ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 11 บทที่ 302 ที่แท้คนคุ้นเคย
ในใจของหลินชิงเวยราวกับถูกสิ่งของทำให้ตีบตัน ความรู้สึกปลอดโปร่งในจิตใจเมื่อสักครู่สลายไปไม่มีเหลือ นางจับจ้องใบหน้าเซียวเยี่ยน ในรอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความแน่ใจ “เซียวเยี่ยน ท่านกำลังมองอะไร?”
เซียวเยี่ยนถอนสายตากลับมา ตกลงบนใบหน้าของหลินชิงเวยอีกครั้ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยดังเดิม “มองทิวทัศน์”
ดูเหมือนความสับสนที่จมลึกเมื่อสักครู่ปรากฏให้หลินชิงเวยเห็นเฉกเช่นนางคิดไปเองอย่างไรอย่างนั้น
หลินชิงเวยถามอีก “เช่นนั้นท่านกำลังคิดอะไรอยู่?”
ยามนี้เซียวเยี่ยนหันกายกลับไปแล้ว “ไม่ได้คิดสิ่งใดทั้งสิ้น ไป กลับกันเถิด”
หลินชิงเวยมองเงาร่างด้านหลังของเซียวเยี่ยนที่เดินอยู่ข้างหน้าด้วยความรู้สึกกดดันที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ นางยังคงเดินตามรอยเท้าที่เขาย่ำอยู่ข้างหน้ากลับไป
กลับมาถึงในรถม้าเซียวเยี่ยนกุมมือของนางเอาไว้ เขากุมมือของนางแน่นมาก หัวใจของหลินชิงเวยผ่อนคลายลง ด้วยนางรู้สึกว่าเขาใส่ใจในความรู้สึกของนาง
หลังจากสังเกตการณ์รอบนอกเมืองรอบหนึ่ง รถม้าจึงค่อยๆ เดินทางกลับเข้าเมือง รถม้าบดผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยดินโคลนที่แข็งตัวบนถนน ทำให้เกิดเสียงของดินโคลนที่ติดอยู่บนล้อของรถม้า
คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้เข้าไปในเมือง รถม้าพลันหยุดลงกะทันหัน
หลินชิงเวยได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ของสตรีแว่วๆ
เซียวเยี่ยนถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้น?”
ขุนนางคนหนึ่งก้าวเข้ามารายงานว่า “เรียนเซ่อเจิ้งอ๋อง ข้างหน้ามีสตรีนางหนึ่งหกล้มขวางเส้นทาง ดูท่าแล้วร่างกายบอบบางอ่อนแอ”
หลินชิงเวยเลิกผ้าม่านหน้าต่างขึ้นแล้วมองออกไป เห็นเงาร่างด้านหลังอันบอบบางของสตรีนางหนึ่งฟุบอยู่บนพื้น
เซียวเยี่ยนพูดเรียบๆ “ให้คนไปส่งนางกลับบ้านเป็นพอ”
ขุนนางคนนั้นตอบกลับมาว่า “เดิมทีข้าน้อยคิดจะทำเช่นนี้ แต่ได้ยินสตรีนางนั้นกล่าวว่านางตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง นางมาตามหาญาติ แต่ญาติพี่น้องของนางล้วนเสียชีวิต ยามนี้ไร้หนทางไป ท่านอ๋องคิดว่าเรื่องนี้ควรทำเช่นใดขอรับ?”
หลินชิงเวยส่งเสียงขึ้นในเวลาอันเหมาะสม “สตรีนางนั้นมีห่อผ้าติดตัวมาด้วยหรือไม่?”
ขุนนางผู้นั้น “ไม่มีขอรับ” ใช่สิ หากเป็นการเดินทางมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง ไฉนบนตัวของนางจึงไม่มีแม้แต่ห่อสัมภาระ?
หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นอีกว่า “นับแต่ใต้เท้าขุนนางผู้แทนพระองค์เข้ามาดูแลเมืองจิงโจว จวนว่าการให้การช่วยเหลือชาวบ้าน ในเมื่อนางมีเรื่องเดือดร้อน เหตุใดจึงไม่ไปขอความช่วยเหลือจากจวนว่าการเล่า แต่กลับตั้งใจมาขวางขบวนของเซ่อเจิ้งอ๋องในวันนี้? วันนี้ชาวบ้านในเมืองมากมายต่างรู้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องออกนอกเมือง หากนางล่วงรู้เรื่องนี้เช่นกัน ย่อมมิใช่มาจากนอกเมือง แต่มาจากในเมือง”
ขุนนางผู้นั้นได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งดังออกมาจากในรถม้า นับตั้งแต่นางร่วมเดินทางมาพร้อมกับเซ่อเจิ้งอ๋อง ไม่มีผู้ใดได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง คิดไม่ถึงว่าจะมีจิตใจละเอียดอ่อนเช่นนี้ ขุนนางผู้นั้นรีบกล่าวขึ้นทันทีว่า “หรือจะเป็นมือสังหาร? ควรจับตัวนางหรือไม่ขอรับ?”
หลินชิงเวย “นางมีรูปร่างบอบบางเช่นนี้ หากไม่ใช่มือสังหารแล้วจับกุมตัวนางง่ายๆ มิใช่ตกเป็นขี้ปากผู้อื่นหรอกหรือ? ไม่สู้ให้นางขึ้นมาบนรถม้า”
“นี่…” ขุนนางผู้นั้นลังเลใจอย่างยิ่ง นี่หากเป็นมือสังหารจริงๆ แล้วเกิดทำร้ายเซ่อเจิ้งอ๋อง เช่นนั้นเป็นพวกเขาที่อารักขาไม่ดี ความรับผิดชอบและโทษทัณฑ์นี้ร้ายแรงจริงๆ
หลินชิงเวยพูดอีกว่า “ข้าดูนางไม่เหมือนมือสังหาร มือสังหารอ่อนแอเปราะบางเช่นนี้ ยังกลัวเซ่อเจิ้งอ๋องจัดการไม่ได้อีกหรือ?”
ขุนนางผู้นั้นได้ยินเพียงหลินชิงเวยพูดจาฝ่ายเดียว ไม่ได้ยินเซ่อเจิ้งอ๋องเอ่ยวาจา ตรองดูแล้วเซ่อเจิ้งอ๋องน่าจะเห็นพ้องด้วยจึงพูดว่า “เช่นนั้นข้าน้อยจะไปพาตัวสตรีนางนั้นมาขอรับ”
หลินชิงเวยไม่คิดว่านางเป็นมือสังหารตั้งแต่แรก ด้วยเมื่อนางเห็นเงาร่างบอบบางนั้นแล้วรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาสองส่วนทันที
เพียงไม่นานสตรีนางนั้นก็ถูกนำตัวมาอยู่เบื้องหน้า เรือนร่างบอบบางของนางถูกองครักษ์ประคองขึ้นรถม้า แม้นางจะสวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายธรรมดา ทว่าท่วงท่าการเดินเหินและบุคลิกของนางทำให้ขุนนางและเหล่าทหารปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท
ภายในรถม้ากว้างขวางอย่างยิ่ง ย่อมไม่ใช่ปัญหา หากรับสตรีร่วมโดยสารเพิ่มขึ้นนางหนึ่ง
สตรีอายุเยาว์ก้มหน้าต่ำ เมื่อเข้ามานางคุกเข่าอยู่บนพื้น น้ำเสียงอ่อนโยน “บ่าวคารวะเซ่อเจิ้งอ๋องเจ้าค่ะ”
เซียวเยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อยทว่าไม่ได้พูดจา เขาเพียงแต่มองหลินชิงเวยแวบหนึ่ง
เมื่อเห็นในแววตาของหลินชิงเวยมีรอยยิ้มบางๆ ดูท่าแล้วสตรีนางนี้มิใช่คนแปลกหน้าเสียทีเดียว เขาจึงไม่พูดอะไร
สตรีนางนั้นคุกเข่าอยู่ครู่หนึ่ง หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าลุกขึ้นเถิด”
สตรีนางนั้นตะลึงงันในลำดับแรก นางคิดไม่ถึงว่าภายในรถม้าของเซ่อเจิ้งอ๋องจะมีสตรีอื่นอยู่ด้วย นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น วินาทีที่ประสานสายตากับหลินชิงเวย คนทั้งคนก็มีสีหน้าเกร็งค้างต่อมาแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว
หรือการที่นางขวางขบวนรถม้าของเซ่อเจิ้งอ๋องในวันนี้และเวลานี้สำหรับนางแล้วเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ ด้วยนางต้องมาพบกับหลินชิงเวย การกระทำของนางเป็นการหาเรื่องลบหลู่ดูหมิ่นตนเองอย่างแท้จริง
หลินชิงเวยเห็นหน้านางชัดเจนแล้วเช่นกัน รอยยิ้มบนใบหน้าจึงกดลึกขึ้น “ข้าคิดว่าผู้ใดกัน เมื่อสักครู่มองไกลๆ รู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง จึงให้เจ้าเข้ามาเพื่อทำความแน่ใจ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นเจ้า พี่หงหลิง เจ้ายังเคียดแค้นข้าหรือไม่?”
สตรีนางนี้คือเจ้าของหอจินหลิงที่เคยเฟื่องฟูในเวลานั้น เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อหอจินหลิงล่มสลาย นางเองต้องอยู่ในสภาพนี้ ใช้ชีวิตอยู่ตามข้างถนน
หงหลิงปากสั่น อึกอักครู่หนึ่งจึงพยายามเสแสร้งท่าทีน่าสงสารออกมาอย่างลำบาก “บ่าว บ่าวไม่รู้ว่าแม่นางกำลังพูดอันใด…บ่าวชื่อหลิงเอ๋อร์ มิใช่หงหลิงเจ้าค่ะ…”
หลินชิงเวยโน้มกายลงไป แนบชิดใบหน้าของหงหลิง เห็นได้ชัดเจนว่าโพรงจมูกของนางขยายใหญ่ขึ้น ร่างของนางถอยไปด้านหลังอย่างควบคุมไม่ได้ หลินชิงเวยยกยิ้ม “หากเจ้าไม่ใช่หงหลิง เหตุใดเจ้าจะหวาดกลัวถึงเพียงนี้? หวาดกลัวว่าข้าจำเจ้าได้ เจ้าจึงไม่อาจสร้างความทรงจำที่ดีต่อหน้าเซ่อเจิ้งอ๋องได้ใช่หรือไม่?”
ดวงตาของหงหลิงเบิกโต นางส่ายหน้าและส่งเสียง “ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้น ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดแม่นางจึงจำคนผิด ข้าไม่เคยพบแม่นางมาก่อนเช่นกัน!”
“เจ้าดูตัวเองเถิด” หลินชิงเวยกล่าว “พูดจาก็ยังเจตนาพูดให้เสียงสูงขึ้น คิดจะให้ผู้อื่นเชื่อในคำพูดของเจ้า นี่ก็คือการโกหกที่พบเห็นได้ทั่วไป” นางพินิจสีหน้าบนใบหน้าของหงหลิงอย่างละเอียดแล้วหัวเราะ “นอกจากเจ้าจะทำให้ผู้อื่นรู้ในความร้ายกาจของเจ้าแล้ว ดูแล้วเจ้ายังคงเคียดแค้นชิงชังข้า ในเมื่อวันนั้นข้าสวมรอยเป็นเจ้าเข้าไปในจวนท่านเจ้าเมืองจึงจับตัวท่านเจ้าเมืองได้ ทันทีที่ท่านเจ้าเมืองถูกโค่นล้ม หอจินหลิงของเจ้าจึงไร้ผู้หนุนหลัง จำต้องล้มตามไปด้วย”
หงหลิงขยับปากทว่ากลับพูดอะไรไม่ออก
หลินชิงเวยหันมามองเซียวเยี่ยน “ท่านรู้หรือไม่ว่าพี่หงหลิงผู้นี้เป็นผู้ใด หอจินหลิงเป็นสถานที่อันใด?”
เซียวเยี่ยนไม่แม้แต่จะเหลือบมองหงหลิง เขาตอบส่งๆ ว่า “ข้าไม่ชัดเจนอันใดนัก”
หลินชิงเวย “พี่หงหลิงผู้นี้เป็นเจ้าของหอจินหลิง และหอจินหลิงคือสถานที่เช่นเดียวกับหอชุนจี้ในเมืองซั่งจิง หงหลิงสมคบคิดกับอดีตท่านเจ้าเมืองมาเป็นเวลานาน ได้รับการเลี้ยงดูจากท่านเจ้าเมืองมาเป็นเวลานาน หาไม่แล้วหอจินหลิงจะรุ่งเรืองเฟื่องฟูถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”
หน้าอกของหงหลิงกระเพื่อมขึ้นลง ทั้งโกรธแค้น ทั้งไม่มีหน้าพบผู้คน ได้แต่ถลึงตามองหลินชิงเวยด้วยความอาฆาตแค้น
หลินชิงเวยยิ้มตาหยี “เจ้ามิใช่พูดว่าผู้ใดมีเงินผู้นั้นย่อมเป็นนายของเจ้ามิใช่หรือ เหตุใดมาบัดนี้จึงได้แต่งกายเป็นสตรีชาวบ้านที่ออกเรือนแล้วเล่า?”
หงหลิงเห็นว่าหมดหนทางปิดบังต่อไปแล้วจึงอดกระบอกตาแดงขึ้นมาไม่ได้ นางพูดทั้งน้ำตา “เกิดมาเป็นสตรีบนโลกนี้นับว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายดายอย่างที่สุดแล้ว แม่นางเป็นสตรีเช่นเดียวกัน เหตุใดจึงไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ หากบ่าวมีทางเลือกอื่นย่อมไม่มีทางให้ตนเองตกต่ำเช่นนั้น”