ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 224 ใครแพ้ใครชนะ
เพื่อแผนการในวันนี้ได้แต่หวังว่าซินหรูจะสามารถส่งข่าวไปยังตำหนักซวี่หยางได้สำเร็จ
ทันทีที่สิ้นเสียงของไทเฮา หมัวมัวรูปร่างกำยำใหญ่โตสี่คนก็เดินเข้ามา ดูท่าแล้วไทเฮาไม่ปรารถนาให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตเกินไปนัก จึงได้แต่ให้คนสนิทข้างกายของไทเฮาเป็นผู้เข้ามาจับกุมหลินชิงเวย หากจับตัวหลินชิงเวยได้ซ้ำยังบีบบังคับให้นางบอกวิธีการรักษาไทเฮาให้กลับเป็นเหมือนเดิมได้ แต่เรื่องนี้หากทำอย่างเอิกเกริกย่อมไม่อาจคลี่คลายได้ เช่นนั้นอาจมีความเป็นไปได้ว่าไทเฮาจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
ผู้ที่เข้ามาจัดการเรื่องนี้ในลำดับแรกเป็นคนสนิทที่ไว้เนื้อเชื่อใจ หากหมัวมัวสี่คนนี้ยังไม่อาจควบคุมหลินชิงเวยไว้ได้อีก ย่อมต้องเรียกใช้ขันทีและนางกำนัลคนอื่นๆ ในตำหนักคุนเหอแล้ว ไทเฮาพูดอย่างชัดเจนว่าอย่าได้ทำให้เรื่องราวบานปลายเพื่อเหลือทางลงให้กับตนเองในภายหลัง
หมัวมัวขวางทางของหลินชิงเวย ไทเฮาพูดกลั้วหัวเราะ ทั้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ด้านหลัง “หลินชิงเวย เปิ่นกงจะดูว่าวันนี้เจ้าจะหนีไปที่ใด!”
หลินชิงเวยเผชิญหน้ากับหมัวมัวทั้งสี่คนด้วยท่าทีปราศจากความกริ่งเกรง นางวางเชิงเทียนเปื้อนเลือดในมือลง ก้มหน้าลงมองคราบเลือดเป็นจุดๆ บนกระโปรงของตนเอง บนใบหน้ามีกลิ่นคาวเลือด นางยกมือขึ้นลูบหยดเลือดที่กระเด็นมาบนข้างแก้มออกพร้อมกับยิ้มด้วยคิ้วและตา
รอยยิ้มนั้นสุขุมนิ่งลึก ทำให้หมัวมัวทั้งสี่รู้สึกราวกับได้เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ในเมื่อต่างฝ่ายต่างฉีกหน้ากันจนถึงขั้นนี้แล้ว วันนี้หากปลาไม่ตายก็ต้องแหขาด นางยังต้องใส่ใจเรื่องผายลมอันใดอีก
ไทเฮาร้อนใจจนไม่อาจรีรอได้อีกต่อไป “ยังไม่รีบลงมืออีก!” ไม่รอให้เหล่าหมัวมัวฟังคำสั่งและลงมือจัดการก็ได้ยินไทเฮากรีดร้องเสียงแหลม
ด้วยไม่รู้เริ่มตั้งแต่เมื่อใดที่ไทเฮาจดจ่อสมาธิอยู่บนร่างของหลินชิงเวย นางจึงไม่รู้สึกตัวเลยว่าชิงหลันได้เข้ามาใกล้ร่างของนาง ซ้ำยังเลื้อยขึ้นมาจากแผ่นหลังของนาง
ไทเฮารับรู้ถึงสิ่งของเย็นวาบบางอย่าง ปรากฏว่าเมื่อนางหันหน้ากลับไปมองพลันได้เผชิญหน้ากับหัวของงูตัวหนึ่ง ต่อให้ไทเฮาเคยถูกชิงหลันทำให้ตกใจมาก่อน แต่ยามนั้นมันเพียงต้องการทำให้นางตกใจ ครั้งนี้กลับต่างออกไปด้วยครั้งนี้มันเอาจริง ต่อมาไทเฮากรีดร้องเสียงแหลมครั้งหนึ่ง ชิงหลันอ้าปากของมันอย่างมิเกรงอกเกรงใจเช่นกัน ปรากฏให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ อันแหลมคมทั้งสองซี่ มันฝังเขี้ยวลงไปจังๆ บนหัวไหล่ของไทเฮา
ไทเฮาตื่นตระหนกเสียขวัญอย่างที่สุด นางไม่มีเวลาหวาดกลัวอีกต่อไป ด้วยความเจ็บปวดที่ส่งผ่านเข้ามาในประสาทสัมผัสทำให้นางต่อสู้ดิ้นรนตามสัญชาตญาณ นางยื่นมือออกไปไปจับชิงหลันเอาไว้ ชิงหลันดูเหมือนไม่ยอมคลายเขี้ยวของมันออกจากหัวไหล่ของไทเฮา ร่างของมันจึงพันไปรอบๆ ข้อมือของไทเฮา
ไทเฮาสีหน้าซีดขาว ถอยหลังไปหลายก้าว
“ไทเฮา!”
หมัวมัวหลายคนนั้นไหนเลยจะมีกะจิตกะใจจัดการหลินชิงเวย พวกนางก้าวขึ้นไปข้างหน้าทันทีคิดจะขับไล่งูตัวนั้นออกไป ทว่ายังไม่ทันรอให้ร่างของพวกนางเข้ามาใกล้ ชิงหลันก็ถอยทัพกลับไปเอง มันเลื้อยลงบนพื้นอย่างรวดเร็วและหนีออกไปทางหน้าต่างทันที
เหล่าหมัวมัวไม่มีเวลาไล่ตามจับงูตัวนั้นด้วยไทเฮาถูกงูกัด ไทเฮาล้มลงบนพื้น บาดแผลบนหัวไหล่ของนางมีรอยเลือดปรากฏอยู่ ความเจ็บปวดนั้นกระจายไปทั่วร่างกายภายในเวลาอันรวดเร็ว บริเวณบาดแผลล้วนชากระทั่งไร้ความรู้สึก
หมัวมัวดูรอยเลือดดำคล้ำที่ซึมออกมาแล้วพูดอย่างตระหนกว่า “แย่แล้ว งูมีพิษเพคะ!”
“เร็วเข้า! รีบไปเชิญหมอหลวงเร็ว!”
หมัวมัวสองคนวิ่งออกไปด้านนอกด้วยความตกใจ หลินชิงเวยพูดขึ้นไม่ช้าไม่เร็วว่า “รอเชิญหมอหลวงมา คาดว่าไทเฮาก็คงสวรรคตไปแล้ว”
ไทเฮาไม่ได้สติ หมัวมัวผู้มีประสบการณ์คลายอาภรณ์บริเวณหัวไหล่ของไทเฮา เริ่มใช้ปากของตนดูดเลือดพิษออกมา หมัวมัวอีกคนหนึ่งได้ยินเช่นนั้นจึงหันมามองด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง “หลินเจาอี๋บังอาจนัก ไทเฮาเหนียงเหนียงถูกงูกัด เจ้ายังพูดจาไม่เป็นมงคลที่นี่!” ต่อมาหมัวมัวนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงตะลึงงันแล้วรีบกล่าวว่า “หลินเจาอี๋ถวายการรักษาพระวรกายของฝ่าบาท ทรงร้ายกาจเช่นนั้น มิใช่แตกฉานในวิชาแพทย์หรือ มัวตะลึงอะไรอยู่อีก ยังไม่รีบมาช่วยถอนพิษให้ไทเฮาอีก! หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับไทเฮา เจ้าเลิกความคิดที่จะมีชีวิตอยู่เช่นกัน!”
หมัวมัวที่วิ่งออกไปยังไม่ได้วิ่งออกไปจากลานเรือน กลับเผชิญหน้ากับเสียงที่ขานขึ้นว่า “ฝ่าบาทเสด็จ–”
หลินชิงเวยเช็ดหน้าตามมีตามเกิด ผิวหน้าขาวผ่องราวกับหยกขาวมีคราบเลือดปื้นหนึ่ง นางค่อยๆ เดินเข้ามา “ไทเฮาถูกงูพิษกัด คิดดูแล้วแม้กระทั่งสวรรค์ก็ยังเห็นแล้วขัดนัยน์ตา หากข้าช่วยไทเฮา ไม่รู้ว่าต่อไปจะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างไรบ้าง หากไม่ช่วยก็ดูเหมือนจะไม่ให้เกียรติไทเฮาอีก”
ดังนั้นเมื่อเซียวจิ่นเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ ทันทีที่เขาเดินเข้ามาในตำหนักบรรทมของไทเฮา ภายในตำหนักบรรทมมีสภาพเละเทะกระจัดกระจาย หมัวมัวสองคนเต็มไปด้วยคราบเลือดตามร่างกายนอนอยู่บนพื้นรีบลุกขึ้นมาถวายคำนับ
เซียวจิ่นเห็นไทเฮาถูกประคองขึ้นไปนอนราบบนตั่ง หลินชิงเวยนั่งอยู่ริมตั่ง ในมือถือเข็มเงินกำลังทำการฝังเข็มบนจุดชีพจรของไทเฮา
นางควบคุมชีพจรของหัวใจไทเฮาให้มั่นคง เข็มเงินหมุนอย่างรวดเร็ว ต่อมาฝังลงบนตำแหน่งท้องของไทเฮา สำหรับพิษงูของชิงหลัน หลินชิงเวยมียาถอนพิษติดตัวเสมอ ขอเพียงไทเฮากระอักเลือดพิษออกมาแล้วกินยาถอนพิษก็ไม่มีเรื่องอันใดน่าเป็นห่วง แต่เนื่องด้วยวันนี้นอกจากไทเฮาไม่ปรับปรุงตัวแล้ว ยังมีท่าทีโหดเหี้ยมหนักข้อขึ้นกว่าก่อน หลินชิงเวยจึงจับเข็มเงินในมือแล้วค่อยๆ ฝังลงบนจุดชีพจรของไทเฮา ฝังลงไปลึกแต่ถอยออกมาตื้น เช่นนี้ทำให้ปีศาจเฒ่านางนี้จะแก่ลงไปอีกสิบปีแล้ว
เซียวจิ่นเห็นหลินชิงเวยปลอดภัยดีจึงพรูลมหายใจโล่งอก รูปร่างของเขายืนตรงประดุจหยกสามารถเคลื่อนไหวได้ตามอำเภอใจ เสื้อคลุมมังกรสีเหลืองสว่างนี้มิอาจบดบังความหล่อเหลาและบุคลิกของเขาได้ เขาสะบัดแขนเสื้อพูดกับหมัวมัวเสียงเย็น “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
หมัวมัวรู้ที่จะทำตัวเป็นคนเลวฟ้องร้องก่อน นางกล่าวทั้งร่ำไห้ “ฝ่าบาท เป็นหลินเจาอี๋…หลินเจาอี๋นางวางแผนลอบสังหารไทเฮาเพคะ พวกบ่าวขัดขวางไม่ให้นางทำสำเร็จจึงถูกทุบตีจนเป็นเยี่ยงนี้ ขอฝ่าบาทคืนความเป็นธรรมให้กับไทเฮาด้วยเพคะ!”
เซียวจิ่นย่อมไม่ฟังความของพวกนางเพียงฝ่ายเดียว ต่อให้ต้องฟัง เขาก็ต้องฟังหลินชิงเวยเช่นกัน
เซียวจิ่นเห็นหลินชิงเวยกำลังยุ่งจึงมิได้เข้าไปรบกวน “ไทเฮาเป็นอะไร?”
หมัวมัว “เมื่อสักครู่มีงูตัวหนึ่งเลื้อยขึ้นมาบนหลังของไทเฮาเพคะ ไทเฮาจึงถูกงูพิษกัด! นั่นเป็นงูพิษ งูพิษ จะต้องเป็นพวกเดียวกับหลินเจาอี๋แน่ หลินเจาอี๋ปรารถนาปลงพระชนม์ไทเฮาเพคะ!”
“เหลวไหล!” เซียวจิ่นโกรธจัด ก่อนหน้านี้เมื่อเขาต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นจึงทำให้อยู่ต่ำกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่ง กระทั่งการพูดจากับเขาก็ทำให้คนรอบข้างล้วนรู้สึกว่าเขาปรึกษาหารือได้โดยง่าย จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก คนภายในตำหนักในล้วนฟังคำสั่งของไทเฮา และหากเป็นเรื่องใหญ่มีความสำคัญล้วนฟังคำสั่งของเซ่อเจิ้งอ๋อง
เซียวจิ่นเป็นคนอารมณ์ดี สุภาพอ่อนโยน ทว่าบัดนี้เขาโกรธเคืองก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกตะลึงงันได้ อีกทั้งเขาหาใช่เด็กน้อยที่ยังต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นตลอดเวลาไม่ เขาเป็นฮ่องเต้ของใต้หล้ายืนอยู่เบื้องหน้าหมัวมัว เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีสูงศักดิ์หาใดเทียม
หมัวมัวได้แต่โขกศีรษะครั้งหนึ่งแล้วพูดเสียงสั่น “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะเพคะ! ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะเพคะ!”
ตำหนักในมีงู มีคนรู้เรื่องนี้ไม่มาก และเรื่องใหญ่ที่สุดในครั้งนั้น ก็คือฝูงงูออกมากินหนอนกลืนกินวิญญาณในตำหนักซวี่หยางในครั้งนั้น เหล่านางกำนัลและขันทีในตำหนักซวี่หยางที่เคยได้พบเห็นมาก่อน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ยามนั้นหลินชิงเวยผิวปากครั้งเดียว ย่อมมีเหล่านางกำนัลและขันทีเชื่อมโยงฝูงงูและหลินชิงเวยเอาไว้ด้วยกัน แต่เรื่องนี้ความจริงเป็นอย่างไรยังคงเหลือเชื่ออยู่ดี เหล่าบ่าวไพร่ทั้งหลายต่างไม่กล้าคาดเดาส่งเดช ต่อให้รู้ว่าภายในตำหนักในมีงูฝูงใหญ่ แต่ต่อมากลับไม่มีงูปรากฏตัวให้เห็นในสถานที่ใดๆ ฝูงงูเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ที่ไหนและไม่ได้ออกมาทำร้ายผู้คน
คนในตำหนักซวี่หยางได้รับคำสั่งให้ปิดปากให้สนิทเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่พวกเขาคิดว่างูปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาวิกฤติ เพื่อมาช่วยคนอย่างทันท่วงที มิใช่ศัตรูอันใด กระทั่งเซียวจิ่นได้ยินขันทีพูดขึ้นมาก็ยังรู้สึกเช่นเดียวกัน
เซียวจิ่น “เจ้ามีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่างูเหล่านั้นเป็นพวกเดียวกับหลินเจาอี๋?”