ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 11 บทที่ 312 เขากลับมาแล้ว
เซียวจิ่นหัวเราะเสียงขื่น “ใช่ เจิ้นแจ่มแจ้งดีว่าเจ้าไม่ได้รั้งอยู่เพื่อเจิ้น แต่เพราะรอเขากลับมา” รอกระทั่งการเดินหมากเสร็จสิ้นลงหนึ่งกระดาน เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจิ้นได้รับข่าว เสด็จอาอยู่ระหว่างทางกลับเมืองหลวงแล้ว คาดว่าคงเดินทางมาถึงเมืองหลวงในสองวันนี้”
หลินชิงเวยตกตะลึง ดวงตาของนางทอประกายวาบ ต่อให้เซียวจิ่นก้มหน้าก็รับรู้ได้ เพียงแต่ประกายในดวงตาของนางไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขา
“ชิงเวย เจิ้นไม่ปรารถนาให้เจ้าต้องเจ็บ” เซียวจิ่นพลันจับจ้องมองนาง
หลังจากหลินชิงเวยได้สติแล้วก็หัวเราะออกมา “ยอดฝีมือในวังหลวงมีมากมายเช่นนี้ ผู้ใดจะมีความสามารถทำให้หม่อมฉันได้รับบาดเจ็บได้เพคะ?”
“เจิ้นหมายถึงทางด้านความรู้สึก” เซียวจิ่นพูด “เจ้าก็รู้ว่าเจิ้นหมายถึงอะไรกระมัง เจิ้นประสบมากับตัวเองแล้วความรู้สึกนั้นย่ำแย่เหลือเกิน ดังนั้นเจิ้นไม่ปรารถนาให้เจ้าต้องเผชิญกับมัน”
“ฝ่าบาทหมายถึงเซียวเยี่ยนใช่หรือไม่?”
“เขาอาจจะไม่ใช่คนรักของเจ้า”
ไม่รู้ด้วยเหตุใดหลินชิงเวยจึงรู้สึกว่าหัวใจของตนวูบโหวงอย่างร้ายกาจ เพราะคำพูดของเซียวจิ่น? ไม่ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยนำคำพูดของคนผู้หนึ่งไปประเมินอีกคนหนึ่ง ที่นางรู้สึกหัวใจหนักอึ้งเป็นเพราะสัญชาตญาณของนางเอง…
แต่ครั้งนี้นางลอบตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่เชื่อสัญชาตญาณของตัวเองสักครั้ง นางตัดสินใจเชื่อเซียวเยี่ยน หาไม่แล้วนางไม่มีทางนั่งรอเซียวเยี่ยนในวังหลวงนานเช่นนี้
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว นางหัวเราะให้เซียวจิ่นอย่างเอาเป็นเอาตาย “ข้าเชื่อว่าวาสนากำหนดโดยสวรรค์ หากไม่มีวาสนาต่อกันจริงๆ ย่อมไม่อาจฝืนชะตาเพื่อให้ได้มามิใช่หรือ? ข้าไม่ใช่คนชอบบังคับฝืนใจผู้อื่น แน่นอนว่าข้าไม่โง่เขลาถึงขั้นฝืนใจตัวเอง ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย คนที่จะทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดยังไม่ถือกำเนิดบนโลกใบนี้”
เซียวจิ่นเม้มปากยิ้มบางๆ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงขึ้นนาสิก “ดูเหมือนความกังวลของเจิ้นจะเป็นเรื่องเกินความจำเป็น”
เดินหมากกระดานหนึ่ง เซียวจิ่นชนะอย่างง่ายดาย เดิมทีการเดินหมากที่ยากแก่การแก้ กลับถูกการเดินหมากส่งเดชของหลินชิงเวยตีแตก นางดูเหมือนไม่กระจ่างแจ้งในศาสตร์ด้านนี้ แต่กลับมีความสามารถเดินหมากสะเปะสะปะ
เซียวจิ่นพูดกลั้วหัวเราะ “เดินอีกสักกระดานดีหรือไม่?” เดินหมากกับหลินชิงเวยสนุกดีเหมือนกัน
หลินชิงเวยเท้าคาง “เดินหมากเช่นนี้ซ้ำซากเหลือเกิน พวกเรามาเปลี่ยนวิธีการเดินหมากให้ง่ายดายสักหน่อย”
“ได้ เจ้าบอกว่าเดินอย่างไรก็เดินอย่างนั้น”
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงนั่งยองๆ ลงบนตั่งตัวเตี้ย เดินหมากห้าตัวกับเซียวจิ่น
การเดินหมากห้าตัวนี้ง่ายดายกว่ากันมาก ได้ลับสมองแต่ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก อีกทั้งเป็นวิธีการเดินหมากที่หลินชิงเวยถนัด ในแคว้นต้าเซี่ยยังไม่มีการเดินหมากประเภทนี้ เซียวจิ่นรู้สึกว่าเป็นการเดินหมากที่แปลกใหม่ จึงเดินหมากห้าตัวกับหลินชิงเวยสองกระดาน ไหนเลยจะรู้ว่าเล่นติดพันขึ้นมาคนทั้งสองจึงเล่นกันไม่เลิกรา
ต่อมาวิธีการเดินหมากห้าตัวนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายอย่างมากในแคว้นต้าเซี่ย
สองวันให้หลัง ตำหนักซวี่หยางให้คนมาบอกความว่าเซ่อเจิ้งอ๋องกลับวังแล้ว เซียวจิ่นต้องการพาหลินชิงเวยไปรับเซ่อเจิ้งอ๋องที่หน้าประตูวังหลวงพร้อมกัน
เขากลับมาแล้ว
หลินชิงเวยรู้สึกไม่อยากไปนัก เซ่อเจิ้งอ๋องกลับวัง เซียวจิ่นไปต้อนรับด้วยตนเองหากกล่าวว่าเป็นเพราะความผูกพันระหว่างอาหลานและความดีความชอบของเซ่อเจิ้งอ๋องย่อมถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่เซียวจิ่นคิดจะพานางไปพร้อมกันด้วย นี่มันด้วยสาเหตุใดกัน? เป็นเพราะรู้ว่านางอยากพบเซียวเยี่ยนเหลือเกินใช่หรือไม่?
นางอยากพบเขาจริงๆ แต่ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งเช่นนี้
นางไม่รู้เซียวจิ่นต้องการทำลายความหวังของนางหรือไม่ แต่นางยังคงทำลายสัญชาตญาณของตนเองอีกครั้งหนึ่ง
หลินชิงเวยผลัดเปลี่ยนกระโปรงเป็นชุดสีเขียวอ่อน ขับให้ผิวพรรณของนางนวลผ่องประดุจหยก บนศีรษะประดับด้วยหวีสับ ผมหน้าม้านั้นคล้ายบดบังเรียวคิ้ว ทว่ามิได้บดบังคิ้วเรียวยาวประดุจทิวเขาของนาง แต่กลับขับให้ดวงตาทั้งคู่กระจ่างใสบริสุทธิ์
หลินชิงเวยหันหน้าเข้ากระจกสำริด แต้มชาดให้ตนเองบางๆ สีชมพูอ่อนๆ ประทับลงบนริมฝีปากแดงแตกต่างจากวันอื่นๆ ที่นางไม่ผัดแป้งแต้มชาด ราวกับส่งผลให้คนทั้งคนดูผ่องใสผิดหูผิดตา งดงามเปี่ยมเสน่ห์มีชีวิตชีวา ราวกับนางปีศาจน้อยที่ตกลงมาบนโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อนางเดินยกชายกระโปรงออกมา ซินหรูเห็นแล้วถึงกับตะลึงงัน “ปกติพี่สาวไม่แต้มชาด คิดไม่ถึงว่าจะงดงามถึงเพียงนี้!”
หลินชิงเวยยิ้มทว่าไม่พูดจา นางหรี่ตาลงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าสีฟ้าก้อนเมฆสีขาว อากาศดีเหลือเกิน หลินชิงเวยพูดขึ้นว่า “วันนี้อากาศดียิ่งนัก”
เมื่อนางออกจากตำหนักฉางเหยี่ยน เซียวจิ่นกำลังรอนางอยู่ เห็นนางเดินออกจากประตูตำหนักแต่ไกล สายตาของเซียวจิ่นตกอยู่บนร่างของนางตลอดเวลา ราวกับฤดูใบไม้ผลิอันงดงามก็ไม่อาจเทียบกับเงาร่างอรชรร่างนั้น
รอจนหลินชิงเวยเดินเข้ามาใกล้ เซียวจิ่นพิจารณานางด้วยความรู้สึกตกตะลึงและฝาดเฝื่อนหลายส่วน นางลุกขึ้นมาแต่งกายประทินโฉมเพื่อเขา แต่เขาคนนั้นกลับไม่ใช่ตน
เซียวจิ่นยังคงพูดกลั้วหัวเราะ “ไปเถิด เวลานี้เสด็จอาน่าจะเกือบเข้าประตูวังมาแล้ว”
ระหว่างทางหลินชิงเวยถามขึ้นว่า “เหตุใดฝ่าบาทต้องพาข้าไปด้วยกันให้ได้เล่า?”
เซียวจิ่น “เสด็จอาไม่ใช่คนนอก วันนี้นอกจากเจ้าและเจิ้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดอีก เจิ้นรู้ว่าเจ้าอยากพบเขามาก”
หลินชิงเวยไม่พูดอะไรอีก
เพิ่งจะไปถึงประตูวังชั้นกลางพลันเห็นรถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งผ่านเข้าประตูวังมา องครักษ์ก้มศีรษะคารวะและหลีกทาง รถม้าคันนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาจากด้านนอก หลินชิงเวยหรี่ตาลงมองรถม้าคันนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งรถม้าคันนั้นหยุดลงห่างจากนางและเซียวจิ่นไม่มาก
คนบังคับรถม้าผู้นั้นดูท่าทางเป็นคนระมัดระวังอย่างยิ่งคนหนึ่ง หลินชิงเวยไม่เคยเห็นเขามาก่อน นางมองเขาก้าวลงมาอย่างมีมารยาท จากนั้นหันมาถวายบังคมเซียวจิ่นแล้วถอยออกไปยืนด้านข้าง เพียงเท่านี้ก็รู้ได้ว่าคนบังคับรถม้าคันนี้เป็นคนมีมารยาทยิ่งยวดคนหนึ่ง
แต่หลินชิงเวยมองออกว่าเขาไม่ใช่คนมีวรยุทธ์ น่าจะไม่ใช่องครักษ์ลับข้างกายเซียวเยี่ยน เซียวจิ่นเพียงแต่พยักหน้าให้เขาลุกขึ้น ดูท่าแล้วไม่ใช่องครักษ์ลับของเซียวจิ่นเช่นกัน
ยามนี้ผ้าม่านรถม้าถูกเปิดออก เซียวเยี่ยนค้อมกายลงมาจากด้านใน ขายาวๆ ข้างหนึ่งก้าวลงมาอย่างมั่นคง เขาสวมอาภรณ์สีม่วงหม่นทั้งชุด เส้นผมดำประดุจน้ำหมึก คิ้วตาคมสัน มีเพียงความองอาจในแววตาของเขาดูเหมือนไม่เย็นชาเฉกเช่นที่หลินชิงเวยเคยพบเห็นมา อาจเป็นเพราะสภาพอากาศอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ ทำให้สีหน้าท่าทางของเขาอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นสองส่วน
เซียวจิ่นพูดยิ้มๆ “เสด็จอากลับเมืองหลวงเสียที”
ไม่ได้พบหน้ากันเนิ่นนาน ตั้งแต่วันที่เขาจากไปไม่ร่ำลาที่เมืองจิงโจว หลินชิงเวยก็ไม่ได้พบเขาอีก ผ่านมาสองสามเดือนบัดนี้ได้พบเขาอีกครั้ง เขายังมีลักษณะท่าทางเหมือนที่หลินชิงเวยคุ้นเคย แต่มีอะไรที่ไม่เหมือนเดิมกันแน่นะ?
เซียวเยี่ยนเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นหลินชิงเวย แววตาของเขาอดที่จะหม่นแสงลงไม่ได้ ต่อมาจึงพูดกับเซียวจิ่นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท”
เซียวจิ่น “เสด็จอาจากไปเกือบครึ่งปี บัดนี้กลับมาแล้วยังเกรงใจเจิ้นเช่นนี้หรือ”
เซียวเยี่ยนขยับปากกำลังจะพูดสิ่งใด เวลานี้พลันมีเสียงเรียกเบาๆ ดังขึ้นจากในรถม้า “เยี่ยน”
น้ำเสียงนั้นประดุจสายลมของวสันตฤดู ได้ยินแล้วทำให้คนรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งตัว ราวกับเสียงของนกขมิ้นที่ไพเราะจับใจ และไม่อาจปฏิเสธว่าเสียงนั้นเป็นเสียงที่สตรีจะมีได้เท่านั้น
หลินชิงเวยตะลึงงัน และในวินาทีที่นางตะลึงงันนั้น มือของนางที่อยู่ใต้แขนเสื้อกำเข้าหากันแน่น สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง