ตำนานเทพยุทธ์ - ตอนที่ 95
ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปคนของพรรควิหคอัสนี ก็ได้เดินมายังที่พักของเจ้าเมืองตระกูลหง จนเหล่าผู้ที่อยู่รอบข้างต่างหันมาสนใจ ว่าคนกลุ่มนี้มาเพื่อสิ่งใดกันแน่ ขณะนั้นเพียงได้เห็นใบหน้าของชายชราที่ประหนึ่งเป็นขอทานเฒ่าผู้นั้น กลับมีจอมยุทธ์บางท่านที่รู้จักและกล่าวออกไป
“นั่นมิใช่ขอทานนักพยากรณ์ หย่วนปง หรอกหรือ หรือว่าแม่นางที่ใช้หงส์เพลิงผู้นั้น คือแม่นางหย่วนซิวหยู จะเป็นหลานสาวของท่านผู้เฒ่าคนนี้”
คำกล่าวที่ดังออกมา จากชายผู้ที่นั่งห่างออกไปหลายที่นั่ง สร้างเสียงเรียกความสนใจแก่ เฒ่าผู้พยากรณ์ได้ไม่น้อย ดังนั้นเมื่อหนึ่งในอาวุโสระดับล่างของพรรควิหคอัสนีที่มาตามคำบอกกล่าวของผู้เฒ๋าหยางซิฟาง ก็ได้กล่าวเชื้อเชิญแขกของตนออกไป
“ข้าน้อย หนิวซื่อ หนึ่งในศิษย์พรรควิหคอัสนี รับคำสั่งจาก ท่านอาวุโสหยางซิฟาง ให้มาเชิญผู้อาวุโสหย่วนปง ไปเที่ยวชมทิวทัศน์ที่ศาลาหมื่นปี”
การกล่าวข้ามหน้าข้ามตาเจ้าเมืองหงซวนที่เป็นคนรับรอง ผู้เฒ่าหย่วนปงก่อนหน้า เดิมทีหย่วนปงจะบอกปัดออกไป แต่ในเสี้ยวอึดใจ
เป่าฮู่กลับกล่าวออกมาทางช่องลมปราณ ให้หย่วนปงเร่งสานสัมพันธ์กับพรรควิหคอัสนีไว้ เพื่อจะได้หาโอกาศเล่นงานตระกูลเร่อและยืมกำลังของพวกมันสานแผนการในอนาคตของตัวผู้เฒ่าหย่วนปงได้ เพราะตอนนี้หย่วนซิวหยูไม่ใช่ดาวกาลกิณีคนเดิมแล้ว นางคือพญาหงส์ที่งดงามอีกตนหนึ่งที่กำลังแสดงฝีมือสะดุดตาของผู้มีอำนาจมากที่สุดในวันนี้
ดังนั้นหย่วนปงจึงได้ลุกไปตามที่คนกลุ่มนั้นเชื้อเชิญ
“เช่นนั้นได้! ข้าต้องขอไปก่อน ท่านเจ้าเมืองหงซวน ขอลา”
เพียงกลุ่มเจรจาก็ดำเนินแผนการของตนไป เป่าฮู่ก็มองดูสถานการณ์โดยรอบ ก่อนที่จะ สังเกตเห็นท่าทางที่ผิดปกติไปของคนชุดดำที่เต่าอักขระได้บอกเตือนไว้ตั้งแต่ตอนต้น
เพียงเปลวเพลิงบนลานประลองลุกไหม้ แผดเผารอบข้างจนเกิดกลุ่มควัน ก็ปรากฏว่า มีคนที่ไม่หวังดีอาศัยจังหวะในตอนนั้นลอบลงมือ เพื่อจัดการในสิ่งที่ตนเองต้องการหมอกควันสีขาว ที่ต่างจากควันของปลวเพลิงแห่งนางพญาหงส์ทั้งสองแผดเผา ได้ล่องลอยออกมาปะปนไปกับภาพเหตุการณ์นั้น
จากสถานการณ์นั้นทำให้ ผู้คนล้วนตกใจ แต่การประลองก็ยังดำเนินการต่อไป บัดนี้แส้มังกรเพลิงที่เร่อเว่ยซู ได้ใช้ออกมานั้น ได้สำแดงอานุภาพที่เหนือล้ำของมันออกมาสมแล้ว ที่เป็นถึงสมบัติตระกูล แต่หย่วนซิวหยูหลังจากที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบด้าน นางก็ไม่ลดการป้องกันในการโจมตีที่มีต่อเร่อเว่ยซูลงแม้แต่น้อย
เพียงนางหงส์เพลิงทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันกลางอากาศ ด้วยกระบวนยุทธ์ของทั้งสองฝ่าย อาวุธที่ผนึกลมปราณของตนเองเอาไว้ เพื่อโจมตีอีกฝั่งหนึ่งให้ราบในกระบวนท่าเดียว เฉกเช่นกับหงส์เพลิงที่กำลังเข้าปะทะกันอย่างหนักหน่วง
เมื่อหย่วนซิวหยูที่ใช้กำลังเข้าต้าน ด้วยกระบวนยุทธ์นั้นไม่ต่างอะไรกับเร่อเวยซูมากนัก แต่อาวุธของนางกลับเป็นอาวุธระดับสูงธรรมดา ไม่ได้เป็นสิ่งที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสมบัติที่คู่ควรกับพลังของนาง เสมือนแส้มังกรเพลิงในมือของเร่อเวยซูที่มีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง
“ฮึ! นางแพษยาคิดว่า กระบี่ห่วยๆนั่นจะทานรับพลังของเราเทพธิดาหงส์เพลิงได้หรือ? จงตายไปซะ! นางแพษยาระบำหงส์เพลิงพิโรธ”
ตัวแส้ที่สร้างจากกระดูกของมังกร อันอัดแน่นไปด้วยพลังลมปราณ ฟาดลงมากระทบกับตัวกระบี่ที่หย่วนซิวหยูใช้ลมปราณของตนต้านรับ เกราะลมปราณที่คุ้มกายแตกสะบั้น แส้ที่โหมหระหน่ำฟาดฟันลงไปที่ร่างของหย่วนซิวหยู อย่างทารุน
((((เพล้ง!)))) อ๊ากกกกกกก!!!!
เสียงกรี๊ดร้องที่มีของนางทำให้ เต้าอิงเฉิงไม่อาจจะทานทนได้ ทะยานร่างออกไปรับตัวของหย่วนซิวหยูเอาไว้ ภาพที่เหล่าผู้คนเห็น กลับปรากฏต่อหน้ากลุ่มยอดฝีมือทั่วทั้งลานประลอง -ภาพนั้นกลับเป็นสิ่งที่เป่าฮู่รอคอย
แต่ขณะที่เร่อเว่ยซูจะพุ่งไปสังหารหย่วนซิวหยูนั้นเอง ทุกอย่างกลับต้องชะงักลง เพราะพิษสะกดลมปราณที่ได้ควันของเปลวเพลิงก่อนหน้าอำพราง ได้เข้าไปส่งผลต่อร่างกายของเหล่าชาวยุทธ์ในงานจนทำให้ แม้แต่เต้าอิงเฉิงยังหมดเรี่ยวแรงในพริบตา
“พิษ! สะกดลมปราณ”
เสียงจากหยางซิฟางที่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติ แต่ขณะที่หัวหน้าของกลุ่มผู้ลงมือหรือก็คือรองหัวหน้าพรรคหุบเขาซูเวิน ได้เห็นผู้ที่ชนะในการประลอง ก็เร่งส่งคนไปนำตัวเร่อเว่ยซูไปแทนที่จะเป็นหย่วนซิวหยู เพราะนางมีจิตใจที่เหี้ยมเกรียมมากกว่า ซึ่งตรงกับเจตนารมณ์ของพรรค
ส่วนเป่าฮู่ที่แกล้งทำเป็นหมดสภาพ เพื่อหาโอกาสลงมือ ในแผนที่กลุ่มชายชุดดำสร้างทิ้งเอาไว้ เมื่อกลุ่มหนึ่งจับตัวเร่อเว่ยซูไป อีกสองกลุ่มก็พุ่งเป้าไปที่ มู่เจี้ยนหลิงในทันที แต่ขณะที่ชายชุดดำจะไปถึง ก็ปรากฏว่ารอบกายของ
มู่เจี้ยนหนิงนั้นได้มีกำแพงหมอกพิษที่นางสามารถควบคุมได้เกิดข้ึน และยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามังกรเขียวที่เคยเป็นสัตว์อสูรของเป่าฮู่ กลับปรากฏคุมครองผู้เป็นนายใหม่ของมัน ด้วยขนาดตัวที่เล็กลงมาก และยังเลื้อยพันรอบตัวของมู่เจี้ยนหลิงดั่งนางคือเทพธิดามังกรฟ้าก็มิปราณ
เพียงลู่จื่อได้เห็นก็เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และหลังจากสลายพิษสะกดลมปราณได้“ไอ้พวกบัดซบ! พรรคซูเวิน กล้าดีเช่นไรคิดล่วงเกินคนของพรรควายุอัคคี”
ด้วยเสียงนั้นทำให้เป่าฮู่ที่แกล้งนอนอยู่ที่จุดเดิมได้รู้ และคิดได้ว่า พรรคใหญ่ทั้งสามในดินแดนต้าหลั๋วต้องมีอะไรที่สนุกและน่าสนใจมากเป็นแน่
การที่จะเล่นงานพวกมันควรจัดการจากรากเง้า และการที่หย่วนซิวหยูได้แทรกตัวเข้าไปในพรรควิหคอัสนี ผู้บงการตระกูลศักดิ์สิทธิ์ที่ทำลายนิกายเสวียนอู่ลง ตัวเป่าฮู่จะทำให้พวกมันต้องได้สำนึก
จากนั้นในช่วงที่เงียบงันนั้น เป่าฮู่ก็ได้ส่งเสียงไปทางช่องลมปราณบอกถึงสิ่งที่ หย่วนซิวหยูต้องทำ และแผนการนี้จะทำให้นางได้มีตัวตนและฟื้นฟูตระกูลของนางอีกครั้งในดินแดนที่ใหญ่กว่าที่แห่งนี้
แต่ขณะที่ทุกสิ่งกำลังดำเนินไปนั้น หากท่านและเจ้ามังกรเขียวได้สู้กัน คิดว่าใครจะเป็นผู้ที่เหนือกว่ากัน?”
เพียงเจ้าเทพเต่าอักขระได้ฟัง ก็คิดได้ถึงถ้อยคำที่เจ้ามังกรเขียวได้กล่าวก่อนจากไป
“ไอ้สมองกลวง เจ้างูเขียวมันบอกเจ้ามิใช่หรือว่าเจ้าที่ครอบครองเขาของมันไว้ มันยอ่มไม่ทำร้ายเจ้า หากเจ้าคิดฝ่ากำแพงพิษนั้น เพื่อช่วงชิงตัวนางเด็กนั่นข้าเห็นว่า เจ้าอาจทำได้ และเมื่อเจ้าทำได้ เจ้าก็ควรจะลงมือทำในตอนนี้”
เพียงเป่าฮู่คิดได้ก็ได้ลอบยิ้มออกมา และในที่แห่งนี้มีเพียงตัวมันที่ มีลมปราณทัดเทียมกับ ลู่จื่อ แต่ที่เป่าฮู่แน่ใจก็คือ เกราะลมปราณเทพเต่าดำของมันทำให้มันสามารถปะมือกับตาเฒ่านั่นได้เป็นอย่างดี
“ฮ่าๆๆๆ ข้าขอบคุณท่านมากท่านเทพเต่าที่เคารพ ไม่มีท่านข้าก็คิดว่าข้าจะต้องปล่อยนางไปก่อนแล้ว ได้เวลาลงมือ”
เมื่อกล่าวเสร็จร่างของชายหนุ่มใต้ชุดคลุมกลับพุ่งออกไปท่ามกลางสายตาของเหล่าชาวยุทธ์ที่ได้เห็น ผู้อาวุโส
ลู่จื่อกำราบชายชุดดำก่อนหน้าไปแล้ว
แต่สำหรับชายชุดดำที่ทำงานพลาดก็ได้เห็นว่าคนผู้นี้มิใช่กลุ่มเดียวกับตน แต่ก็ยังดีที่คนผู้นี้พุ่งเข้าไปที่นาหนูที่มีมังกรฟ้าตัวเขียวและกำแพงพิษนั้นเพื่อหันเหความสนใจของยอดฝีมือจากพรรควายุอัคคีให้
“บัดซบ! พวกมดปลวก ฆ่าไปเท่าไรก็ไม่หมด หากแต่กลับเกิดมามากกว่าเดิม”
เสียงที่เย่อหยิ่งของมู่เจี้ยนหลิง ผู้ที่หลงคิดว่าใต้หล้านี้ไมมีใครที่นางต้องกลัว เพราะร่างของมีทั้งมุกข์พิษสวรรค์ ทั้งมังกรฟ้าตนนี้เป็นอสูรคู่กาย
ด้านผู้เฒ่าลู่จื่อที่ได้เห็นคนคิดทำร้ายศิษย์ของตนอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้หันไปให้ความสนใจ เพราะคิดว่าใครกันที่จะทานรับพิษจากมุกข์พิษสวรรค์แล้วรอดได้กัน
ด้วยความคิดเช่นนั้นทำให้บัดนี้ เป่าฮู่ผู้ที่ทะยานร่างไปที่กำแพงหมอกพิษนั้น ได้สร้างความตกตะลึงให้แก่คนทั้งตระกูลมู่ โดยเฉพาะมู่เจิ่นหลงที่ยังสลายพิษสะกดลมปราณไม่ได้
“เร็วเข้า!…สหายลู่จื่อ เจ้าหมอนี่มันไม่เกรงกลัวพิษของเจี้ยนหลิง!!! ”
เสียงตระโกนที่ดังออกมา ทำให้ตัวของลู่จื่อที่กำลังสังหารเหล่าศิษย์พรรคหุบเขาซูเวินต้องหยุดชะงัก
“ไอ้ตัวบัดซบ! กล้ายุ่งกับศิษย์ข้า”
ด้านมู่เจี้ยนหลงที่บัดนี้ยืนตัวแข็งค้าง เพราะว่า ชายผู้ที่กำลังฝ่าทลายม่านกำแพงหมอกพิษเข้ามาพร้อมกับกำลังจ้องมองมายังตัวของนางและพลังกดดันนี้ แม้นางจะพยายามมากเท่าไหร่ ก็ไม่อาจหลุดจากพลังที่สะกดร่างของนางไว้ได้
ลู่จื่อที่ผนึกลมปราณมากกว่า 8 ส่วนของตนลงในฝ่ามือเดียว และพุ่งเข้าไปหาเป่าฮู่จากด้านหลัง เพื่อปลิดชีพของคนผู้นี้ที่สลายกำแพงพิษของศิษย์รักของ ผู้เฒ่าลู่จื่อลงได้
“ปล่อยศิษย์ของข้า……..ครึ่ม!……”
เสียงปะทะกันของฝ่ามือที่ผนึกวิชาอัคคีทลายฟ้าหนึ่งในเคล็ดวิชาของพรรควายุอัคคีเอาไว้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฝามือปะทะกับบางสิ่งที่แข็งแกร่งและมีพิษเย็นแอบแฝงสะท้อนหลับมาจากการปะทะครั้งนั้นของผู้อาวุโสลู่จื่อ
ด้านของเป่าฮู่ที่บัดนี้ได้สกัดจุดของมู่เจี้ยนหลิงไว้ทำให้นางหมดสติไป ก่อนที่จะหันมามองอาวุโสพรรควายุอัคคี นามลู่จื่อ ด้วยรอยยิ้มที่มีแผนการร้ายแอบแฝง
“ฮ่าๆๆๆๆ เป็นถึงอาวุโสแห่งพรรควายุอัคคี กลับมีปัญญาทำได้เพียงเท่านี้ เช่นนี้พรรควายุอัคคีคงมาได้เท่านี้”
จากนั้นเป่าฮู่ก็ระเบิดลมปราณระดับราชันจักรพรรดิขั้นต้นออกมา ก่อนที่จะปรากฏเป็นรูปสัตว์เทพที่หายสาบสูญไปนานกว่า 100 ปี เทพเสวียนอู่ แห่งแดนเหนือ ปรากราน้ำแข็งสีขาวที่ก่อเกิด พร้อมกระแทกร่างของอาวุโส
ลู่จื่อกระเด็นออกไป แม้รับลมปราณจะทัดเทียมกัน แต่ที่เป่าฮู่มีมากกว่านั่นคือ พลังน้ำแข็งจากมุกข์เหมันต์ที่ตัวเป่าฮู่ดึงเอาพลังลมปราณในนั้นออกมา
(((((พรึ่ม!))))) อ๊ากกกกกก!!!! เสียงของสมาชิกตระกูลมู่ที่อยู่ใกล้ๆ ถูกลมปราณที่กล้าแกร่งระดับ
ราชันจักรพรรดิ กระแทกออกไป จนร่างกายกลายเป็นเศษละอองน้ำแข็งสีแดงจนเกิดเป็นภาพที่โหดร้ายยิ่งนัก ทำให้ตัวของลู่จื่ออาวุโสหลักของพรรควายุอัคคีระเบิดความกราดเกรี้ยวออกมา
แต่ก็ทำได้เพียงคำรามเท่านั้น เพราะเพียงหันกลับมาเป่าฮู่พร้อม ร่างของมู่เจี้ยนหลิงก็หายไปจากสถานที่แห่งนั้น พร้อมถ้อยคำที่ทำให้ลู่จื่อและหยางซิฟางต้องสะท้าน
“คิดล้างแค้นจงไปหาข้าที่ พรรคหุบเขาซูเวิน”
เป่าฮู่ได้สร้างรอยร้าวไว้กับพรรคใหญ่เพื่อให้คนเหล่านี้เข่นฆ่ากันเอง เพราะคนเหล่านี้ชอบที่จะเข้ามาแทรกแซงความเป็นอยู่ของดินแดนที่สุขสงบจนทำให้ดินแดนเหล่านี้เกิดคลื่นใต้น้ำที่รุนแรง จนลุกลามเป็นสิ่งที่ยากเกินควบคุม