ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - ตอนที่ 49 คนตายเพราะทรัพย์สิน
นางกำนัลนางนั้นกล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องตรัสว่า ตำหนักแห่งนี้อยู่ใกล้กับตำหนักบรรทมของฝ่าบาทที่สุด ให้เหนียงเหนียงอาศัยอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวไปก่อน บ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
นางกำนัลและขันทีอีกหลายคนภายในตำหนักยังคงเป็นใบหน้าของคนคุ้นเคยก่อนหน้านี้ พวกเขาพบว่าหลินชิงเวยกลับมาจึงเริ่มทำงานกันอย่างวุ่นวายอีกครั้ง
ทว่าหลินชิงเวยกลับรู้สึกว่าคนน้อยไปคนหนึ่ง
กลางคืนเมื่อนางกำนัลนำอาหารมาขึ้นโต๊ะ หลินชิงเวยถามว่า “ลวี่เฉี่ยว เล่า?”
นางจดจำได้ว่าลวี่เฉี่ยวเป็นสาวใช้คนสนิทของนางก่อนหน้าที่นางจะถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น
นางกำนัลตอบว่า “เรียนเหนียงเหนียง วันนี้ลวี่เฉี่ยวล้มป่วย พ่อบ้านจึงอนุญาตให้นางพักผ่อนอยู่ในห้องเพคะ”
หลินชิงเวยขยับช้อนในมือ ส่งน้ำแกงในช้อนนั้นเข้าปากของตนช้าๆ และพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “งั้นหรือ เช่นนั้นควรจะพักผ่อนให้ดี”
นางพูดแล้วค่อยๆ ช้อนตาขึ้นประสานกับสายตาของนางกำนัลที่นำอาหารมาขึ้นโต๊ะ ในแววตานั้นปรากฏให้เห็นความรู้สึกหลายอย่างที่มิอาจปิดบังได้ เมื่อพบว่าหลินชิงเวยกำลังมองนางอยู่จึงรีบก้มหน้างุดพร้อมกับกล่าวว่า “เหนียงเหนียง อาหารเย็นขึ้นโต๊ะแล้วเพคะ เชิญเหนียงเหนียงเพคะ”
หลินชิงเวยพยักหน้า “เจ้าออกไปเถิด”
นางกำนัลรับคำจากนั้นหันหน้าเดินออกจากห้องไป ครั้งนี้ซินหรูที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารรู้จักเก็บงำความรู้สึกได้มากขึ้นทีเดียว เมื่อเห็นอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะดวงตาทั้งคู่ของนางไม่ได้ทอประกายวาบวับอีกแล้ว เพียงแต่กลืนน้ำลายลงคอของตนเท่านั้น
หลินชิงเวยยิ้มกล่าวว่า “กินให้สบายใจเถิด ครั้งนี้ไม่มีใครมาสร้างความลำบากใจให้กับพวกเราอีกแล้ว”
ซินหรูจึงเริ่มลงมือกิน แม้จะกินคำใหญ่ๆ แต่ยังคงมีระเบียบและมีมารยาท
หลินชิงเวยดื่มน้ำแกงไปเพียงสองคำก็วางช้อนลง ซินหรูหันหน้ามาแก้มทั้งสองข้างของนางปูดขึ้นมาด้วยอาหารที่อยู่ในปาก ถามขึ้นว่า “พี่สาวไม่กินแล้วหรือเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยลูบศีรษะของซินหรู ลุกขึ้นปัดกระโปรงกล่าวว่า “พี่สาวมีเรื่องเร่งด่วนกะทันหัน ไปจัดการแล้วค่อยกลับมากิน เด็กดี เจ้ากินก่อนเถิด”
ซินหรู “อ้อ” เมื่อเห็นหลินชิงเวยกำลังจะเดินออกไปจึงถามขึ้นว่า “ต้องการให้ข้าไปเป็นเพื่อนพี่สาวหรือไม่เจ้าคะ?”
หลินชิงเวยตอบทั้งๆ ที่ไม่ได้หันกลับมา “ไม่ต้อง ข้าไปครู่เดียวก็กลับมา”
นางเดินออกไปจากห้อง เห็นนางกำนัลที่นำอาหารมาขึ้นโต๊ะนางนั้นเพิ่งจะเดินเลี้ยวเข้าไปเมื่อถึงมุมระเบียบทางเดิน เดินเหินดูเร่งรีบท่าทางร้อนใจอยู่บ้าง หลินชิงเวยจึงสาวเท้าตามไป
หลินชิงเวยตามนางไปถึงเรือนด้านหลังซึ่งเป็นที่พักของนางกำนัลของตำหนักฉางเหยี่ยน นางกำนัลยกชายกระโปรงขึ้นด้วยยังไม่ถึงที่พัก หลินชิงเวยพลันปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหน้า ทำให้นางตกใจจนนั่งแปะลงไปกับพื้น หลินชิงเวยก้มหน้าลงมองหน้า ริมฝีปากยกยิ้มราวกับกำลังหยอกล้อนาง “เป็นแม่นางน้อย เดินอยู่ท่ามกลางความมืดเช่นนี้ตนเองจะทำให้ตนเองตกใจได้โดยง่าย”
“เหนียงเหนียง…” นางกำนัลจดจำได้ว่าเป็นหลินชิงเวย จึงคุกเข่าอยู่บนพื้นนั่นเอง
“เจ้าชื่ออะไร?”
“บ่าว บ่าวชื่อปี้หลิง เพคะ”
“เจ้ารีบร้อนเช่นนี้จะไปที่ใดกัน? ข้าจำได้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าสมควรจะกลับห้องเพื่อพักผ่อน”
“บ่าว…บ่าวเพียงแต่…”
“เพียงแต่จะไปส่งข่าวให้ลวี่เฉี่ยว?” หลินชิงเวยเลิกคิ้วหางเสียงสูงขึ้นสามส่วน “พวกเจ้าคงคิดว่าทันทีที่ข้าถูกส่งตัวเข้าไปในตำหนักเย็นก็จะไม่มีทางออกมาได้อีก หรืออาจจะถูกไทเฮาจับกุมตัวไปก็ไม่มีโอกาสมีชีวิตรอดกลับมา ดังนั้นจึงกล้าหาญเทียมฟ้าเช่นนี้”
นางกำนัลที่ชื่อปี้หลิงนางนั้นพูดงึมงำเบาๆ หลินชิงเวยจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ดูแล้วเจ้าและลวี่เฉี่ยวผู้นั้นคงเป็นพวกเดียวกัน เช่นนี้ก็อย่าได้กล่าวโทษว่าข้าแล้งน้ำใจ” พูดแล้วหลินชิงเวยค่อยๆ ก้าวเข้าไปหานาง “วันรุ่งขึ้นตำหนักฉางเหยี่ยนแห่งนี้ก็จะมีศพเพิ่มขึ้นอีกสองศพ ไม่มีใครใส่ใจหรอกว่าพวกเจ้าตายได้อย่างไร เมื่อข้าอยู่ในตำหนักเย็นต้องเผชิญหน้ากับหญิงสติฟั่นเฟือนมากมายเช่นนั้นยังมีชีวิตรอดปลอดภัยได้ ซ้ำยังหาวิธีออกมาจากตำหนักเย็นด้วยตนเองจนได้ เจ้าคิดว่าข้ากินเจหรือไร? หืม?”
กลิ่นอายอันเยียบเย็นและลึกลับที่กำจายออกจากร่างของหลินชิงเวยทำให้ปี้หลิงรู้สึกหวาดกลัว นางสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เมื่อเห็นหลินชิงเวยยืนอยู่เบื้องหน้านาง นางได้แต่โขกศีรษะขอละเว้นชีวิตอย่างเอาเป็นเอาตาย “เหนียงเหนียงโปรดละเว้นชีวิตด้วยเพคะ! เหนียงโปรดละเว้นเชีวิต! บ่าวไม่ได้เป็นพวกเดียวกับลวี่เฉี่ยว! บ่าวไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ไม่รู้อะไรจริงๆ เพคะ! เพียงแต่ ลวี่เฉี่ยวเพียงแต่รู้ว่าเหนียงเหนียงกลับมาแล้ว นางหวาดกลัวยิ่งนัก วันนี้นางเพิ่งจะขอร้องพ่อบ้านให้โยกย้ายนางไปทำงานในตำหนักของจ้าวกุ้ยเหริน ได้ยินว่าจ้าวกุ้ยเหรินเองก็เห็นด้วยแล้วเพคะ พรุ่งนี้นางก็จะย้ายไปที่นั่น ลวี่เฉี่ยวซ่อนตัวอยู่ในห้องไม่กล้าออกมา ไม่ว่าเหนียงเหนียงจะพูดอะไร ทำเรื่องใด นางล้วนให้บ่าว นางให้บ่าว…ส่งข่าวให้นางเพคะ”
หลินชิงเวยหรี่ตาลง มองหน้านางแล้วพูดว่า “เจ้าจิตใจดีถึงเพียงนั้น?”
“บ่าว บ่าวเพียงแต่เห็นแก่ที่ทำงานร่วมกับลวี่เฉี่ยวมาเป็นเวลานานเท่านั้นจึง…”
หลินชิงเวยแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เช่นนั้นเหตุใดเวลานี้เจ้าจึงเปิดโปงนางอย่างง่ายดายเล่า?”
“บ่าว…บ่าว…” ปี้หลิงพูดอะไรไม่ออก
“นางให้เงินเจ้า?” หลินชิงเวยถามต่อ
ปี้หลิงหวาดกลัวถึงขีดสุด จึงร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เช่นนั้นนางให้เงินกับเจ้า คนตายเพราะทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหาร นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก” หลินชิงเวยหยิบถุงเงินออกมาใบหนึ่ง กะเกณฑ์น้ำหนักของมันอยู่ในอุ้งมือ จากนั้นเปิดออกดู ข้างในยังมีทองคำขาวและทองคำที่มีน้ำหนักหลายชิ้น ปลายนิ้วของนางพลิกสิ่งของในถุงเงินนั้น แล้วหยิบเงินออกมาก้อนหนึ่งยื่นส่งให้ปี้หลิง “มา รับไว้”
ปี้หลิงค่อยๆ ช้อนดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาขึ้น เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของหลินชิงเวย และเงินในมือชิ้นนั้นที่ส่องประกายวาววับ จึงสะอึกสะอื้นทว่าไม่กล้าส่งเสียง ยิ่งไม่กล้ายื่นมือออกไปรับ
หลินชิงเวยพูดว่า “ลวี่เฉี่ยวให้เจ้ามากกว่าที่ข้าให้?”
ปี้หลิงส่ายหน้า
หลินชิงเวยกล่าวพร้อมหรี่ตาลง “เช่นนั้นเจ้ายังตะลึงอะไรอยู่อีกเล่า ยังไม่รีบรับไปอีก”
“ขอบพระทัย เหนียงเหนียงเพคะ…” ปี้หลิงลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแต่ยังคงยื่นมืออันสั่นเทาออกมารับเงินนั้นไว้
หลินชิงเวยยืดกายขึ้น “พอแล้ว ในเมื่อเวลานี้เจ้ารับเงินของข้าไปแล้วย่อมไม่อาจทำงานให้ลวี่เฉี่ยวได้อีกต่อไป แต่ต้องทำงานให้ข้าแทน” นางหยิบถุงเงินใบเล็กๆ ใบหนึ่งออกมายื่นให้กับปี้หลิงอีกครั้ง “อีกประเดี๋ยว เมื่อเจ้าไปถึงห้องของลวี่เฉี่ยวแล้วพูดคุยกับนาง ใส่ผงยานี้ลงไปในน้ำชาของนาง แล้วจับตาดูกระทั่งนางดื่มลงไป”
“แต่…”
“แต่อะไร?” หลินชิงเวยเลิกคิ้วขึ้น พร้อมด้วยสีหน้าสายตาร้ายกาจเล็กน้อย “หรือเจ้าคิดว่าช่วยทำงานให้ลวี่เฉี่ยวมีอนาคตกว่าช่วยทำงานให้ข้า? ในวังหลวงแห่งนี้อย่างไรก็ต้องมีคนเป็นก้อนหินรองเท้า หากเจ้าไม่อยากเป็นก้อนหินที่รองเท้าผู้อื่น มีเพียงการเหยียบผู้อื่นแล้วปีนป่ายขึ้นไปสู่ที่สูง ลวี่เฉี่ยวมิใช่ทำเช่นนี้หรือ นางเห็นเจ้าเป็นก้อนหินรองเท้าของนาง หาไม่แล้วย่อมไม่มีทางให้เจ้าส่งข่าวให้กับนาง เจ้าวางใจ ยานี้ไม่มีอันตรายถึงชีวิตของนาง เป็นยาชนิดไม่รุนแรง”
ในที่สุดปี้หลิงกัดฟันแน่นหลังจากนั้นมีท่าทีราวกับตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว นางรับผงยาห่อนั้นไป กล่าวว่า “เหนียงเหนียงวางใจเพคะ บ่าวจะไปทำเดี๋ยวนี้”
หลินชิงเวยยิ้มหรี่ตาลงกล่าวว่า “ดีมาก ข้าไว้ใจเจ้า ไปเถิด”
ปี้หลิงลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าไป หลินชิงเวยยืนอยู่ในความมืดในยามราตรี ราวกับหลอมรวมกับราตรีอันมืดมิด ทว่าดวงตาโค้งราวเสี้ยวจันทร์ของนางกลับดำขลับสว่างไสวยิ่ง ห้องของสาวใช้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ค่อยๆ ปรากฏแสงสว่างจากตะเกียง นางเห็นเงาร่างด้านหลังของปี้หลิงห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วก้มลงมองถุงเงินที่มีน้ำหนักถุงนั้นในมือของตน