ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 11 บทที่ 301 สบายดีหรือไม่
ที่แท้หอน้ำชาแห่งนี้ได้เชิญนักเล่านิทานมาคนหนึ่ง ยามนี้นักเล่านิทานผู้นี้กำลังยืนเล่านิทานอยู่กลางเวที ท่าทางที่เขาถ่ายทอดเรื่องราวนั้นมีสีสันยิ่ง ฟองน้ำลายกระเซ็นไปทั่ว ได้รับเสียงปรบมือจากบรรดาลูกค้าในหอน้ำชาไม่ขาดสาย
นักเล่านิทานผู้นี้ไม่ได้เล่าเรื่องอื่นใด เขากำลังถ่ายทอดเรื่องราวของเซียวอี้และหลินชิงเวยในเวลานั้น ตั้งแต่คนทั้งสองทุบตีเจ้าหน้าที่อันธพาล คนทั้งสองมัดท่านเจ้าเมืองแขวนขึ้นบนกำแพงประตูเมือง เขาเล่าได้อย่างมีอรรถรสยิ่งยวด
นักเล่านิทานเหล่านี้เพื่อให้ผู้ฟังเข้าถึงในเรื่องราวที่ตนถ่ายทอดมักจะใส่สีตีไข่เกินความเป็นจริงอยู่เสมอ นักเล่านิทานแทบจะบรรยายตัวตนของเซียวอี้และหลินชิงเวยเป็นเทพเซียนก็ไม่ปาน ทว่าบรรดาลูกค้าในหอน้ำชากลับยิ่งฟังยิ่งเห็นพ้องด้วย
หลินชิงเวยดื่มน้ำชาอีกหลายคำแล้วหันไปมองเซียวเยี่ยน คิดไม่ถึงว่าเซียวเยี่ยนจะตั้งใจฟังอย่างจริงจัง จึงอดที่จะกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ท่านชอบฟังนิทานพรรค์นี้ด้วยหรือ?”
เซียวเยี่ยนเลิกคิ้ว “ต่อให้เขาพูดเกินจริงมากกว่านี้ แต่ความจริงก็คือแม่นางท่านนั้นทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว” เขามองหลินชิงเวยนิ่งๆ เมื่อได้ฟังนิทานเรื่องนี้ เขาน่าจะรู้แล้วว่าเมื่อหลินชิงเวยมาถึงเมืองจิงโจวได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
หลินชิงเวยหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง ปลายนิ้วของนางไล้ตามขอบของถ้วยน้ำชา “เวลานี้คิดดูแล้ว หากรู้แต่แรกว่าระหว่างทางไปเมืองผิงหลั่งเกือบจะตามไปไม่ทันเวลาที่ท่านตกอยู่ในอันตราย ข้าจะไม่ใส่ใจเรื่องราวสกปรกโสมมของที่นี่แม้แต่น้อย”
คนทั้งสองดื่มชาเสร็จแล้วจ่ายเงิน ขณะที่พวกเขากำลังจะเดินออกไปจากหอน้ำชาแห่งนี้ นิทานในครึ่งหลังยังเล่าไม่จบ นักเล่านิทานผู้นั้นประโคมสีสันเพิ่มขึ้นไปอีก ทำให้แทบจะกลายเป็นเทพนิยายไปแล้ว
ทว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินชิงเวยทั้งสิ้น
เมื่อพวกเขาเดินผ่านโรงเตี๊ยมอีกแห่งหนึ่ง โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีลูกค้าเนืองแน่น หากมิใช่คนต่างเมืองที่เดินทางเข้ามาซื้อสิ่งของในเมืองจิงโจวย่อมต้องหาที่พักค้างแรม เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่เพียงแต่โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจิงโจวที่มีลูกค้าเข้าพักเต็มทุกห้อง กระทั่งโรงเตี๊ยมอีกหลายแห่งในเมืองต่างมีลูกค้าคับคั่งเช่นกัน
ระหว่างที่หลินชิงเวยเดินผ่าน นางหยุดชะงักอยู่หน้าโรงเตี๊ยมครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าในโถงชั้นล่างของโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยผู้คน เสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนอยู่หน้าประตูร้านสะบัดผ้าผืนยาวบนหัวไหล่ เขามองเห็นหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนเดินมุ่งหน้าเข้ามาทางด้านนี้ จึงก้าวขึ้นมาต้อนรับด้วยความยินดี “ทั้งสองท่านมองหาที่พักหรือกินข้าวขอรับ?”
ไหนเลยจะคิดว่า เมื่อเขาเห็นหลินชิงเวยก็พลันรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา หลินชิงเวยปลดผ้าคลุมหน้าเมื่อดื่มน้ำชาในหอน้ำชา ยามนี้ผู้คนในเมืองล้วนไม่ใช่คนคุ้นหน้าคุ้นตา นางไม่กลัวว่าจะถูกผู้คนจดจำได้จึงไม่ได้ใส่ผ้าคลุมหน้ากลับไป คิดไม่ถึงว่าจะถูกเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมจำได้
เริ่มแรกเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมตะลึงงัน ต่อมาเขาหันหน้ารีบวิ่งเข้าไปในห้องโถงด้วยความตื่นตระหนก หลินชิงเวยเห็นหลงจู๊หญิงผู้นั้นยืนอยู่หน้าโต๊ะเก็บเงินกำลังง่วนอยู่กับการดีดลูกคิด
เสี่ยวเอ้อร์วิ่งเข้าไปฟุบตัวลงกับโต๊ะเก็บเงินแล้วพูดตะกุกตะกักว่า “หลงจู๊ ข้างนอก ข้างนอก…”
“ข้างนอกมีผี?” หลงจู๊ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
“ครั้งก่อน แม่นางท่านนั้นที่มาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมของพวกเรากลับมาแล้ว!”
หลงจู๊ได้ยินเช่นนั้นจึงหยุดดีดลูกคิดในมือ เงยหน้าขึ้นถามว่า “เจ้าพูดอะไรนะ?”
แม่นางท่านนั้นที่มาพักในโรงเตี๊ยมครั้งก่อนที่เขาพูดถึงจะเป็นใครได้อีกเล่า? เวลานั้นหลงจู๊หญิงไม่รอฟังคำตอบของเสี่ยวเอ้อร์ นางเดินออกไปหน้าประตูใหญ่อย่างเร่งรีบ เมื่อมองออกไปเห็นเพียงผู้คนสัญจรไปมาหน้าร้าน หลงจู๊หญิงสอดส่ายสายตามองหาอยู่ครู่หนึ่งกลับไม่เห็นเงาร่างอันคุ้นเคยของสตรีแม้แต่คนเดียว
เสี่ยวเอ้อร์ตามออกมาเมียงมองซ้ายขวาและรอบๆ บริเวณ อดพูดอย่างประหลาดใจไม่ได้ว่า “เอ๊ะ คนเล่า? เมื่อสักครู่ยืนอยู่ที่นี่แท้ๆ ไฉนเพียงชั่วพริบตากลับไม่เห็นแล้ว? หรือเป็นเพราะข้าตาพร่า?”
หลงจู๊หญิงยกมือขึ้นเขกหน้าผากเขาครั้งหนึ่ง “ทำให้บัญชีที่ข้ากำลังคิดคำนวณอยู่เลอะเลือนไปหมดแล้ว ยามนี้เจ้าเพิ่งจะมาบอกว่าเจ้าตาพร่า? ยังไม่รีบกลับไปทำงานอีก!”
เสี่ยวเอ้อร์นวดคลึงหน้าผากป้อยๆ เดินกลับเข้าไปอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม หลงจู๊หญิงยืนอยู่หน้าประตูอีกครู่หนึ่งจึงหันกายกลับเข้าไป
หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนเข้าไปกินอาหารในหอสุราแห่งหนึ่ง จากนั้นเดินเที่ยวในตลาดระหว่างกลับไป ท้องฟ้าค่อยๆ โรยตัวมืดลง ถนนสายยาวเห็นแสงไฟจากโคมไฟสีแดงตลอดแนว นางลอบจับมือของเซียวเยี่ยนภายใต้แขนเสื้อกว้างใหญ่ของคนทั้งสอง
เวลานี้นางคลุมหน้าด้วยผ้าโปร่ง ใบหน้าของหลินชิงเวยยามเปื้อนยิ้มดูเลือนราง
เซียวเยี่ยน “เมื่อสักครู่หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมนั่นรู้จักเจ้า?”
หลินชิงเวย “ก็แค่เคยพักอยู่ในโรงเตี๊ยมของนางสองวันเท่านั้น”
เซียวเยี่ยนไม่ถามอันใดอีก
คืนนั้นเมื่อกลับไป หลินชิงเวยถามถึงเจ้าหน้าที่ผู้มีพฤติกรรมราวกับอันธพาลเหล่านั้นในเมืองก่อนหน้านี้ จึงได้รู้ว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นล้วนถูกจองจำอยู่ในคุกหลวง เวลานี้ในเมืองจิงโจวกำลังทำการคัดเลือกเจ้าหน้าที่ใจซื่อมือสะอาดชุดใหม่ ท่านเจ้าเมืองคนใหม่ของเมืองจิงโจวกำลังเดินทางมารับตำแหน่ง คาดว่าจะเดินทางมาถึงในวันสองวันนี้
เซียวเยี่ยนพาหลินชิงเวยเข้าไปในคุกหลวง ภายในคุกหลวงทั้งเปียกชื้นและมืดมิด แม้สภาพอากาศภายนอกจะเริ่มอบอุ่นขึ้นมาแล้ว แต่ด้านในยังคงหนาวเหน็บอย่างร้ายกาจ
ภายในห้องขังมีนักโทษที่ถูกแบ่งขัง เส้นผมรุงรังปิดหน้า นั่งหนาวสั่นอยู่ตามมุมห้องขัง
ยากที่หลินชิงเวยจะจินตนาการออกมาได้ว่าพวกเขาเคยเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ร่วมก่อกรรมทำเข็ญ ขูดรีดชาวบ้านกับท่านเจ้าเมือง ทว่าหลินชิงเวยยังคงจดจำพวกเขาได้หลายคน อย่างเช่นเจ้าหน้าที่ผู้ถูกทุบตีผู้นั้น และเจ้าหน้าที่อีกหลายคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีดึงดาบออกมาบีบบังคับชาวบ้านเมื่อท่านเจ้าเมืองถูกแขวนขึ้นบนกำแพงเมือง
หลินชิงเวยนั่งยองๆ ด้านนอกห้องขัง นางยิ้มตายิบหยี “พวกเราพบหน้ากันอีกแล้ว ทุกคนล้วนสบายดีนี่นา”
เมื่อเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเห็นนางก็ราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น แต่ละคนล้วนซุกตัวแอบซ่อนเข้าไปด้านใน
วันรุ่งขึ้นเซียวเยี่ยนต้องไปสำรวจนอกเมืองจิงโจว ครานี้ไม่เพียงแต่เขาและหลินชิงเวยออกไปเท่านั้น ยังมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปพร้อมกันด้วย
ข้างหน้ามีองครักษ์คอยเปิดทางให้ เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยนั่งอยู่ในรถม้า ทว่าชาวบ้านเห็นขบวนใหญ่โตเช่นนี้จึงรู้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องออกมาตรวจการแผ่นดิน พวกเขารีบพากันหลีกทางให้พร้อมกับยืนอยู่สองข้างทางอย่างเคารพนอบน้อม รอให้ขบวนรถม้าของเซ่อเจิ้งอ๋องผ่านไป
มาถึงนอกเมืองจิงโจว เห็นที่ดินเป็นแนวยาวล้วนเต็มไปด้วยต้นกล้าที่เพิ่งแตกหน่อ ยังมีชาวนาเริ่มไถนาอยู่ในท้องนาอย่างขยันขันแข็ง เต็มไปด้วยความหวังและความยินดี
เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยเดินขึ้นไปถึงเนินค่อนข้างสูงลูกหนึ่ง ตลอดเส้นทางที่เดินขึ้นมาทั้งชื้นและลื่น จึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง ทว่าเมื่อยืนบนที่สูงมองออกไปไกลๆ ความเหนื่อยล้าเมื่อสักครู่พลันอันตรธานไปสิ้น
สายลมหนาวของฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านมา ความชื้นและหนาวเย็นปนเปมาในอากาศ ทว่ากลับสดชื่นหาใดเปรียบ หมอกสีขาวยังคงครอบคลุมบนยอดเขาที่อยู่ใกล้และไกลออกไป ราวกับเป็นหน้ากากผ้าโปร่งที่อยู่บนศีรษะ แฝงความงดงามเอาไว้ภายใน
พื้นที่นอกเมืองจิงโจวโดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นแนวภูเขาทอดยาว จากทิศตะวันออกทอดตัวยาวไปจรดทิศตะวันตก ซ้อนตัวกันชั้นแล้วชั้นเล่า หลินชิงเวยเห็นแล้วรู้สึกจิตใจผ่อนคลาย ทว่าเซียวเยี่ยนกลับรู้สึกหัวใจหนักอึ้งเมื่อมองไปตามทิศทางด้านนอกภูเขา
บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่เฉกเช่นหมอกควันที่ปกคลุมและล้อมรอบคนทั้งสอง นางรู้เพียงว่านางไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย
เซียวเยี่ยนมองออกไปไกลด้วยแววตานิ่งลึก บนใบหน้าของเขาปรากฏให้เห็นความรู้สึกสับสนยากแก่การแยกแยะชนิดหนึ่งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขามองออกไปไกลๆ หลินชิงเวยมองเขาและพินิจพิจารณาสีหน้าของเขา พบว่าสีหน้าเช่นนั้นของเขา ไม่ได้มีนางเป็นสาเหตุ ทว่ามีสาเหตุมาจากคนอีกคนหนึ่ง