ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - ตอนที่ 51 อันตรายมากมายที่ซ่อนอยู่
จ้าวเฉิงมองจ้าวฮ่าวด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ฝ่ายจ้าวฮ่าวก็กวาดตามองเขาครั้งหนึ่ง พลางฉีกยิ้มและส่ายหน้า
เห็นๆ กันอยู่ว่าจ้าวเฉิงเป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์แล้ว จะจัดการเขาที่ยังอยู่เพียงระดับหลอมกาย ตามหลักแล้วไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเลยด้วยซ้ำ
ทว่าในแววตาของจ้าวฮ่าวไม่มีความระแวงหรือความหวาดกลัวเลยสักนิด มีเพียงความนิ่งเฉยไร้ความรู้สึก
ในความนิ่งเฉยนั้น ปรากฏความไม่สนใจใยดีปะปนอยู่ด้วย
เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย ‘แววตาที่เขามองจ้าวเฉิง ไม่ต่างอะไรกับแววตาที่ใช้มองข้าเลย… ’
‘ในสายตาของเขา ข้ากับจ้าวเฉิงอยู่ในระดับเดียวกัน’ เยี่ยนจ้าวเกอพลันแสยะยิ้ม
จ้าวฮ่าวกล่าวถามอย่างเฉยเมยว่า “พี่สามอยากให้ข้าดื่มเหล้าโทษทัณฑ์อะไรหรือ”
จ้าวเฉิงแค่นหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง “น้องสิบหกช่วงนี้วรยุทธ์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วก็จริง แต่ประสบการณ์การต่อสู้จริงก็ยังคงน้อยอยู่”
“คนพวกนี้ของพี่สาม ช่วยน้องสิบหกฝึกซ้อมได้พอดิบพอดีเลย”
“สั่งสมประสบการณ์ให้มากหน่อย หากเจ้าเอาแต่ลงไม้ลงมือกับลูกน้อยเช่นนี้ ครั้นเจอศัตรูผู้เก่งกาจตัวจริงเข้า คนที่ซวยจะเป็นเจ้าเองนะ”
แววตาเหยียดหยามในดวงตาของจ้าวฮ่าวยิ่งเพิ่มมากขึ้น เขามองจ้าวเฉิงราวกับผู้ใหญ่กำลังมองเด็กไม่รู้ความที่กำลังเล่นเสียงดังอยู่
เขาไม่ได้พูดอะไรให้มากความ พลันชักกระบี่ออกจากฝัก ยืนอยู่ที่เดิมนิ่งๆ “ผู้ใดต้องการโดนสั่งสอน”
ในสายตาของผู้อื่นเห็นเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่เยี่ยนจ้าวเกอมองเห็นความนัยมากกว่านั้น
หากมองจากมุมมองของเยี่ยนจ้าวเกอ พลังที่จ้าวฮ่าวแผ่ออกมาเปลี่ยนไปทันทีที่เขาชักกระบี่ออกมา
พลังนั้นแข็งกร้าว โหมกระหน่ำ และเฉียบคมอย่างชัดเจน!
ทั่วทั้งร่างของเขาเสมือนกับกระบี่คมกริบที่เพิ่งชักออกมาจากฝัก เตรียมจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา ฟาดฟันทุกสิ่งให้ขาดสะบั้น
นี่เป็นพลังบริสุทธิ์รูปแบบหนึ่ง ยากที่จะบรรยายเป็นคำพูด ทว่าก็มีอยู่จริง
จ้าวฮ่าวในตอนนี้ยังคงเป็นจอมยุทธ์ระดับหลอมกายไม่ผิดแน่ เขาไม่ได้ซ่อนเร้นพลังความสามารถในระดับที่สูงกว่านั้นเอาไว้แต่อย่างใด แต่พลังของเขากลับเหมือนอยู่เหนือกว่าคนส่วนมากบนโลกใบนี้
ราวกับมีปรมาจารย์ปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่ไม่คู่ควรให้ผู้ใดเอ่ยถึง
คิ้วของเยี่ยนจ้าวเกอกระตุก ‘น่าสนใจ หรือว่า…’
แม้ว่าจ้าวเฉิงอยากจะเล่นงานจ้าวฮ่าวให้เจียนตายด้วยมือของตนใจจะขาด ทว่าอย่างไรเสียเขาก็อยู่ระดับปรมาจารย์แล้ว อายุอานามก็มากกว่าจ้าวฮ่าวสิบกว่าปี
ถึงพฤติกรรมของจ้าวฮ่าวจะไร้ความนอบน้อมอย่างมาก ทว่าต่อหน้าธารกำนัล อีกทั้งยังมีเยี่ยนจ้าวเกออยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วย จ้าวเฉิงจึงยับยั้งความคิดที่จะลงมือด้วยตนเองไป
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะปล่อยจ้าวฮ่าวไปง่ายๆ
วรยุทธ์ของจ้าวฮ่าวอยู่ระดับยุทธ์หลอมกายขั้นแปด ขั้นชักจูงลมปราณระยะกลาง แม้ว่าคู่ต่อสู้ที่จ้าวเฉิงหามาให้เขาจะอยู่ในขั้นชักจูงลมปราณระยะกลางเช่นกัน ทว่าก็มีกลิ่นอายดุดัน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าใช้ชีวิตอยู่ด้วยการฆ่าฟัน คมดาบอาบโลหิตมาจนชินชา ประสบการณ์มากมายเหลือเฟือจนเทียบไม่ได้
ไอสังหารทั่วทั้งร่างกายหนาแน่นจนแทบจะทำให้คู่ต่อสู้ที่ประสบการณ์ไม่มากพอกลัวหัวหด กลายเป็นลูกแกะที่ยอมให้ฆ่าแกงแต่โดยดี
ทว่าจ้าวฮ่าวแทบไม่ต้องใช้แรง ก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในกระบวนท่าเดียว!
เพียงฟาดกระบี่ลงแค่ครั้งเดียว แขนข้างหนึ่งของอีกฝ่ายก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า!
ระดับความโหดเหี้ยมนี้ ทำให้ทุกคนต้องเบี่ยงสายตาตามไป
“บังอาจนัก! ” สีหน้าของจ้าวพลันอึมครึม เขาโบกมือครั้งหนึ่ง นักดาบขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังก็ฝ่าผู้คนออกมา
นักดาบผู้นี้อยู่ระดับยุทธ์หลอมกายขั้นเก้า ขั้นชักจูงลมปราณระยะท้าย อีกทั้งยังห่างจากขั้นประจักษ์กายา ซึ่งเป็นขั้นที่สิบไม่มากนัก
จ้าวฮ่าวกลับมีท่าทีไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด จากนั้นโจมตีด้วยกระบี่พลางยิ้ม “ก็เหมือนๆ กันหมด”
ผลการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ทำให้ผู้ที่ชมการต่อสู้ตกตะลึงไปตามๆ กันอีกครั้ง
ผู้ชนะยังคงเป็น จ้าวฮ่าว!
เขาหัวเราะเสียง ‘หึ’ ครั้งหนึ่ง “คนต่อไปจะเป็นขั้นประจักษ์กายา หรือว่าพี่สามจะลงสนามด้วยตัวเอง”
ในขณะที่กล่าว ทั่วทั้งร่างของเขาเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ จากนั้นก็เป็นเสียงอึมครึมของสายฟ้าดังขึ้นแผ่วเบา
เสียงฟ้าผ่าไม่ได้ดังจากข้างนอก ทว่าดังออกมาจากภายในร่างกายของจ้าวฮ่าว
ทุกคนต่างตะลึงงันไปพร้อมๆ กัน “ลมปราณเข้าสู่กระดูก เสียงสายฟ้าชำระล้างไขกระดูกหรือ นี่เป็นการชำระล้างไขกระดูกครั้งแรก หลังจากบรรลุถึงขั้นชักจูงลมปราณระยะท้ายหรือนี่!”
เฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอ เห็นดังนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ แล้วจึงมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง
แม้นางจะไม่ได้กล่าวอะไร ทว่าก็เห็นได้ชัดว่านางนึกถึงเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอเผชิญหน้ากับเซียวเซิงก่อนหน้านี้
เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้ยิ้ม ทว่ามองจ้าวฮ่าวอย่างสงบนิ่ง
“เขายังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด อีกทั้งวิชากระบี่สังหารที่ถนัดจริงๆ ก็ยังไม่ได้แสดงออกมา”
ชายหนุ่มมองเห็นทะลุปรุโปร่งมากกว่าคนรอบข้างนัก “สู้เร็วจบเร็วเช่นนี้ เขาอาศัยประสบการณ์ที่มีมากกว่าคู่ต่อสู้ และการควบคุมกระบี่ที่อยู่ในมือ”
“ก็เหมือนกับข้า ไม้ไผ่ท่อนหนึ่งก็ใช้เป็นกระบี่ได้ ไม่ต้องใช้ปราณจิตราแต่ก็สามารถเล่นงานจอมยุทธ์ขั้นประจักษ์กายาให้จนมุมได้เช่นกัน”
“เขามีความรอบรู้ในวิชากระบี่ที่ล้ำลึกมาก กระบี่ไม้ กระบี่ไผ่ แม้กระทั่งการใช้นิ้วแทนกระบี่ หรือใช้ความรู้สึกที่มีต่อกระบี่ รวบรวมลมให้เฉียบคมดุจกระบี่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีกระบี่ ดังนั้นต่อให้ไม่ได้พกพาสิ่งอื่นติดตัว เพียงหนึ่งกระบี่ในมือ ก็มากเพียงพอ”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มครั้งหนึ่ง “เมื่อครึ่งปีก่อนรู้แจ้งขึ้นมาฉับพลันอย่างนั้นหรือ”
“ฮ่าๆ…”
จ้าวฮ่าวในขณะนี้หยาบคายไร้เหตุผลอย่างยิ่ง เขาถือกระบี่ขึ้นในแนวขวาง “พี่สามยังมีคนอื่นอยู่อีกหรือไม่ หรือพี่สามคิดจะมาด้วยตนเอง?”
“พี่ใหญ่เล่า จะมาเล่นกับข้าด้วยกันสักหน่อยไหม ข้าได้หมด”
สีหน้าจ้าวเฉิงอึมครึมเหมือนสีน้ำลึก กัดฟันยิ้มพลางกล่าวว่า “ได้สิ น้องสิบหก เมื่อก่อนข้ามองไม่ออกเลย แต่เจ้าดูจะลำพองตัวเร็วไปหน่อยแล้ว”
ขณะที่กล่าว เขาก็สาวเท้าออกมาด้วย
ถูกจ้าวฮ่าวยั่วยุเช่นนี้ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจอีกต่อไป และไม่จำเป็นต้องกังวลว่าราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกจะถามหาความผิดภายหลัง
“พี่น้องสายเลือดเดียวกัน ก็ควรจะรักใคร่ปรองดองซึ่งกันและกัน ประลองฝีมือกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันก็แล้วไป แต่การประมือระหว่างจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์กับจอมยุทธ์ระดับหลอมกาย ก็ดูจะเกินเหตุไปเสียหน่อย”
ตอนนี้เอง เสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นจากบริเวณที่ไกลออกไป ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนหน้าตาเคร่งขรึมดุดันคนหนึ่งก็ปรากฏกายต่อหน้าทุกคน
เขามองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอเป็นอันดับแรก แล้วผงกศีรษะ “จ้าวเกอ ไม่ได้พบกันนานเลยนะ”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มรับ “ราศีท่านจิ่นอ๋องเหนือกว่าในอดีตอีกนะขอรับ”
ผู้มาเยือนคือพระอนุชาของราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก ยอดฝีมือเป็นอันดับสองในราชวงศ์ถังตะวันออก จิ่นอ๋องผู้นี้มีนามว่าจ้าวซื่อเลี่ย เยี่ยนจ้าวเกอรู้จักเขามาก่อนหน้านี้แล้ว
ทว่า จุดยืนของคนผู้นี้กลับเอนเอียงไปทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ นับเป็นบันไดก้าวข้ามที่ใหญ่ที่สุดในการนำอิทธิพลสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่อาณาจักรถังตะวันออก
ตำแหน่งรัชทายาทของอาณาจักรถังตะวันออกยังคงไม่แน่ชัดมาโดยตลอด ซึ่งมีสาเหตุมากมายมาจากคนผู้นี้
ไม่ว่าจะเป็นอำนาจมืดของเขาหรือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหลัง ล้วนคอยสร้างความกดดันแก่ราชาอาณาจักรถังตะวันออก หวังให้แต่งตั้งพระอนุชาเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์
สำหรับวรยุทธ์ของเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ พลังของคนคนเดียวสามารถเปลี่ยนแปลงพลิกแผ่นดินได้ กฎระเบียบจารีตของทางโลกจึงไม่เหมาะจะนำมาใช้กับพวกเขา
อย่างเช่น หากราชาอาณาจักรถังตะวันออกเกิดสวรรคตกะทันหันในวันนี้ เช่นนั้นความสูญเสียของอาณาจักรถังไม่ใช่เพียงแค่ราชาองค์หนึ่งเพียงเท่านั้น ทว่ายังสูญเสียมหาปรมาจารย์คนหนึ่งด้วย
นั่นเท่ากับว่าอาณาจักรถังตะวันจะต้องเจอกับความเสียหายครั้งใหญ่หลวงเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นจ้าวหยวนหรือจ้าวเฉิง ถึงพวกเขาจะบรรลุสู่ระดับปรมาจารย์ ทว่าก็ไม่สามารถพัฒนาความสามารถให้สูงขึ้นได้ในเวลาอันสั้น แม้จะได้รับตำแหน่งราชา ก็ยังไม่สามารถแทนที่เสด็จพ่อของพวกเขาได้โดยสมบูรณ์
เช่นเดียวกันกับจิ่นอ๋อง แม้ว่าจะระดับพลังของเขาจะด้อยกว่าราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก ทว่าก็นับเป็นยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์เช่นเดียวกัน หากรับใช้ราชาองค์ใหม่ด้วยความสัตย์ซื่อก็แล้วไป ทว่าหากเขามีใจคิดการอื่น สถานการณ์ก็พลันจะซับซ้อนขึ้นมาทันที
ในราชวงศ์ของโลกมนุษย์ ราชาองค์เดิมจะแต่งตั้งผู้สืบทอดก่อนสวรรคต จึงต้องกำจัดความไม่สงบทั้งหมดออกไปก่อน
ทว่าสถานการณ์ของท่านจิ่นอ๋องเป็นเช่นนี้ ทำให้ราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกรู้สึกร้อนใจเช่นกัน
อย่างไรเสีย จ้าวซื่อเลี่ยก็เป็นมหาปรมาจารย์คนหนึ่ง และเป็นส่วนสำคัญของกำลังอำนาจอาณาจักรถังตะวันออก หากสังหารเขา ที่ต้องรับความเสียหายก็ยังเป็นอาณาจักรถังตะวันออก
ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวซื่อเลี่ยยืนอยู่เบื้องหลังของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทว่าราชาอาณาจักรถังตะวันออกกลับมีเขากว่างเฉิงหนุนหลัง นั่นจึงยากที่จะลงมือได้ง่ายๆ
สถานการณ์ของอาณาจักรถังตะวันออก ทุกวันนี้ยังคงรักษาสมดุลไว้ได้ แต่คนภายนอกก็พอจะมองออกแล้วว่าเริ่มกระท่อนกระแท่น ราชาอาณาจักรถังตะวันออกและเขากว่างเฉิงแม้จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่อันตรายที่แฝงอยู่ก็ไม่น้อยเช่นกัน
จ้าวซื่อเลี่ยและเยี่ยนจ้าวเกอต่างฝ่ายต่างคำนับกัน ก่อนจะหัวเราะพลางมองไปที่สามพี่น้อง จ้าวหยวน จ้าวเฉิง และจ้าวฮ่าว “หากจะประลองกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้วรยุทธ์เลยนี่”
“วิธีประลองที่ไม่ทำลายไมตรีมีถมเถไป”
…………….
Related