ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 376: ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 376: ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง
หา? รถม้าเข้ามาที่สถาบันการศึกษาในเวลานี้เนี่ยนะ?
โรเอลและอลิเซียเดินไปตามถนนอันมืดมิดที่มีแสงจันทร์ส่องสว่างลงมาจาง ๆ ด้วยมือที่เชื่อมโยงกันไปยังป้ายรถม้าที่ใกล้ที่สุด อลิเซียเพลิดเพลินกับการเดินยามดึกกับพี่ชายของเธอ ขณะที่โรเอลกะพริบตาสงสัยกับรถม้าที่วิ่งผ่านพวกเขาไป
สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่ายามดึกยังคงไม่มีความวุ่นวายเช่นปกติ บริเวณโดยรอบถูกห้อมล้อมไปด้วยความเงียบสงบ ทำให้รถม้าสุดหรูที่เพิ่งแล่นเข้ามาในสถาบันการศึกษายิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก
ทว่าสิ่งที่โรเอลไม่รู้ก็คือ อีกฝ่ายหนึ่งเองก็เช่นกัน ขณะที่เขามองดูรถม้า คนในรถเองก็มองลงมาที่เขาด้วย
“นั่นมัน…!”
ร่างในชุดเกราะภายในรถม้าตื่นตัวทันทีเมื่อเห็นโรเอล สัญชาตญาณแรกของเธอคือต้องการที่จะหยุดรถ แต่แล้วเธอก็เปลี่ยนใจอย่างรวดเร็ว
เธอสังเกตเห็นว่าโรเอลมาพร้อมกับเด็กสาวผมสีเงินและกุมมือกันอยู่ เมื่อชายหญิงเดินเล่นกันในตอนกลางคืนด้วยบรรยากาศอันใกล้ชิด มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่วิลเลียมจะสรุปว่าพวกเขากำลังออกเดตอยู่
เรื่องแบบนี้มัน… ไม่เหมาะสมไม่ใช่เหรอ?
วิลเลียมค่อย ๆ กลับมานั่งลงอีกครั้งด้วยสีหน้างุนงง ขณะหวนนึกถึงข้อมูลที่รวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรเอล
เด็กสาวคนนั้นน่าจะเป็นน้องสาวบุญธรรมของเจ้าตัว แต่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าไม่อนุญาตให้นักเรียนพาสมาชิกในครอบครัวมาไม่ใช่เหรอ?
ขณะที่รถม้าสีดำของเธอควบผ่านโรเอลมุ่งหน้าไปสู่ยังส่วนกลางของสถาบันการศึกษา วิลเลียมได้แต่นึกสงสัยในพฤติกรรมของโรเอล ถึงกระนั้นเธอก็ไม่คิดที่จะวิจารณ์อะไรด้วยที่เป็นเพียงคนนอก
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา วิลเลียมก็ได้มาถึงอาคารที่ดูโบราณ ร่างในชุดเกราะอัศวินเดินข้ามทางเดินที่ปูด้วยพรมนุ่ม ๆ ดึงดูดสายตาของเหล่าพนักงานที่อยู่โดยรอบ และเมื่อเดินมาถึงด้านหน้าประตูบานใหญ่ที่มีตรา ‘หนังสือแห่งความจริง’ สลักอยู่ ฝีเท้าก็หยุดชะงักลง
พนักงานคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าเคาะประตูแทนเธอด้วยความเคารพ ไม่นานหลังจากการเคาะไม่กี่ครั้ง เสียงของชายชราก็ดังขึ้นมาจากข้างใน
“เข้ามาได้”
ประตูปลดล็อกและเปิดออกโดยอัตโนมัติ จากนั้นวิลเลียมก็เดินเข้าไปในห้องด้วยฝีเท้าอันคล่องแคล่ว
แอนโตนิโอนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและมองไปยังเด็กสาวในชุดเกราะที่เดินเข้ามา
“เจ้าคงจะเป็นองค์ชายวิลเลียมสินะ ยินดีต้อนรับสู่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า พ่อของเจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
“ท่านแอนโตนิโอ ท่านพ่อของกระผมสบายดี ขอบคุณสำหรับความห่วงใยขอรับ”
“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ พ่อของเจ้ากับข้าเป็นสหายที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมานานหลายปี ถึงเวลาจะผ่านไปนาน แต่ความสนิทสนมของพวกเราที่ต่อสู้เคียงข้างกันเพื่อมวลมนุษยชาตินั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มีสหายไม่มากที่ข้าสามารถหวนคิดถึงอดีตร่วมกับพวกเขาได้เช่นพ่อของเจ้า”
แอนโตนิโอกล่าวพร้อมกับถอนหายใจอย่างโหยหา
หลังจากมีชีวิตอยู่มานานหลายศตวรรษ เขาได้เห็นวัฏจักรของการทำลายล้างและการสร้างสรรค์มากมายจนรู้สึกเหมือนมันเป็นวงจรอันน่าสยดสยอง ภัยพิบัติมากมายในประวัติศาสตร์จากไป เพียงเพื่อย้อนกลับมาคุกคามอีกในอนาคต ทว่าสหายของเขาหลายคนกลับไม่ได้อยู่เผชิญมันด้วยกันอีกต่อไปแล้ว
การมีอายุยืนยาว ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเสมอไป เพราะมันมักจะมาพร้อมกับความโดดเดี่ยว
วิลเลี่ยมนิ่งเงียบต่อหน้าแอนโตนิโอที่กำลังบ่นพึมพำ ขณะที่พนักงานอีกคนค่อย ๆ ถอยห่างออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ประตูปิดและล็อกลงอัตโนมัติ ทันใดนั้นเองเธอก็เริ่มเอ่ยปากพูดบ้าง
“ท่านปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ กระผมจะไม่ถือสิทธิ์เกินตัวและอ้างว่าเข้าใจในความรู้สึกของท่าน แต่กระผมขอรับรองว่าการเสียสละที่ท่านทำลงไปเพื่อมนุษยชาติจะไม่มีวันถูกลืม มันเป็นความรับผิดชอบของกระผมที่จะสืบทอดเจตจำนงของท่าน และจะพยายามสุดความสามารถ เพื่อให้แน่ใจว่ามรดกของท่านจะไม่เสื่อมสลาย”
“ความรับผิดชอบงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าเขาจะเข้มงวดกับเจ้ามากเลยสินะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้จากปากลูกสาวของสหายเก่า และชุดเกราะอันหนักหน่วงที่เธอสวม อารมณ์บางอย่างก็แล่นผ่านดวงตาของแอนโตนิโอ เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ที่เจ้ามาที่นี่ในยามวิกาลเช่นนี้ เพราะต้องการความช่วยเหลือจากข้างั้นเหรอวิลเลียม?”
“ใช่แล้วขอรับ ท่านแอนโตนิโอ กระผมต้องการย้ายเข้ามาศึกษาที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าอย่างเป็นทางการ เพื่อศึกษาต่อที่นี่”
“ย้ายงั้นเหรอ? อาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเองก็มีสถาบันการศึกษาที่โดดเด่นนี่นา แล้วทำไมเจ้าถึง…”
“…โรเอล แอสคาร์ด”
“…”
รูม่านตาของแอนโตนิโอหดเกร็งอย่างรวดเร็ว ทันทีที่อัศวินในชุดเกราะเปิดเผยแรงจูงใจของตน แต่แล้วสีหน้าของคนอาวุโสกว่าก็กลับเป็นปกติในเสี้ยววินาทีต่อมา เขาใช้เวลาสักครู่ เพื่อพิจารณาสถานการณ์ก่อนที่จะตั้งคำถาม
“อาณาจักรแห่งภาคีอัศวินน่าจะได้รับรายงานเกี่ยวกับโรเอล แอสคาร์ดที่ข้าเขียนไปแล้วใช่ไหม?”
“ใช่แล้วขอรับ พวกเราให้ความสำคัญกับการสังเกตการณ์และการประเมินของท่านมาก อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้สืบทอดจากตระกูลแคมบอนไนต์ หนึ่งในตระกูลที่ได้ให้คำมั่นสัญญากับสมัชชา กระผมอยากจะทำความรู้จักเขาให้มากขึ้นเป็นการส่วนตัว เช่นเดียวกับสมาชิกของภาคีผู้นำพาแสงอรุณคนอื่น ๆ ที่ติดตามกระผมมาด้วย พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะเข้าร่วมกับองค์กรของเรา”
“…”
สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น ก็ต้องเกิดขึ้นสินะ
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยบนสีหน้าของแอนโตนิโอ เขาเพียงแต่ถอนหายใจลึก ๆ ในใจ
ในฐานะอดีตสมาชิกของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำที่สูญสลายไปแล้ว ‘ผู้พิทักษ์’ แอนโตนิโอยังคงติดต่อกับสมาชิกคนอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ของสมัชชาและตระกูลมากมายในอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สหายเก่าของแอนโตนิโอขอความช่วยเหลือจากเขาอยู่หลายครั้ง และเขาก็ตอบรับมันเสมอมา ด้วยที่เขาเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์อันสนิทสนมและความผูกพันที่พวกเขาเคยมีร่วมกัน เพียงแต่ว่าเรื่องนี้นั้นแตกต่างกันออกไป
สมาชิกสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำที่ยังคงหลงเหลืออยู่ และเหล่าตระกูลต่าง ๆ ที่ล่มสลายไป ต่างเฝ้าจับตาดูทายาทของตระกูลแอสคาร์ด ด้วยที่พวกเขาเป็นลูกหลานของตระกูลโบราณที่ก่อตั้งสมัชชาขึ้นมา
โรเอล แอสคาร์ด ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นผู้ปลุกพลังทางสายเลือดประจำตระกูลคนล่าสุด ต่อจากโร แอสคาร์ดผู้ล่วงลับไปเมื่อหลายศตวรรษก่อน ดังนั้นความสนใจในตัวเด็กหนุ่มจึงเข้มข้นยิ่งขึ้น เพียงแต่เจ้าตัวไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ เลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถยืนยันหรือคาดเดาอะไรได้
จนกระทั่งในปีนี้ โรเอลได้ลงทะเบียนเรียนในสถาบันเซนต์เฟรย่า ทำให้แอนโตนิโอสามารถยืนยันได้ว่าเด็กหนุ่มนั้นสามารถปลุกพลังทางสายเลือดของตัวเองขึ้นมาได้จริง ๆ ข่าวดังกล่าวจึงทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ไปทั่วอาณาจักรแห่งภาคีอัศวิน
แผนการเดิมคือพวกเขาคิดที่จะให้แอนโตนิโอ เล่นบทบาทของคนกลางคอยชี้นำโรเอลเข้าสู่แวดวงภายในอาณาจักรแห่งภาคีอัศวิน โดยได้รับการสนับสนุนจากเหล่าสมาชิกที่เหลืออยู่ของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ และตระกูลที่ล่มสลายไปแล้วต่าง ๆ เพื่อที่อินทรีแห่งเงาของจักรวรรดิออสทีนโบราณจะได้กางปีกและทะยานขึ้นไปอีกครั้ง
ทว่าความคิดของแอนโตนิโอกลับเปลี่ยนไป เมื่อเขาได้รู้จักโรเอล
ปัจจัยสำคัญประการแรกคือความสามารถของโรเอล
แอนโตนิโอไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยว่าโรเอลมีความแข็งแกร่งในระดับปัจจุบันได้อย่างไรโดยที่ไม่มีใครคอยชี้นำ เขาสามารถรวบรวมข่าวกรองที่สำคัญเกี่ยวกับประวัติของสมัชชามาครอบครองได้ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าโรเอลสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง แม้ว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนใด ๆ จากภายนอก
แต่สิ่งที่เปลี่ยนใจของแอนโตนิโอจริง ๆ คือความเป็นไปได้ใหม่ที่เขาเห็นในตัวของเด็กหนุ่มคนนี้
แม้ชายชราจะไม่สามารถพูดอย่างเต็มปากได้ว่าเขาเข้าใจอีกฝ่ายจริง ๆ แต่หลังจากที่ได้สังเกตโรเอลมาเป็นเวลาหลายเดือน เขาก็สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่ามีความแตกต่างอย่างมากระหว่างโรเอล แอสคาร์ด กับบรรพบุรุษคนอื่น ๆ นั่นก็คือความสามารถพิเศษที่เด็กหนุ่มมี
โดยที่ส่วนอื่น ๆ ของโลกไม่ทันจะได้รู้สึกตัว ขอบเขตของอิทธิพลต่าง ๆ เริ่มทยอยเข้ามาบรรจบกันรอบ ๆ ตัวของโรเอล กลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ยิ่งใหญ่มากระดับที่สามารถเขย่ามนุษยชาติทั้งหมดได้ และยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะเป็นในขณะนี้ก็ตาม
สิ่งที่ทำให้แอนโตนิโอประทับใจมากยิ่งขึ้นไปอีกคือการตอบสนองอย่างเด็ดขาดของพวกเขาเมื่อโรเอลต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตราย
ไม่นานมานี้ ทันทีที่โรเอล แอสคาร์ด พบกับภัยอันตราย ทั้งจักรวรรดิเซนต์เมซิท และสมาคมพ่อค้าโรซ่าได้ส่งทหารของพวกเขาออกไปอย่างไม่ลังเลใจ เดินทางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในระยะทางอันไกลโพ้นเพื่อสนับสนุนเด็กคนนั้น และด้วยความช่วยเหลือจากองค์หญิงแห่งจักรวรรดิออสทีน ลิเลียน แอคเคอร์มันน์ ทั้งหมดก็ได้ร่วมมือกันบดขยี้หน่วยลอบสังหารลงได้ในที่สุด
ภายใต้กระบวนการดังกล่าว กองกำลังต่าง ๆ ล้วนละทิ้งความแค้นฝังลึก ซึ่งเกิดจากความแตกต่างทางเชื้อชาติ อาณาจักร และศาสนาของตนลง รวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อเป้าหมายร่วมกัน
สำหรับแอนโตนิโอผู้ได้เห็นความขัดแย้งภายในของมนุษยชาติมากมาย นี่ไม่ต่างไปจากเรื่องอัศจรรย์เลย
จักรวรรดิเซนต์เมซิท สมาคมพ่อค้าโรซ่า จักรวรรดิออสทีน และพวกนอกรีต
นับตั้งแต่การอพยพครั้งใหญ่เมื่อพันปีที่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้คนหลากหลายกลุ่มรวมกันเป็นหนึ่งเดียว หากสามารถให้เวลาในการเติบโตแก่ขุมพลังนี้ละก็…
ความคิดดังกล่าว ทำให้เกิดความคาดหวังอันริบหรี่ขึ้นในดวงตาอันเฉียบแหลมของแอนโตนิโอ เขามีความรู้สึกว่าเมื่อมนุษยชาติต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายร้ายแรง โรเอลก็จะแสดงพลังและอิทธิพลที่เหนือกว่าผู้ปลุกพลังสายเลือดในอดีตของตระกูลแอสคาร์ดออกมาแน่
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ต้องการให้ใครมารบกวนโรเอล อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าความปรารถนาของเขาจะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีกแล้ว
แอนโตนิโอไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก่อนที่จะตอบกลับไปในที่สุด
“ข้าจะทำตามคำขอของเจ้า แต่มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”