ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - ตอนที่ 250: เขาทำได้แค่นั้นจริง ๆ หรือ ?
บทที่ 250: เขาทำได้แค่นั้นจริง ๆ หรือ ?
เมื่อถึงเวลากลางคืน เหล่านักเรียนก็ค่อย ๆ มารวมตัวกันที่ชายแดนของป่าหมอก ในสถานที่อันมืดมนซึ่งตามปกติแล้วแทบจะไม่มีนักเรียนคนไหนมา
ตามชื่อเรียกของมัน ป่าหมอกนั้นถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหมอกที่เต็มไปด้วยพลังเวท ซึ่งนอกจากจะจำกัดการมองเห็นแล้ว ยังทำให้อุปกรณ์เวทและคาถาเวทต่าง ๆ สำหรับนำทางปั่นป่วน ภายใต้สภาพแวดล้อมอันเลวร้ายเช่นนี้ ผู้คนที่กล้าเข้าไปในป่าหมอกจึงมักจะไม่ได้กลับมาอีก
ด้วยเหตุนี้ สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าจึงกำหนดให้ป่าหมอก กลายเป็นพื้นที่หวงห้าม
อาณาเขตของป่าหมอกนั้นขยายกว้างออกไปนอกสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ยาวไปจนทางตอนใต้ของเลนสเตอร์ เรียกได้ว่าที่จริงแล้วมีเพียง 10 % ของป่าหมอกเท่านั้นที่ตั้งอยู่ในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า
เนื่องจากความหนาแน่นของพลังเวทในป่ามีสูง ที่นี่จึงมีวัตถุดิบเวทมนตร์ล้ำค่ามากมาย เป็นสาเหตุให้นักผจญภัยหลายคนเสี่ยงท้าทายเข้าไปในป่าหมอก หวังว่าจะได้รับความร่ำรวยกลับมา ทว่าท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็กลับกลายเป็นอีกชื่อหนึ่งในรายชื่อบุคคลหายสาบสูญ
ตำนานมากมายเกี่ยวกับป่าหมอก เช่น ป่าแห่งนี้ได้ปกปิดความลับอันน่าตกใจอยู่หรือซ่อนบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ ทำให้หลายคนรู้สึกสงสัยอยากรู้อยากเห็น ซึ่งโรเอลคิดว่าข่าวลือเหล่านั้นส่วนใหญ่ขาดความน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ทุกคนมารวมตัวกันข้างหน้าป่าหมอกในวันนี้ ก็เพราะมันเป็นทางเข้าโบราณสถาน
แม้ว่าจะมีอันตรายมากมายในป่าหมอก แต่ผู้ที่ได้รับการชี้นำจากวิญญาณนำทางก็จะสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้โดยไม่มีปัญหาอะไร หากพวกเขาไม่เดินออกนอกเส้นทางนอกเขตป่าหมอกไปด้วยตัวเอง ส่วนผู้ที่ไม่สามารถทำความใกล้ชิดกับวิญญาณนำทางในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาได้นั้น…
“ฉันพร้อมแล้วจริง ๆ ได้โปรดให้ฉันเข้าไปเถอะ ฉันเตรียมใจเอาไว้แล้ว!”
“รุ่นพี่ ได้โปรดให้โอกาสฉันด้วย! ขอฉันลองอีกสักครั้งเถอะ…”
มีนักเรียนสองกลุ่มแยกจากกันในขณะนี้ กลุ่มหนึ่งประกอบด้วยอาจารย์และนักเรียนที่มีลูกบอลทรงกลมเรืองแสงบินอยู่รอบตัว และอีกกลุ่มเต็มไปด้วยนักเรียนที่มีใบหน้าอันสิ้นหวัง
หน่วยรักษาความปลอดภัยได้ร่ายคาถาเวทที่ทางเข้า ซึ่งจะขับไล่วิญญาณนำทางที่ไม่ได้ผูกพันกับนักเรียนคนใดคนหนึ่งออกไป เพราะนักเรียนที่ปราศจากวิญญาณนำทางนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในป่าหมอก ซึ่งเป็นกฎที่ตั้งขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยของเหล่านักเรียน
แม้ว่าจะมีนักเรียนดื้อรั้นบางคนที่ยังไม่ยอมแพ้ และพยายามบุกเข้าไปในป่าด้วยตัวเอง แต่พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดก็ถูกจัดการก่อนที่จะได้เข้าไปใกล้ด้วยซ้ำ
โรเอลมองดูกลุ่มนักเรียนที่ถูกคัดออกพลางถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะหันกลับมาสนใจเด็กสาวทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“อย่ากังวลไปเลยที่รัก แหวนกุหลาบจะต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน ข้าจะเปลี่ยนสถานที่นี้ให้กลายเป็นรังรักของสองเราเอง”
“ชาร์ล็อต เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรของเจ้า? โรเอลถือเป็นลูกน้องของข้า และข้าก็เป็นผู้พิทักษ์ของเขา ดังนั้นเขาจะยืนเคียงข้างข้าในฐานะผู้ช่วยอยู่แล้วทันทีที่ข้ากลายเป็นผู้ถือแหวน”
เด็กสาวผมทองมองดูเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงด้วยรอยยิ้มอันยียวน พลางเอื้อมมือไปคว้าเนคไทของโรเอล ราวกับว่ากำลังประกาศอำนาจของตน ซึ่งชาร์ล็อตเองก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มอัน ‘เป็นมิตร’
“หากท่านได้รับแหวน ดิฉันก็คงไม่หวั่นไหวกับการที่โรเอลจะเข้าร่วมกลุ่มของท่าน แต่ท่านคิดว่านั่นจะเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ของพวกเราได้จริง ๆ งั้นเหรอ? ท่านไม่สามารถคิดที่จะกำหนดชีวิตส่วนตัวของผู้ใต้บังคับบัญชาได้หรอก ท่านต้องการจะเป็นเผด็จการงั้นเหรอคะ?”
“ชาร์ล็อต นี่เจ้า…”
ดวงตาของนอร่าหรี่ลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ซึ่งชาร์ล็อตก็จ้องกลับไปโดยที่ไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ ทั้งสองไม่มีใครยอมถอยหลัง โรเอลจึงทำได้เพียงถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเองและสวดอ้อนวอนขอให้โบราณสถานที่ว่าเปิดโดยเร็วที่สุด
ราวกับได้ยินคำอธิษฐานของโรเอล เงาที่ปกคลุมป่าหมอกเริ่มทึบขึ้นในทันใด พร้อมกับวิญญาณนำทางที่เริ่มเปล่งแสงระยิบระยับอย่างมีพลัง
“มันเริ่มแล้ว”
“ใช่ มันเริ่มแล้ว”
เด็กสาวสองคนชำเลืองมองไปทางโรเอล ก่อนจะพยักหน้าแล้วแยกทางกัน พวกเธอเดินตามวิญญาณนำทางเข้าไปในป่า ส่วนเด็กหนุ่มก็รอให้เงาของทั้งสองถูกบดบังอย่างสมบูรณ์ไปในหมอกก่อนจะออกเดินทาง
“ฉันหวังพึ่งนายนะ”
โรเอลเปิดอุปกรณ์เวทอย่างระมัดระวัง วิญญาณนำทางทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะลงมาที่ด้านข้างของเขา มันบินวนเวียนอยู่สองสามรอบแล้วจึงมุ่งหน้าเข้าไปในป่า ซึ่งเขาก็รีบวิ่งตามมันไป
ขณะที่โรเอลมุ่งหน้าลึกเข้าไปในป่าหมอก ความหนาแน่นของหมอกรอบ ๆ ตัวก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนมีอยู่ช่วงจังหวะหนึ่ง เขารู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศอันขาวโพลน แต่แล้วหมอกก็ค่อย ๆ จางลงในไม่กี่ก้าวหลังจากนั้น พร้อมกับขอบเขตการมองเห็นที่ถูกเปิดออก และแล้วเด็กหนุ่มก็สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ไกลกว่าเดิมหลายร้อยเมตร
สิ่งแรกที่โรเอลทำหลังจากได้ทัศนวิสัยกลับมาก็คือการสำรวจบริเวณโดยรอบ เด็กหนุ่มพบว่าตัวเองถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ พวกมันมีสายพันธุ์และขนาดแตกต่างกันไป มีรูปร่างอันน่าขนลุกและบิดเบี้ยวสมกับเป็นต้นไม้ในป่าหมอกอันลึกลับ อย่างไรก็ตามมันดูอุดมสมบูรณ์กว่ามาก ทำให้เขาสงสัยว่าตัวเองถูกส่งกลับไปสู่ยุคโบราณหรือไม่
ระหว่างที่โรเอลกำลังประเมินสภาพแวดล้อมใหม่ที่กำลังเผชิญอยู่ ก็เริ่มมีนักเรียนเดินเข้ามาในพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การชักนำของวิญญาณนำทาง
เนื่องจากคะแนนถูกกำหนดเป็นรายบุคคล และนักเรียนส่วนใหญ่เองก็ถูกพามาพื้นที่เดียวกันโดยบังเอิญ พวกเขาจึงไม่มีความคิดที่จะร่วมทีมกันแม้แต่น้อย ทุกคนต่างเลือกที่จะรักษาระยะห่างระหว่างกัน เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ที่อาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ป่าหมอกยังคงเงียบสงบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงหอนของหมาป่าจะทำลายความสงบในยามค่ำคืนลง
อวู้ววว!
ภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน ดวงตาคู่หนึ่งปรากฏขึ้นจากส่วนลึกของป่า จากนั้นก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพวกมันเดินเข้ามาใกล้เหล่านักเรียน ทุกคนก็สังเกตได้ว่าพวกมันคือฝูงหมาป่าปีศาจกลายพันธุ์ สัตว์อสูรที่พบได้ทั่วไปในส่วนต่าง ๆ ของทวีปเซีย พวกมันมีค่าเฉลี่ยความแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 6 ทำให้พวกมันเป็นหนึ่งในสัตว์อสูรที่อ่อนแอที่สุด
หากมองแวบแรกดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรน่ากลัวเกี่ยวกับพวกมันเลยนอกจากจำนวนที่มีมาก
เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังออกมาจากฝูงชน เมื่อได้เห็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา เด็กนักเรียนใหม่นั้นมีค่าเฉลี่ยความแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 5 พวกเขาจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้ว่าศัตรูอ่อนแอกว่าตน ราวกับว่าชัยชนะอยู่ในกำมือของพวกเขาแล้ว
ระดับแก่นแท้ 5 นั้นเป็นดั่งเส้นแบ่งสำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เป็นช่องว่างที่สำคัญในการแบ่งลำดับชั้นความแข็งแกร่ง นักเรียนส่วนใหญ่จึงเชื่อว่าพวกเขาสามารถรับมือสัตว์อสูรระดับแก่นแท้ 6 เหล่านี้ได้สบาย ๆ
อย่างไรก็ตามโรเอลกลับอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันผ่อนคลายนี้ เด็กหนุ่มตรวจดูบริเวณโดยรอบ ก่อนจะสังเกตเห็นว่านักเรียนบางคนที่สวมชุดเกราะเองก็มีสีหน้าอันเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน
ดูเหมือนว่านักเรียนส่วนใหญ่จะถูกคัดออกไปเร็วกว่าที่คิดแฮะ
โรเอลส่ายหัวแล้วจึงเดินไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่ เพื่อปิดมุมอับด้านหลังก่อนจะเริ่มร่ายคาถาเวท
…
นี่เป็นค่ำคืนที่คึกคักมากสำหรับสถาบันเซนต์เฟรย่า ทว่าไม่ใช่แค่สำหรับนักศึกษาใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเหล่านักเรียนรุ่นพี่อีกด้วย
สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในสถานศึกษาตอนนี้หนาแน่นไปด้วยผู้คน ไม่มีที่นั่งว่างใด ๆ ให้เห็น ทั้งหมดนี้คือเหล่านักเรียนรุ่นพี่ที่เข้ามาดูการต่อสู้ผ่านอุปกรณ์เวทฉายภาพที่วางอยู่ตรงกลางสนาม ส่งเสียงเชียร์และเสียงโห่เป็นครั้งคราวด้วยความตื่นเต้น
สิ่งที่พวกเขากำลังดูอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างนักเรียนในอันดับยี่สิบอันดับแรก แต่เป็นเหล่านักเรียนรุ่นน้องที่เข้าใหม่ ผู้กำลังอยู่ในโบราณสถาน ‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’
ในวันนี้ เหตุการณ์ภายในโบราณสถานจะถูกถ่ายทอดออกมาให้กับนักเรียนทุก ๆ คนในสนามกีฬาได้ชม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสถาบันการศึกษา
นอกจากการทำให้นักเรียนใหม่ได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายที่จะต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดแล้ว การทดลองนี้ยังเป็นการคัดเลือกอีกด้วย ทว่านี่ไม่ใช่แค่สำหรับคัดเลือกหาตัวผู้ถือแหวนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคีแห่งปัญญา และองค์กรต่าง ๆ ได้สังเกตการณ์หาสมาชิกใหม่ที่พวกเขาสนใจอีกด้วย
สำหรับนักเรียนทั่ว ๆ ไป กิจกรรมนี้เป็นเหมือนความบันเทิงที่หาได้ยากในโลกที่ขาดอุตสาหกรรมความบันเทิง คล้าย ๆ กับการแข่งขันกีฬาฟุตบอลในอดีตชาติของโรเอล ที่มีทั้งการพนันและกองเชียร์
“ไปเลย นายหญิง สู้เขา!”
“ว้าว ทีมที่สามรอดชีวิตจากระลอกแรกได้แล้ว!”
“สาวผมทองคนนั้นในทีมที่เจ็ดแข็งแกร่งมากจริง ๆ เธอเป็นใครกันนะ?”
“ทรงพระเจริญ!”
การสนทนาและเสียงเชียร์มากมายดังขึ้นภายในสนามกีฬา ตามภาพที่ฉายออกมาจากอุปกรณ์เวท เหล่านักเรียนรุ่นพี่ต่างกระทืบเท้า คำรามอย่างมีความสุข บ้างก็เอามือก่ายหน้าผากด้วยความผิดหวัง
ทว่าเมื่ออุปกรณ์ฉายภาพเคลื่อนไปยังป่าหมอกที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ฝูงชนในสนามกีฬาก็เงียบลงทันที สีหน้าของพวกเขาดูเคร่งขรึมและเห็นอกเห็นใจ
ป่าไจแอนท์วู้ดเป็นหนึ่งในเขตบททดสอบภายใน ‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’ ที่เหล่านักเรียนรุ่นพี่ต่างจดจำมันได้ขึ้นใจเนื่องจากระดับความยากของมัน
มีบททดสอบมากกว่า 50 แบบภายใน ‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’ แต่เหล่านักเรียนใหม่จะถูกขนส่งไปยังบททดสอบเพียงแค่ 10 แบบแรกเท่านั้น ซึ่งแต่ละบททดสอบก็จะมีระดับความยากที่แตกต่างกันออกไป ทว่ามีเพียงสามบททดสอบเท่านั้นที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ระดับการล้างทีม’ แม้ว่าคะแนนที่ได้รับจะมากกว่าบททดสอบอื่น ๆ ก็ตาม แต่มันก็ยากมาก ๆ จนน่าสังเวช ซึ่งหนึ่งในบททดสอบ ‘ระดับการล้างทีม’ นั้นก็คือเขตบททดสอบป่าไจแอนท์วู้ด
สัตว์ร้ายที่ซุ่มซ่อนอยู่ในป่าไจแอนท์วู้ดอาจดูธรรมดาในแวบแรก แต่ฝูงหมาป่าปีศาจกลายพันธุ์นั้นยากต่อการจัดการมากกว่าศัตรูในบททดสอบอื่น ๆ มาก เพราะพวกมันสามารถร่วมมือกันได้ พวกมันพร้อมจะยอมเสียสละตัวเอง เพื่อยึดอาวุธของศัตรู สร้างโอกาสให้พันธมิตร ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สัตว์อสูรชนิดอื่น ๆ ในบททดสอบทำได้
แม้แต่เหล่านักสู้รุ่นเก๋าในหมู่นักเรียนรุ่นพี่ก็ยังอยากจะรับมือกับกองทัพผสมของสัตว์อสูรระดับแก่นแท้ 5 มากกว่าที่จะต้องเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าปีศาจกลายพันธุ์ระดับแก่นแท้ 6 แม้แบบแรกจะฟังดูเป็นการต่อสู้ที่วุ่นวายแต่มันก็แค่ในระดับตามปกติ ต่างจากอย่างหลังที่รุนแรงกว่ามาก
นอกจากนี้ผู้ที่สามารถเอาตัวรอดจากฝูงหมาป่ามาได้ ก็ยังมีความสิ้นหวังที่ยิ่งใหญ่กว่ารอพวกเขาอยู่
“เด็กใหม่พวกนั้นโชคร้ายจริง ๆ”
“น่าเสียดายจัง”
เหล่ารุ่นพี่ที่กำลังดูการถ่ายทอดสดอยู่พากันถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
ทางด้านคณะอาจารย์ เมื่อหญิงสาวผมสีแดงเลือดนกสังเกตเห็นเด็กหนุ่มผมสีดำยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่จากจอแสดงภาพ และเธอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พลางหยิบบุหรี่ออกมาจุดไฟโดยไม่รู้ตัว
ลิเลียน แอคเคอร์มันน์เองก็อยู่ในสนามกีฬาเช่นกัน โดยนั่งอยู่บนชานชาลาพิเศษ เด็กสาวได้เปลี่ยนชุดเป็นกระโปรงยาวสบาย ๆ มองดูเด็กหนุ่มผมดำผ่านทางจอแสดงภาพอย่างตั้งใจด้วยดวงตาสีอเมทิสต์ สีหน้าของเธอยังคงดูนิ่งเฉยตามปกติ ราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศที่กำลังร้อนรุ่มรอบ ๆ ตัว
“ท่านลิเลียน ยังสนใจเด็กใหม่คนนั้นอยู่อีกเหรอครับ?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา หลังจากนั้น เด็กหนุ่มผมสีส้มก็เดินเข้ามาทางด้านข้างของลิเลียน เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าตามแบบฉบับของจักรวรรดิออสทีน และสวมแหวนที่ส่องแสงสีเขียวอ่อน ๆ เป็นประกายออกมาใต้แสงจันทร์
เด็กหนุ่มคนนี้คือ กลินท์ โดรัน นักเรียนชั้นปีที่ 2 ผู้ชนะ ‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’ ครั้งก่อนรวมถึงยังเป็นผู้ถือแหวนกุหลาบเขียวอีกด้วย เขามองดูเด็กหนุ่มผมสีดำที่กำลังต่อสู้อยู่ในจอแสดงภาพพร้อมส่ายหัว
“นั่นคือคาถาเวทประเภทอันเดธงั้นเหรอ? เขาจะต้องอยู่ในอันดับต้น ๆ ของนักเรียนใหม่แน่ ๆ ด้วยระดับแก่นแท้ 4 แต่เขายังไม่ได้กวาดล้างศัตรูไปมากเท่าไหร่เลยนี่ ดูเหมือนว่าเขาจะยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้จริง น่าเสียดายจริง ๆ ที่เขาถูกส่งมาที่บททดสอบป่าไจแอนท์วู้ด ดูจากทรงแล้วเขาน่าจะไม่รู้ถึงภัยคุกคามที่ซุ่มซ่อนอยู่รอบตัวเองในตอนนี้”
กลินท์กล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยาม ขณะเหลือบไปยังเขตการทดสอบที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ในจอแสดงผล
ลิเลียนไม่ได้หักล้างคำพูดของอีกฝ่ายแต่อย่างใด เธอเพียงแต่นึกถึงดวงตาคู่นั้นอันไร้ซึ่งความกลัวในวินาทีที่โรเอลได้สบตากับเธอในตอนเช้าตรู่แล้วจึงครุ่นคิด
เขาทำได้แค่นั้นจริง ๆ เหรอ?