ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1737 ทำลายสมดุลของพลัง
“ข้าดูออกแล้วว่าท่านจงใจยั่วข้าเล่น” เฟิงอวิ๋นเซิงเหลือบมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างไม่พอใจ
“เจ้าที่แล้วมาใจกว้างสงบนิ่งยิ่ง คนอื่นๆ ยั่วเจ้าไม่ได้” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเหอะๆ สีหน้ากลับพึงพอใจเล็กน้อย
เฟิงอวิ๋นเซิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ใช่ ท่านเก่งกาจที่สุดแล้ว”
หลังจากคนทั้งสองหยอกล้อกัน อารมณ์ของเฟิงอวิ๋นเซิงพลันหม่นหมองลงบ้าง ถามเบาๆ “ด้านสวรรค์อู๋จี๋ถานซื่อ การทดสอบของท่านยังไม่พัฒนามากมาย ไม่ทราบว่าพวกเสี่ยวหวานจะรอท่านทำสำเร็จได้หรือไม่”
นางกับเมิ่งหวานผูกพันกันเป็นพี่น้อง มีความสัมพันธ์ล้ำลึกไม่ยิ่งหย่อนกว่าสวีเฟย อิงหลงถู ซือคงจิง
ในอดีตเมิ่งหวาน ฟู่ถิง เหอซีสิงได้ทราบถึงการดำรงอยู่ของเทวกษัตริย์ไร้ประมาณในตอนที่ยังไม่บรรลุถึงระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบ ทิ้งเพทภัยใหญ่หลวงเอาไว้
ถ้าหากเทวกษัตริย์ไร้ประมาณต้องการ ไม่จำเป็นต้องสัมผัสอย่างแท้จริง แค่ใช้ความคิด ก็ชำระล้างพวกนางสามคนข้ามมิติได้โดยตรง
แม้เรื่องราวจะไม่เคยเกิดขึ้น แต่คนในสำนักเต๋าเช่นพวกเยี่ยนจ้าวเกอก็ใช้วารีสามแสง กับวิชาลับมากมายอย่างหมัดแปลงกำเนิด ร่วมกันดำเนินการอำพราง แต่ยังคงไม่อาจยืนยันได้ว่านอนหมอนสูงไร้ความกังวลได้หรือยัง
เฟิงอวิ๋นเซิงมีนิสัยแน่วแน่ใจกว้าง ไม่เป็นห่วงสถานการณ์ในนพยมโลกที่อาจเกี่ยวข้องกับตัวเอง เรื่องของสหายกับเป็นแผลใจของนางมาโดยตลอด
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็ปั้นสีหน้าจริงจัง ตอบอย่างขึงขัง “ปัจจุบันยากจะยืนยันคำตอบ แต่ว่าเรื่องนี้ข้ามีแผนการส่วนหนึ่งแล้ว สถานการณ์ของศิษย์น้องเมิ่งยังมีสหายร่วมเส้นทางฟู่ และสหายร่วมเส้นทงเหอไม่แน่ว่าไม่มีโอกาสพลิกกลับ”
“คนที่ถูกเส้นทางนอกรีตชำระล้างไปแล้ว อาจบอกได้ยาก แต่พวกศิษย์น้องเมิ่งอย่างไรก็ยังไม่ถูกชำระล้างจริงๆ”
เว้นครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำกับตัวเอง “พวกเรามีเบาะแสเศษศิลาฟ้ากำเนิดส่วนหนึ่งในมือ นี่มีส่วนช่วยข้ามาก แต่น่าเสียดาย พวกเราไม่มีเศษศิลามนุษย์กำเนิด ไม่อย่างนั้นการพัฒนาจะเร็วกว่าเดิม ได้รับผลดีมากกว่าเดิม”
เขาหันไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง “ถึงแม้ข้ายังต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่ตอนนี้เห็นเส้นทางแล้ว กระนั้นทางโถงเซียนกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใหญ่ในชั่วเวลาสั้นๆ”
“เทวกษัตริย์ไร้ประมาณรอการวากหมากในนพยมโลกอยู่เช่นกัน” เฟิงอวิ๋นเซิงผงกศีรษะ “หมากตานี้อาจจะมีเจ้ามรรคาคนใหม่ถือกำเนิด ผู้ยิ่งใหญ่ระดับมรรคาที่ยังอยู่ไม่กี่ท่านย่อมไม่อาจมองข้าม สมควรออกโรงด้วยตัวเอง”
โถงเซียนแม้ว่าจะไม่มีใครแย่งชิงตำแหน่งนี้ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผลลัพธ์สุดท้ายจะต้องส่งผลกระทบต่อตัวเทวกษัตริย์ไร้ประมาณ
หลักการเดียวกันนี้สามารถใช้กับตัวพระศรีอาริย์และแดนสุขาวดีบัวขาวได้เช่นกัน
“พวกเราตั้งตารอเถอะ” เยี่ยนจ้าวเกอดวงตาล้ำลึกอยู่บ้าง มองข้ามสวรรค์อู๋จี๋ถานซื่อ ทอดตาไปยังความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดนอกเขตแดน
ในขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอจัดการทางสวรรค์อู๋จี๋ถานซื่อ โลกภายนอกก็เกิดเมฆลอยลมเคลื่อนเช่นกัน
ก่อนหน้านี้นาจาบุกแดนสุขาวดีตะวันตกท้าสู้ทีปังกรพุทธะ พวกเยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง หยางเจี่ยนเป็นทัพช่วยเหลือให้เขา
เผชิญกับผู้สืบทอดสำนักเต๋ายกทัพใหญ่กดดันดินแดน เหล่าพุทธะแห่งแดนสุขาวดีตะวันตกย่อมสะกดทัพรอคอย
แดนสุขาวดีบัวขาวฉวยโอกาสที่ความสนใจของแดนสุขาวดีตะวันตกถูกสำนักเต๋าดึงดูด เปิดศึกและต่อสู้กับโถงเซียนอีกครั้ง
จนกระทั่งให้หลังเรื่องธงเหลืองโบ่วกี้ถูกเปิดเผย สำนักเต๋า แดนสุขาวดีตะวันตก เผ่าปีศาจ นพยมโลก สู้กันดุเดือด ไม่ส่งผลต่อกลยุทธ์ของแดนสุขาวดีบัวขาว
เมื่อไม่มีขุมกำลังอื่นๆ เข้าร่วม พวกเขาจะมากจะน้อยก็ได้เปรียบโถงเซียน
ถ้าหากว่าไม่มีคนอื่นมาก่อกวน นั่นบางทีค่อยเป็นสถานการณ์ที่พระศรีอาริย์กับแดนสุขาวดีบัวขาวต้องการเห็นที่สุด
แต่ว่าภายหลังสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ย่ำแย่ลงอย่างฉับพลัน
ไม่เพียงแต่ปัทมาสน์อธิธรรมพุทธะที่ไปตามหานาจาเพื่อตัดขาดบุญคุณความแค้นจะมรณะ แม้แต่ฉวีซูกระบี่พุทธะรุ่นใหม่ก็ถูกเยี่ยนจ้าวเกอปลิดปลงสังหาร
สำหรับแดนสุขาวดีบัวขาวแล้ว นี่เป็นการทำลายที่เจ็บที่เส้นเอ็นส่งผลต่อกระดูก ปราณกำเนิดเสียหายใหญ่หลวง
ฉวีซูซึ่งพลังต่อสู้ส่วนตัวแข็งแกร่งที่สุด เป็นอันดับหนึ่งรองจากพระศรีอาริย์ท่ามกลางเหล่าพุทธะแห่งแดนสุขาวดีบัวขาว ต่อให้ก่อนหน้านี้ไม่เข้าร่วมสงคราม ก็เป็นการคุกคามที่มองไม่เห็น
ฉวีซูไม่เผยโฉม เทวกษัตริย์จอมเกียจคร้านหวังก่วนที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับมหาชาลของฝั่งโถงเซียนก็ไม่กล้าทำตัวเหิมเกริมเช่นกัน
เหมือนกับระหว่างพระศรีอาริย์กับเทวกษัตริย์ไร้ประมาณ ฉวีซูกับหวังก่วนก็สะกดซึ่งกันและกันในระดับหนึ่ง เกิดสภาพแลกเม็ดหมาก
ตอนนี้ฉวีซูมรณะ การเปรียบพลังที่มั่นคนในตอนแรกพลันพังทลายลงมุมหนึ่ง
ฉวีซูกับหวังก่วนสะกดกันและกัน แต่ว่าจำนวนเซียนสวรรค์มหาชาลของโถงเซียนด้อยกว่าพุทธะแห่งแดนสุขาวดีบัวขาว ดังนั้นแดนสุขาวดีบัวขาวจึงได้เปรียบ
ทว่าตอนนี้ฉวีซูมรณะ หวังก่วนเป็นอิสระ อาศัยเขาคนเดียว เติมเต็มสภาพเลวร้ายด้านจำนวนโดยรวมของผู้เข้มแข็งระดับมหาชาลของโถงเซียนได้มากพอ
เพียงเรื่องนี้ สถานการณ์การรบของสองฝ่ายพลันเปลี่ยนแปลง
ยิ่งไปกว่านั้น การท้าสู้ทีปังกรพุทธะของนาจาหยุดลงชั่วคราว แดนสุขาวดีตะวันตกไม่มีห่วงอะไรแล้ว
กลับกันเผ่าปีศาจที่เป็นพันธมิตรของแดนสุขาวดีบัวขาว เสียมหาเทวะเก้าเศียรไป ส่งผลต่อพลังและความฮึกเหิม
เวลาที่ดำเนินไปของการต่อสู้ในครั้งนี้มีจำกัด ไม่ทันไรก็จบลงเพราะแดนสุขาวดีบัวขาวถอนทัพ
ผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดของโถงเซียนก็ไม่ได้รุกไล่ มีแค่ระดับกลางถึงล่างของสองฝ่ายยังคงดำเนินการต่อสู้ที่ระดับความรุนแรงไม่สูงไม่ต่ำเหมือนปรกติ
บนแดนเซียนสามพันแห่งของโถงเซียน ตำหนักฟ้าที่ตึกหออาคารกระจายอยู่ทั่ว ไม่ได้มีสภาพเสียหายเหมือนตอนที่ถูกเยี่ยนจ้าวเกอาละวาดไปรอบหนึ่งอีกแล้ว หลังจากซ่อมแซมใหม่ ก็วิจิตรยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยความโอ่อ่า
ในวังสวรรค์ กลางตำหนักแห่งหนึ่ง นั่งด้วยไว้นักพรตสวมเเสื้อคลุมสีแดงตัวใหญ่ผู้หนึ่ง ใบหน้าสีคราม ผมดุจผงชาด ตาที่สามเปิดอยู่กลางหน้าผาก มีสามเศียรหกกร
เป็นหลี่ว์เย่จักรพรรดิอัมพรโรคระบาดที่เคยเป็นผู้ปกครองฝ่ายโรคระบาดของวังเทพ ภายหลังเข้ากับเส้นทางนอกรีต สำเร็จระดับมหาชาล
เขานั่งนิ่งเหมือนกับกำลังรอคอยผู้ใด
ครู่ต่อมา เสียงหนึ่งดังมาจากนอกตำหนัก “รบกวนพี่ร่วมเส้นทางหลี่ว์รอนาน ไฉนจึงคิดมายังสถานที่ของข้า?”
ได้ยินเสียงนี้ จิตใจของหลี่ว์เยว่เลอะเลือนอย่างไม่อาจควบคุม ต้องการนอนหลับ รู้สึกอิดโรย
เขากลับไม่ตกใจ อีกฝ่ายแสดงให้เห็นว่าไม่คิดโจมตีเขา
ไม่ทันไร บุรุษอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในตำหนัก “ที่อยู่ข้าหยาบไปบ้าง เสียมารยาทกับพี่ร่วมเส้นทางหลี่ว์แล้ว”
ผู้มาเป็นหวังก่วน บุคคลหมายเลขหนึ่งของวังเทพในปัจจุบัน ฉายาเทวกษัตริย์มหานิมิต ทั้งมีชื่อว่า ‘เทวกษัตริย์จอมเกียจคร้าน’ หรือ ‘เทวกษัตริย์จอมหลับ’
ปัจจุบันหลังจากความตายของฉวีซู การเรียกเขาว่าเป็นหมายเลขหนึ่งแห่งมหาชาลในเส้นทางนอกรีตไม่ถือว่าเกินเลย
“สหายร่วมเส้นทางหวังเกรงใจแล้ว” หลี่ว์เย่ลุกขึ้นคารวะหวังก่วน “ดูเหมือนจะโจมตีมารร้ายบัวขาวถอยไปได้แล้ว”
“พวกมันถอยเอง” หวังก่วนตอบอย่างไม่สนใจ “แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาชี้เป็นชี้ตายกับพวกมัน ในมือเผ่าปีศาจยังมีสารีริกธาตุศากยมุณี พวกเราไม่อาจไม่ป้องกันมหาวิทยราชมยุรีหันมาแทงหอกใส่”
หลี่ว์เยว่กล่าว “ไม่เป็นไร ฉวีซูตายไปแล้ว ตอนนี้พวกเราเผชิญกับมารร้ายบัวขาว มิได้มีสภาพเลวร้ายอีก ถึงขั้นกลับเป็นฝ่ายมีเปรียบ”
“ถูกต้อง ฉวีซูตายแล้ว” ในน้ำเสียงของหวังก่วนปรากฏความประหลาดพิกล เต็มไปด้วยรสชาติซับซ้อน
เหมือนกับสะท้อนใจ เหมือนกับเสียดาย เหมือนกับโศกเศร้า เหมือนกับโกรธเกรี้ยว เหมือนกับเยาะเย้ย
แต่ว่าถึงตอนท้าย กลับคล้ายไม่เหลืออะไรสักอย่าง มีเพียงความเหน็ดเหนื่อยอันล้ำลึก
………………..