ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 296 เสียดสีถากถาง
เมื่ออยู่เมืองผิงหลั่งย่อมมีข้อจำกัดมากมาย ไม่อาจกินอาหารประเภทหนวดเต่าเขากระต่ายได้ อาหารเลิศรสบนโต๊ะล้วนเป็นอาหารพื้นๆ ที่พบเห็นได้บ่อย ทว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเมืองแห่งนี้ หลินชิงเวยเพิ่งจะฟื้นตัวจากล้มป่วยจึงไม่เกรงอกเกรงใจ นางกินข้าวถ้วยโตไปหนึ่งถ้วย ดื่มน้ำแกงไปสองถ้วย
หลินชิงเวยดื่มน้ำแกงปลาพลางหรี่ตาลงกับรสชาติที่ได้รับ “น้ำแกงปลานี้สดเหลือเกิน”
เฉินเหยียนจือพูดกลั้วหัวเราะ “ปลาตัวนี้ข้าน้อยไปจับมาจากแม่น้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง ส่วนน้ำแกงนี้หมิงเฟิ่งเป็นคนตุ๋น ไม่เพียงแค่น้ำแกง นางเป็นคนทำอาหารบนโต๊ะทั้งหมด ปีใหม่แล้วในเรือนไม่มีพ่อครัว ล้วนเป็นนางที่ทำหน้าที่นี้”
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองกู้หมิงเฟิ่งแวบหนึ่งแล้วหัวเราะ “ข้าคิดว่าแม่นางกู้ทำได้แต่ต่อยตีและสังหารเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ายังมีฝีมือด้านการบ้านการเรือน นับได้ว่ามีความเป็นกุลสตรีหนึ่งถึงสองส่วนแล้ว”
กู้หมิงเฟิ่งสวนกลับมาทันทีว่า “แม่นางกล่าวชมเกินไปแล้ว เพียงแต่ต้องการท่าทางความเป็นกุลสตรีมาเพื่อประโยชน์อันใด เปราะบางอ่อนแอ มีแต่ต้องให้คนคอยปกป้องคุ้มครองเพิ่มภาระความยุ่งยากให้ผู้อื่นเท่านั้นเอง แม่นางคงเป็นกุลสตรีได้ แต่ข้ากลับทำไม่ได้”
เฉินเหยียนจือกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาทันใด ดูเหมือนคำพูดคำจาของกู้หมิงเฟิ่งจะเต็มไปด้วยนัยแห่งการเสียดสีและถากถางอย่างมิเกรงอกเกรงใจ เขาจำเป็นต้องคลี่คลายสถานการณ์ในเวลานี้หรือไม่นะ? แต่ดูเหมือนไม่ถูกต้องนักหากเขาจะออกมาพูดจา แต่หากเขาไม่พูดก็ไม่ถูกต้องอีกเช่นกัน
เมื่อหันไปมองเซียวเยี่ยน นั่นจึงจะเรียกว่าสงบนิ่งอย่างแท้จริง ราวกับไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น ตั้งใจกินข้าวของเขาต่อไป
หลินชิงเวยดื่มน้ำแกงไปหนึ่งถ้วยจึงวางถ้วยเปล่าลงแล้วยิ้มตาหยี มองประเมินกู้หมิงเฟิ่ง “คำพูดนี้ของแม่นางกู้ไม่ถูกต้อง เดิมทีเจ้าก็เป็นสตรีมีอกมีเอวคนหนึ่ง แต่กลับทำเหมือนตนเองเป็นบุรุษ ส่วนข้าเพียงแต่เป็นผู้ที่รู้ข้อบกพร่องของตนเองเท่านั้น กระจ่างแจ้งว่าตนเองเป็นสตรีคนหนึ่งจึงไม่ทำเรื่องเช่นนั้นออกมา” พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ สองครั้ง “ท่านกล่าวว่าสตรีมีแต่จะสร้างความยุ่งยากให้กับผู้อื่น หึๆ แต่ข้าคงไม่รบกวนให้แม่ทัพเฉินคุกเข่ารับโทษแทนข้ากระมัง ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่เคยรบกวนให้เซ่อเจิ้งอ๋องคุกเข่าให้ผู้อื่นเพื่อรับโทษอันใดแทนทั้งสิ้น”
“เจ้า!” กู้หมิงเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าตนเองกลับถูกหลินชิงเวยตอกกลับเสียจนสะอึกเช่นนี้ จึงโกรธจนขาดสติ ทว่ากลับไม่อาจกล่าววาจาตอบโต้อันใดกลับไป
หลินชิงเวยยิ้มอย่างไร้พิษสง พูดอีกว่า “แต่การที่แม่นางกู้กระจ่างแจ้งเรื่องงานครัว อาหารบนโต๊ะนี้นับว่าไม่เลว ไม่ถึงกับไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ต่อไปควรช่วยทำกับข้าวให้แม่ทัพเฉินให้มาก ใครใช้ให้เขากระทำตัวเช่นนี้ เพื่อเจ้าแม้แต่ชีวิตตนเองก็ไม่ต้องการแล้วเล่า”
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกไป เฉินเหยียนจือและกู้หมิงเฟิ่งได้แต่ตกตะลึง เฉินเหยียนจือหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที เขารู้สึกขวยเขินอย่างยิ่ง จึงลอบตวัดสายตามองกู้หมิงเฟิ่งพร้อมกับกระแอมกระไอด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “แม่นางอย่าได้หัวเราะเยาะข้าน้อยเลย ข้าน้อยรับปากบิดาของหมิงเฟิ่งว่าจะดูแลนางเป็นอย่างดี นี่เป็นหน้าที่ของข้าน้อย”
ระหว่างที่สตรีสนทนากัน เดิมทีบุรุษไม่ควรสอดแทรก ผู้ใดแทรกเข้ามาผู้นั้นก็คือดินปืน เฉินเหยียนจือยังไม่ทันได้กล่าวสักประโยคจำต้องถูกหลงไปด้วย
ในสายตาของหลินชิงเวย เฉินเหยียนจือผู้นี้เป็นคนเลอะเลือนคนหนึ่ง สมองทื่อราวกับท่อนไม้ท่อนหนึ่ง หากมีความเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง ควรจะนั่งอยู่ด้านข้างปิดปากให้สนิท เขาช่างดียิ่งนัก รีบออกมาพูดจาแสดงจุดยืนของตนเองอย่างชัดเจน
ถูกหลินชิงเวยหัวเราะเช่นนี้ก็อย่าได้คาดหวังว่ากู้หมิงเฟิ่งจะอารมณ์ดี นางจึงถลึงตาใส่หลินชิงเวยกลางโต๊ะอาหารอย่างทนไม่ไหว หลินชิงเวยกลับคิดว่าได้ผลยิ่งนัก นางยื่นถ้วยไปให้กู้หมิงเฟิ่ง “รบกวนแม่นางกู้ตักน้ำแกงปลาให้ข้าถ้วยหนึ่งได้หรือไม่?”
กู้หมิงเฟิ่งเม้มปากรับถ้วยมาเติมน้ำแกงปลาแล้ววางลงเบื้องหน้านางอย่างไม่อ่อนโยนสักนิด หลินชิงเวยหัวเราะ “ขอบคุณแม่นางกู้”
กู้หมิงเฟิ่ง “แม่นางไม่ต้องเกรงใจ ดื่มมากๆ เป็นพอ หาไม่แล้วหากปากว่างจะออกมาพูดเพ้อเจ้อ ผู้อื่นไม่รู้เรื่อง จะเข้าใจได้ว่าที่นี่ต้อนรับไม่ดี”
“ที่ไหนเล่า” หลินชิงเวยกล่าว “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเจ้าต้อนรับดีหรือไม่ ปากอยู่บนตัวข้า คิดจะพูดอย่างไรก็จะพูดอย่างนั้น”
กู้หมิงเฟิ่งไม่ยอมพูดจาแล้ว นางก้มหน้าก้มตากินข้าว กินอิ่มแล้วลุกขึ้นออกไปทันที
เฉินเหยียนจือเห็นนางออกไปจึงยกมือขึ้นเช็ดปากส่งๆ ลุกขึ้นกล่าวว่า “ท่านอ๋อง แม่นาง หมิงเฟิ่งไม่รู้ความไม่รู้มารยาท ขอท่านอ๋องและแม่นางอย่าได้ถือสานาง ข้าน้อยกินอิ่มแล้ว ขอ…”
หลินชิงเวยยิ้ม “หากข้าถือสานางเกรงว่านางจะกินไม่ลงน่ะสิ แม่ทัพเฉินร้อนใจเช่นนี้ รีบตามไปเถิด”
เฉินเหยียนจือหน้าแดงก่ำต่อหน้าหลินชิงเวย จากนั้นหันกายเดินออกไป
ในโถงห้องกินข้าวจึงเหลือเพียงหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยน หลินชิงเวยยกมือเท้าใบหน้าของตนมองเซียวเยี่ยนกินข้าวช้าๆ
ยามบ่ายเฉินเหยียนจือและเซียวเยี่ยนออกไปข้างนอก ไปช่วยดูแลเรื่องการป้องกันชายแดน ผนวกกับวันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า พวกเขาจึงไปปลอบขวัญกองทัพทั้งสาม
ในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่มีพ่อครัว ทว่าในครัวมีงานมากมายต้องทำ ล้วนเป็นกู้หมิงเฟิ่งที่รับหน้าที่เพียงคนเดียว เตรียมอาหารเย็นของวันส่งท้ายปีเก่า แม้สมาชิกจะน้อยแต่อย่างไรก็จะทำแบบขอไปทีไม่ได้
หลินชิงเวยเห็นหลังคาห้องครัวมีควันลอยขึ้นไปเป็นสาย กลายเป็นหมอกควันสีขาวบนหลังคา มีนกกระจอกเทศสองตัวกำลังกระโดดไปมาบนหลังคา ก้มหน้าลงจิกเป็นครั้งคราว ราวกับควันที่ลอยขึ้นไปจากห้องครัวให้ความอบอุ่นแก่พวกมันได้ พวกมันอยู่บนหลังคาหาอะไรกินไม่ได้ จึงบินขึ้นไปเดินไปเดินมาบนกิ่งไม้
ทัศนียภาพเช่นนี้ ทำให้คิดถึง—หิมะบนกระเบื้องหลังคาเรือน ควันไฟคละคลุ้งนกคืนรัง—เป็นความสงบและห่างไกล
หลินชิงเวยไม่มีอะไรทำ เดินไปเดินมาแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังห้องครัว ในห้องครัวเต็มไปด้วยไอควัน เปลวไฟในเตากำลังลุกโหม กู้หมิงเฟิ่งกำลังง่วนอยู่ในครัว นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่?”
กู้หมิงเฟิ่งพูดด้วยน้ำเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “ไม่ต้อง ไฉนเลยจะกล้ารบกวนให้แม่นางลงมาช่วยในสถานที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันเช่นนี้”
หลินชิงเวยหัวเราะ “หากจะแสดงความกล้าหาญก็ไม่ใช่วิธีการเยี่ยงนี้ หากถึงตอนค่ำเซ่อเจิ้งอ๋องและแม่ทัพเฉินกลับมาจากค่ายแล้วเจ้ายังเตรียมอาหารเย็นมื้อส่งท้ายปีเก่าไม่เรียบร้อย มิใช่ประดักประเดิดแย่หรอกหรือ?”
มือที่กำลังนวดแป้งของกู้หมิงเฟิ่งผ่อนช้าลง นางเงยหน้าขึ้นมองหลินชิงเวยครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “อีกประเดี๋ยวหากทำให้กระโปรงของแม่นางเลอะเทอะ อย่าได้กล่าวโทษข้า” พูดแล้วก็มองไปที่ผักสดในตะกร้า “ในเมื่อแม่นางว่างมาก ช่วยเด็ดผักก็แล้วกัน”
หลินชิงเวยไม่อิดออด เดินเข้าไปหาตะกร้า รวบชายกระโปรงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กเริ่มเด็ดผัก กู้หมิงเฟิ่งเห็นนางเด็ดผักอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องให้นางชี้แนะ ไม่ต้องให้นางสอนว่าต้องเด็ดผักอย่างไร คิดไม่ถึงว่าคุณหนูพันชั่งแห่งจวนมหาเสนาบดี หลังเข้าวังยังเป็นถึงเจาอี๋เหนียงเหนียง เดิมทีนิ้วมือทั้งสิบนิ้วควรจะไม่แตะต้องงานบ้านงานเรือน แต่กลับทำงานเหล่านี้ได้
หลินชิงเวยไม่ต้องเงยหน้าขึ้นก็สามารถรับรู้ได้ถึงสายตาเปี่ยมไปด้วยข้อกังขาของกู้หมิงเฟิ่ง จึงพูดขึ้นเอื่อยๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องมองข้าเช่นนี้ ข้าไม่ได้เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ไร้ประโยชน์เช่นที่เจ้าคิด”
กู้หมิงเฟิ่งอดคิดถึงครั้งแรกที่นางเข้าวังลอบปลงพระชนม์แล้วพบกับหลินชิงเวยไม่ได้ เวลานั้นหลินชิงเวยเป็นสตรีร่างเล็กบอบบางคนหนึ่ง ทว่ากลับมีเรี่ยวแรงมหาศาลต่อสู้กับนาง สายตานั้นเย็นชาและยืนหยัด น้อยนักที่จะพบเห็นในสตรีอื่น นางยินดีให้ตัวเองบาดเจ็บและยินดีสู้ตายเพื่อช่วยชีวิตฝ่าบาท