไรเหลือให้หารือแล้ว เขาใช้เวลาหยุดพักหายใจครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อย ๆ เดินไปยังห้องจัดเลี้ยง เพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองต่อ
ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง โรเอลก็เห็นพอลกำลังสวมชุดเกราะพิเศษอยู่พลางอธิบายบางสิ่งกับฝูงชนที่รายล้อมอยู่รอบตัว
“นี่เป็นชุดเกราะเบาพิเศษที่แม่ทัพทั้งสิบสองคนของหน่วยรบผืนป่าในจักรวรรดิออสทีนโบราณใช้ ชื่อทางการของมันคือ ‘ป่าเฟย์’ มันมีหน้าที่หลักสองอย่าง หนึ่งคือพรางตัวในภูมิประเทศที่เป็นป่า และอีกหนึ่งคือเพิ่มความสามารถทางกายภาพของผู้สวมใส่ ต้องขอบคุณเกราะเบานี้ที่ช่วยให้ฉันสามารถอยู่ได้นานถึงสิบนาทีในรอบคัดเลือก”
“โอ้โห!!!”
“วัสดุของมันดูพิเศษมาก มันเป็นอุปกรณ์เวทโบราณจากยุคที่แล้วงั้นเหรอ?”
“จารึกบนเกราะสวยมากจริง ๆ!”
เหล่านักเรียนที่อยู่ใกล้เคียงต่างแสดงความชื่นชมปนอิจฉา ผู้ชายมักสนใจอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ ในขณะที่ผู้หญิงให้ความสำคัญกับการออกแบบชุดเกราะและการใช้วัสดุ
ด้วยความรอบรู้ในประวัติศาสตร์ โรเอลเคยได้ยินเรื่องหน่วยรบผืนป่าที่พอลกล่าวถึงมาก่อน หน่วยนี้ถูกก่อตั้งขึ้นในสมัยที่จักรวรรดิออสทีนโบราณอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจ โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อจัดการกับเหล่าสัตว์ร้ายที่มาจากป่าใกล้เคียง
จักรวรรดิออสทีนโบราณมีอาณาเขตกว้างขวาง ครอบคลุมป่าไม้มากมาย ซึ่งป่าพวกนี้ก็เต็มไปด้วยสัตว์อสูรมหาศาลในแต่ล่ะปี ทำให้เส้นทางสัญจรหลักไม่สามารถเข้าถึงได้ ส่งผลให้หลายเมืองอยู่ในสภาพเหมือนเกาะโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลสัตว์ร้าย
แน่นอนว่าไม่มีทางที่ตระกูลแอคเคอร์มันน์ผู้ภาคภูมิจะยอมจำนนต่อการสูญเสียการควบคุมพื้นที่บางส่วนในดินแดนของตนได้
ในช่วงแรก ๆ ของการก่อตั้งจักรวรรดิ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมวางกำลังป้องกันเมืองต่าง ๆ และสะสมเสบียง เพื่อที่พวกเขาจะได้ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงเมืองที่ปลอดภัยจนกว่าเหล่าสัตว์ร้ายจะถอยกลับเข้าไปในป่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อจักรวรรดิออสทีนพัฒนาถึงขีดสุด กองกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ของพวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาก เมืองต่าง ๆ เริ่มไม่พอใจที่จะต้องถูกกักขังอยู่ในกำแพงเมืองเป็นเวลาถึงหนึ่งหรือสองเดือนในแต่ละปี ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มก่อตั้งหน่วยรบเพื่อต่อสู้กับฝูงสัตว์ร้ายขึ้นมา
ตอนนั้นเองที่หน่วยรบผืนป่าถูกก่อตั้งขึ้น
นายพลสิบสองคนที่มีความชำนาญแตกต่างกัน และกองทัพของพวกเขาได้รับการโอนย้ายมาเป็นหน่วยรบผืนป่า ยุทโธปกรณ์ของพวกเขาถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษโดยคลังอาวุธของจักรวรรดิ และกลยุทธ์ที่ใช้นั้นก็คือการทำสงครามกำจัดล้างบางอย่างช้า ๆ ทว่าสม่ำเสมอ ทำให้จำนวนของสัตว์อสูรค่อย ๆ ลดลงไป และในที่สุดประมาณครึ่งศตวรรษต่อมา ปัญหาเกี่ยวกับฝูงสัตว์ร้ายก็ได้รับการแก้ไข
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มนุษยชาติสามารถเอาชนะภัยธรรมชาติได้สำเร็จ มันเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่บ่งบอกถึงความก้าวหน้าของอารยธรรมมนุษย์ที่ไปถึงระดับที่สูงขึ้น แต่ ‘ระดับที่สูงกว่า’ นี้กลับกลายเป็นจุดที่สูงที่สุดแล้วของจักรวรรดิออสทีนโบราณ
จักรวรรดิประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดปัญหาหนึ่งที่คุกคามจักรวรรดิ แต่จักรวรรดิกลับถดถอยลงเรื่อย ๆ ในอีกไม่กี่ศตวรรษข้างหน้า
การขยายตัวอย่างรวดเร็วของหน่วยนำไปสู่การใช้กำลังทหารและการบริหารที่เกินกำลัง บังคับให้ต้องชะลอฝีเท้าเพื่อครอบครองโลก ในช่วงเวลาที่ช้าลงนี้ ความฝันและความทะเยอทะยานของคนรุ่นก่อนก็ดูเหมือนจะค่อย ๆ มอดลง
การมาถึงของยุคที่รุ่งเรืองและสงบสุขได้บั่นทอนเจตจำนงของมนุษยชาติที่จะเพิ่มความสูงให้กับตัวเอง
เรื่องเล่าตำนานของวีรชนไม่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกต่อไป ลูกหลานของอัศวินผู้มีชื่อเสียงต่างหมกมุ่นอยู่กับความเพลิดเพลินและความมึนเมา เงินและศักดิ์ศรีกลายเป็นเป้าหมายของผู้มีอำนาจ งานประลองแบบกลุ่มกลายเป็นเรื่องธรรมดาท่ามกลางการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ มนุษยชาติสูญเสียความสามัคคีที่ทำให้พวกเขาแข็งแกร่ง การทุจริตและความเสื่อมทรามเริ่มแพร่กระจายในทุกมุมของสังคม
จักรวรรดิออสทีนโบราณเริ่มเน่าเฟะ
ไม่มีอะไรในโลกเป็นพิษมากไปกว่าความพึงพอใจ นั่นเป็นเรื่องจริงไม่ว่าจะเป็นสำหรับบุคคลหรืออาณาจักร
สงสัยจริง ๆ ว่าบรรพบุรุษฉันอย่างตระกูลอาร์เด้กำลังคิดอะไรอยู่ ตอนที่พวกเขาอยู่ในเงามืด แล้วมองจักรวรรดิค่อย ๆ เสื่อมสลายลงจากภายใน… โรเอลสงสัย
ความคิดเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกเศร้า