ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 11 บทที่ 311 หากคิดถึงมากๆ เจ้าจะมาหรือไม่?
หมัวมัวคุกเข่าลง “ไทเฮาเพคะ ต้องเป็นพวกนางใช้แผนการอันใดเป็นแน่ หากไทเฮาทรงหลงเชื่อย่อมต้องถูกพวกนางทำให้ตื่นตระหนกเพคะ ไทเฮาทรงสวดมนต์ทุกวัน มีพระพุทธองค์คุ้มครอง สิ่งสกปรกเหล่านี้ไหนเลยจะแปดเปื้อนพระองค์ได้!”
ไทเฮาฟังแล้วเห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริง จึงค่อยๆ สงบจิตใจลงได้
แท้จริงแล้วเรื่องของลวี่ถานล้วนเป็นหมัวมัวที่ทำตามความต้องการของไทเฮา
วันนั้นไทเฮารู้เรื่องที่ซีเฟยไปเยือนตำหนักฉางเหยี่ยน นางไม่อาจไม่มีโทสะ ทุกคนต่างรู้ดีว่าซีเฟยได้รับความโปรดปราน ไทเฮามีความคิดจะดึงนางมาอยู่ฝ่ายเดียวกับตน กลับคิดไม่ถึงว่านางจะไม่รู้จักแยกแยะ ถึงกับไปเยือนที่ตำหนักฉางเหยี่ยนหลังถูกยกเลิกคำสั่งกักบริเวณทันที ซ้ำยังเมินเฉยต่อพระประสงค์ของไทเฮา
ไทเฮาทรงบันดาลโทสะ หมัวมัวผู้นั้นจึงคิดแผนการนี้ออกมา หลังจากได้พูดคุยกับลวี่ถาน จึงรู้ว่าลวี่ถานกำลังกังวลว่าหลินชิงเวยจะกลับมาได้รับความโปรดปรานอีกครั้ง ย่อมส่งผลกระทบต่อเจ้านายของนาง อีกทั้งนางเกลียดชังหลินชิงเวย ด้วยเหตุนี้จึงยุยงให้ลวี่ถานถลำตัว และหลอกใช้ลวี่ถานวางยาซีเฟยพร้อมกับให้ร้ายหลินเจาอี๋ เช่นนี้แล้วยังกำจัดหลินเจาอี๋ด้วย คิดไม่ถึงว่าลวี่ถานจะไร้เดียงสาหลงเชื่อจริงๆ
นอกจากทำไม่สำเร็จ นางเองยังต้องเอาชีวิตมาทิ้ง
ทางด้านไทเฮาสงบลง คิดไม่ถึงว่าทางด้านตำหนักซีจิ่งกลับมีการเคลื่อนไหว ได้ยินว่าซีเฟยฝันถึงลวี่ถาน ลวี่ถานต้องการทวงชีวิตคืน ซีเฟยจึงล้มป่วยไม่หายเสียที อีกทั้งยังได้ยินว่าลวี่ถานกล่าวว่านางถูกใส่ร้าย ต้องการไปหาฆาตกรผู้อยู่เบื้องหลังเพื่อล้างแค้น
ยามนี้ไทเฮาฝันร้ายกลางดึกทุกคืน ยากที่จะสงบใจลงได้ ถึงขั้นเชิญหลวงจีนมาทำพิธีในตำหนักคุนเหอ ประกอบกับเซียวจิ่นออกหน้าลงมาจัดการด้วยตัวเอง เรื่องนี้จึงนับได้ว่าสิ้นสุดลง
ก่อนหน้านี้เซียวจิ่นไม่ได้ยื่นมือเข้ามาแทรก ทว่าในใจเขากระจ่างแจ้งดีว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแต่หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะส่งผลให้จิตใจของผู้คนในวังหลวงระส่ำระสาย หลังจากเขาออกมาสั่งให้ทุกฝ่ายยุติการเคลื่อนไหว ตำหนักในจึงกลับมาสงบสุขดังเดิม
สภาพอากาศค่อยๆ อบอุ่นขึ้น ต้นหลิ่วริมสระไท่เยี่ยกำลังแตกหน่อผลิกิ่งก้าน แตกใบอ่อนท่ามกลางสายลมอันอบอุ่น เป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก บนผิวน้ำของสระไท่เยี่ยมีใบบัวลอยอยู่ คิดว่าอีกไม่นานดอกบัวตูมก็จะโผล่พ้นน้ำขึ้นมา
บรรดาพระสนมชายาภายในตำหนักในเริ่มออกมาเดินเหินข้างนอกมากขึ้น พวกนางสวมอาภรณ์เนื้อบางสำหรับฤดูวสันต์ แต่งกายประทินโฉมงดงาม เดินเล่นอยู่ในอุทยาน หยุดพักผ่อนในศาลาและสนทนาหยอกล้อ บางครั้งเสียงหัวเราะของพวกนางลอยออกไปไกล กลิ่นเครื่องหอมบางๆ กำจายไปในอากาศ
นี่เป็นโอกาสอันดีที่แต่ละตำหนักจะแก่งแย่งชิงดี เกรงว่าหากตนเองแต่งกายไม่พิถีพิถันพอ หากออกมาแล้วเผอิญได้พบฮ่องเต้แล้วตนจะไม่เข้าตาของเขา แม้การจะได้พบฮ่องเต้ในอุทยานหรือริมสระอาจเป็นเรื่องที่เป็นไปได้น้อยยิ่ง แต่พวกนางยังคงเต็มใจทำอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ต่อให้ไม่พบฮ่องเต้ แต่ออกมาอาบแดดประชันโฉมกันสักหน่อยก็ยังดี สำหรับพวกนางแล้วถือเป็นเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง
ผู้ใดใช้ให้พวกนางวันๆ กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเล่า
หลินชิงเวยกลับอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนโดยไร้การเคลื่อนไหว แม้บรรดานางกำนัลแทบจะรอให้นางออกไปเดินเล่นข้างนอกไม่ไหว จะได้ทำให้นางปีศาจทั้งหลายหลบชิดขอบไปให้หมด ทว่าชัดเจนยิ่งนักว่าหลินชิงเวยปราศจากความสนใจในเรื่องเหล่านี้ เวลาโดยส่วนใหญ่ของนางมักหมดไปกับการอยู่ในห้องโอสถ หรือขยายแปลงสมุนไพรของตน
ได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงบรรทมไม่หลับ จึงส่งหัวหน้าขันทีของตำหนักซวี่หยางมาเชิญหลินชิงเวยไปตำหนักซวี่หยางสักหน
เซียวจิ่นให้หัวหน้าขันทีมาเชิญอย่างเป็นทางการเช่นนี้แล้วดูเหมือนจะไม่ให้โอกาสหลินชิงเวยปฏิเสธ หลินชิงเวยสะพายล่วมยาของตนไปยังตำหนักซวี่หยาง
ตำหนักซวี่หยางยังคงเหมือนเดิม บรรดาขันทีและนางกำนัลกำลังง่วนอยู่กับงานในมือของตน เมื่อเห็นนางมาถึงจึงยอบกายคารวะ รอกระทั่งนางเดินเข้าไปแล้ว จึงลุกขึ้นทำงานในมือของตนเองต่อไป
ดอกไห่ถังในวังหลวงกำลังบานสะพรั่ง กิ่งก้านที่ยื่นออกไปนั้นเหยียดตรงราวกับพู่กันพาดผ่านหน้าประตูตำหนักสามชั้น พื้นปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยดอกไห่ถัง
ดอกไห่ถังกิ่งนั้นบานสะพรั่งเต็มที่ หลินชิงเวยยังจดจำภาพของเซียวเยี่ยนที่เดินผ่านพุ่มดอกไห่ถังเมื่อวสันตฤดูของปีที่แล้ว
นางพยายามบังคับตนเองไม่ให้คิดถึง เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่ล้วนทำให้นางคิดถึงอดีตที่ผ่านมา คิดถึงเซียวเยี่ยน ทำให้นางรู้สึกว่าเวลาเดินช้าเหลือเกิน ถึงขั้นรู้สึกว่าเวลาหนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปี นางไม่รู้ว่าเวลานี้เซียวเยี่ยนอยู่ที่ใด และเขาจะกลับมาเมื่อไหร่
นางเดินเข้าไปด้านในตำหนักโดยไม่ต้องให้นางกำนัลนำทาง หลินชิงเวยเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย นางกำนัลหน้าประตูตำหนักบรรทมคารวะให้นางแล้วหันหน้าเข้าไปรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท เจาอี๋เหนียงเหนียงมาถึงแล้วเพคะ”
เสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านใน “ให้นางเข้ามา”
“เชิญเจาอี๋เหนียงเหนียงเจ้าค่ะ”
นางกำนัลเปิดประตูห้องให้หลินชิงเวยเข้าไปแล้วปิดประตูห้องกลับไป หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเห็นเซียวจิ่นนั่งอยู่บนตั่งตัวเตี้ยริมหน้าต่าง บนโต๊ะมีผ้าไหมสีเหลืองขมิ้นวางอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก บนโต๊ะมีหมากกระดานหนึ่ง เวลานี้เซียวจิ่นกำลังหยิบหมากตัวหนึ่งวางลงบนกระดาน
เขาเห็นหลินชิงเวยเข้ามาแล้วจึงเงยหน้าคลี่ยิ้มบางๆ แววตาอบอุ่นราววสันตฤดู นัยน์ตาสีดำและขาวตัดกันชัดเจนราวกับอัญมณีที่บริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้า “ชิงเวย เจ้ามาแล้ว เดินหมากเป็นหรือไม่?”
หลินชิงเวยขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทมิใช่พลานามัยไม่ใคร่ดีหรอกหรือ?”
เซียวจิ่นกล่าวยิ้มๆ “หากไม่พูดเช่นนั้นเจ้าจะมาหรือ?” พูดแล้วก็เลิกคิ้วเย้ยหยันตัวเอง “ครั้งนี้ใช้คำลวงเช่นนี้ ไม่แน่ว่าครั้งหน้าหากเจิ้นล้มป่วยลงจริงๆ เกรงว่าเจ้าคงไม่มากระมัง ครั้งหน้าเจิ้นต้องหาเหตุผลอื่น”
หลินชิงเวยกล่าวอย่างเห็นขัน “ที่จริงฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
เซียวจิ่นมองนางด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ “หากเจิ้นบอกว่าเจิ้นคิดถึงเจ้า อยากพบเจ้าเหลือเกิน เจ้าจะมาหรือไม่?”
หลินชิงเวยถอนสายตาจากการประสานสายตากับเขา หลุบตาลงต่ำแล้ววางล่วมยาลงข้างกายเงียบๆ อับจนด้วยคำพูด
ความเงียบงันเพียงชั่วครู่ เซียวจิ่นรู้คำตอบแล้วเช่นกัน หรืออาจพูดได้ว่าต่อให้เขาไม่ถามออกไป เขาก็กระจ่างแจ้งในคำตอบแต่แรก เขาเพียงแต่ไม่ยินยอมถอดใจ ไม่อาจยอมรับว่าความรู้สึกของตนได้คืนมาเพียงความรู้สึกขมฝาดเต็มท้อง
เซียวจิ่นจัดกระดานหมากราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพูดขึ้นอีกว่า “เมื่อก่อนเสด็จอาอยู่ในวังหลวง เจิ้นทำงานเสร็จแล้วเขาจะสอนเจิ้นเดินหมาก เวลานี้เจิ้นพบว่านี่เป็นวิธีการขจัดความเหงาอย่างหนึ่ง พอดีเจิ้นอ่านพบเคล็ดวิธีการเดินหมากบนหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ไร้คนเดินหมากเป็นเพื่อน ชิงเวย เจ้านั่งลงเดินหมากกระดานนี้กับเจิ้นได้หรือไม่?”
หลินชิงเวยตอบสั้นๆ “ข้าเดินหมากไม่เป็น”
เซียวจิ่นช้อนตามองนางด้วยแววตาอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้านั่งอยู่ข้างกายเจิ้น เจิ้นก็เป็นสุขแล้ว”
หลินชิงเวยใคร่ครวญดูแล้วจึงตัดสินใจนั่งลงตรงข้ามเขาข้างโต๊ะตัวเล็ก หลินชิงเวยไม่มีกะจิตกะใจเดินหมาก อีกทั้งนางไม่ถนัดในศาสตร์ด้านนี้ เซียวจิ่นส่งหมากให้นางกล่องหนึ่ง นางจึงเดินหมากบนกระดานส่งเดช ในใจคิดเพียงว่าหากการเดินหมากส่งเดชทำให้เซียวจิ่นชนะได้ เขาย่อมรู้สึกดีใจก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอันใด
เซียวจิ่นพลันพูดขึ้นว่า “ชิงเวย เมื่อก่อนเจิ้นคิดจะรั้งเจ้าไว้ในวังหลวงอย่างไรก็รั้งเจ้าไว้ไม่อยู่ ยามนี้ไฉนเจ้าจึงรั้งอยู่ในวังอย่างสงบเล่า กำลังรอคอยสิ่งใด?”
หลินชิงเวยวางหมากในตัว พูดเสียงเบา “รอเซียวเยี่ยนกลับมา”