ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 126 ถูกอัดแล้วยังต้องกล่าวขอบคุณ!
“ตอนขึ้นเขามา ข้าพบการขัดขวางจากศิษย์ของท่าน ข้าได้กล่าวไปแล้วว่าหากไม่เร่งรีบแล้วละก็ ที่จะประสบกับหายนะก็คือสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำของสำนักท่าน”
สีหน้าท่าทางเยี่ยนจ้าวเกอสงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน ไม่ร้อนรน
ชายหนุ่มรุ่นเยาว์ผู้นี้วางแผนไว้ในใจอยู่แล้ว หรือคิดจะสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตา มหาปรมาจารย์เขาไร้พรมแดนหลายท่านแยกแยะได้ไม่ยากนัก
ผู้อาวุโสจั่วไม่กล่าวอันใด ทว่าหัวคิ้วของเขาขมวดเป็นปมขึ้นอีกครั้ง
ส่วนซานสือเวิง ผู้อาวุโสเก่าแก่แห่งเขาไร้พรมแดน ผู้มีวรยุทธ์สูงที่สุดในบรรดาทั้งสามคน ทั้งยังเป็นผู้พาเยี่ยนจ้าวเกอและฟู่เอินซูมาจากสำนักเขาไร้พรมแดน กลับมีสีหน้าท่าทางโอนอ่อนอยู่บ้าง
ซานสือเวิงมองไปทางเยี่ยนจ้าวเกอ ”เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าอย่างไรนะ”
เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือคำนับ “สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับตาน้ำพุเมฆหยินหยาง หากจุดเพลิงใหญ่ขึ้นมา ไอเพลิงอาจจะส่งผลกระทบต่อสมดุลของตาน้ำพุเมฆหยินหยาง”
“ชีพจรน้ำของน้ำพุเมฆหยินหยางไหลตรงสู่ด้านล่างเขานิมิตเมฆ เชื่อมต่อเข้ากับชีพจรดิน ในระหว่างที่สมดุลชีพจรพลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็จะส่งผลกระทบต่อพลังปราณของชีพจรดินที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งเขานิมิตเมฆ”
“สำหรับจอมยุทธ์รุ่นข้าแล้ว ผลกระทบด้านนี้ไม่ชัดเจนนัก แต่สำหรับแก่นแร่ของศิลาวิญญาณลึกล้ำที่เดิมทีก็ได้รับความเสียหายอยู่แล้ว การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของสภาพแวดล้อมโดยรอบล้วนแล้วแต่จะนำมาซึ่งผลกระทบ”
ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวต่อไปว่า “ที่โชคไม่ดีก็คือ ไอเพลิงเข้าสู่พื้นที่ พลังปราณของชีพจรดินก็จะปรับเปลี่ยนไปโดยปริยาย ตัวของมันก็จะมีแนวโน้มหนาวเหน็บมืดครึ้มมากยิ่งขึ้น เนื่องจากไอเพลิงที่อยู่ภายในและมาจากภายนอก อีกทั้งเมื่อชีพจรดินเริ่มหนาวเหน็บ ก็จะทำลายแก่นแร่ของศิลาวิญญาณลึกล้ำเข้าไปอีกขั้น”
บรรดาจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดน หากไม่ฉงนสนเท่ห์ก็ไม่เชื่อถือ อยากจะประณามเยี่ยนจ้าวเกอ ทว่าติดอยู่ที่ผู้อาวุโสสำนักก็อยู่ที่นี่ จึงไม่กล้ากระทำการโดยบุ่มบ่าม
จี้ฮั่นหรูหัวคิ้วขมวดมุ่น จดจ้องไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ
ซานสือเวิงและผู้อาวุโสจั่วไม่ได้พูดอะไร แต่ผู้อาวุโสเสวียนสือกลับเปิดปากเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำว่า “การที่ชีพจรดินเริ่มหนาวเย็น จะทำลายสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำอย่างนั้นหรือ”
สำหรับเขาไร้พรมแดนแล้ว ศิลาวิญญาณลึกล้ำเป็นหนึ่งในแหล่งทรัพยากรที่สำคัญที่สุด จนแทบจะควบคู่ประวัติศาสตร์การก่อตั้ง พัฒนา จนถือกำเนิดขึ้นของทั้งเขาไร้พรมแดนเลยทีเดียว
เขาไร้พรมแดนมีการศึกษา ทดลอง และทำความเข้าใจต่อศิลาวิญญาณลึกล้ำอย่างลึกซึ้ง ผู้อาวุโสเสวียนสือในฐานะผู้อาวุโสระดับหนึ่ง เขารับผิดชอบดูแลสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำแห่งเขานิมิตเมฆเป็นการเฉพาะ สิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวนั้น อยู่เหนือทั้งหมดที่เขารู้ กระนั้นผนวกเข้ากับสถานการณ์ที่เขารู้ทั้งหมด ก็คล้ายกับรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง
เรื่องนี้สำคัญยิ่ง ผู้อาวุโสเสวียนไม่ได้ทึกทักตำหนิเยี่ยนจ้าวเกอในทันที ทว่าการซักถามข้อสงสัยที่อยู่ในน้ำเสียงก็ชัดเจนจนไม่อาจชัดเจนไปมากกว่านี้แล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ศิลาวิญญาณลึกล้ำรักษาสมดุลเอาไว้อย่างมั่นคง พลังปราณทรงพลังทั้งหมด ดูเหมือนว่าไม่เกี่ยวข้องกับการแยกกันของหยินหยาง แต่ระหว่างกระบวนการเกิดขึ้นของศิลาวิเศษชนิดนี้ กลับมีช่วงที่หยินหยานรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว สายแร่ทั้งสองของสำนักเขาไร้พรมแดนและที่แห่งนี้แห้งเหือดต่อเนื่องกัน นั่นเป็นเพราะว่าวิธีขุดศิลาวิญญาณลึกล้ำของพวกท่านเป็นการใช้พลังอันแข็งแกร่งขุดเปิดอย่างบ้าคลั่ง”
“เพื่อที่จะโต้ตอบพลังความร้อนรุนแรงที่มาจากภายนอกนี้ ชีพจรดินภายใต้ที่ตั้งของแหล่งแร่จึงสร้างความหนาวเย็นขึ้นเองเพื่อปรับความสมดุล หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พลังของความหนาวเย็นจะทำลายแก่นแร่ไปตามกาลเวลา ดังนั้นศิลาวิญญาณลึกล้ำอันเป็นผลผลิตจากสายแร่นับวันก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ จนแห้งเหือดไปในที่สุด”
เขาอธิบายอย่างฉะฉาน คล่องแคล่วทั้งยังเป็นขั้นเป็นตอน “พวกท่านอาจจะค้นพบการเปลี่ยนแปลงหยินหยาง ร้อนหนาวของพลังปราณโดยรอบสายแร่ แต่ไม่แน่ชัดถึงหลักการเกิดที่แฝงอยู่ของศิลาวิญญาณลึกล้ำ ดังนั้นจึงไม่ได้คิดโยงถึงด้านนี้”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสเสวียนสือเท่านั้น ซานสือเวิงและผู้อาวุโสจั่วก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดเช่นเดียวกัน
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ผู้อาวุโสจั่วจึงเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นแล้วเจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “นั่นคงทำให้ท่านผู้อาวุโสต้องหัวเราะเยาะเสียแล้ว ตั้งแต่ยังเยาว์วัย งานอดิเรกของข้าคือการศึกษาทฤษฎียุ่งเหยิง ชอบเสาะหาตำราโบราณมาอ่าน ศึกษาอักษรโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลุ่มหลงในซากวัตถุโบราณก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ในอดีตก็เป็นเช่นนี้ กระทั่งถึงขั้นฝึกฝนวรยุทธ์ล่าช้าไปบ้าง ทำให้ท่านผู้อาวุโสสำนักข้าไม่พอใจนัก”
“กล่าวเช่นนี้แล้วเป็นไปได้ว่าอาจจะล่วงเกินไปบ้าง เพียงแต่ว่าท่านผู้อาวุโสหลายท่านควรจะรับรู้ไว้ ว่าพลังวิญญาณลึกล้ำไม่ใช่ท่านปรมาจารย์ก่อตั้งสำนักของท่านเป็นผู้สร้างแต่อย่างใด”
หนึ่งในรากฐานการก่อตั้งสำนักของเขาไร้พรมแดน พลังวิญญาณลึกล้ำ ก็เป็นคัมภีร์วิชาวรยุทธ์ที่มีอยู่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักเขาไร้พรมแดนได้รับคัมภีร์ส่วนหนึ่งในฉบับที่ไม่สมบูรณ์ เขาศึกษา ค้นคว้า ฝึกฝน และเสริมเติมจนได้รูปแบบใหม่ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นพลังวิญญาณลึกล้ำในปัจจุบัน
คัมภีร์วรยุทธ์วิชาที่ไล่เลี่ยกันมากมายในโลกแปดพิภพปัจจุบันนี้ ล้วนแล้วแต่มีความเป็นมาเช่นนี้ เพียงแต่ว่าพลังวิญญาณลึกล้ำที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักเขาไร้พรมแดนได้รับในตอนแรกนั้นค่อนข้างสมบูรณ์
เพราะฉะนั้นพลังวิญญาณลึกล้ำในปัจจุบัน กับบทความโบราณก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่จึงยิ่งใกล้เคียงกัน
แต่ไหนแต่ไรเขาไร้พรมแดนกลับก็ไม่กล้าเอ่ยถึงจุดนี้ ซานสือเวิงจึงผงกศีรษะทันที “ไม่ผิดนัก”
เขามองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ “ความหมายที่เจ้ากล่าวก็คือ เจ้าได้รับพลังวิญญาณลึกล้ำที่สมบูรณ์ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่แล้วอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าจัดระเบียบหนังสือที่หลงเหลือและตำราโบราณ สิ่งที่ได้รับก็คือข้อมูลข่าวสารบางอย่างของสำนักมหาวิญญาณก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่”
ก่อนวิกฤตการณ์ใหญ่มีขุมกำลังที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่นามว่า ‘สำนักมหาวิญญาณ’ ซึ่งพลังวิญญาณลึกล้ำก็เคยเป็นวิชาวรยุทธ์ของสำนัก
ชายหนุ่มกล่าวว่า “ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ผู้คนภายในสำนักมหาวิญญาณฝึกฝนพลังวิญญาณลึกล้ำ โดยเริ่มอาศัยศิลาวิญญาณลึกล้ำแล้ว และก็มีการศึกษาทดลองเกี่ยวข้องกับสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำในนั้นเป็นของตนด้วยเช่นกัน ข้าด้อยความสามารถนัก แต่ข้ากล้าที่จะเสนอตัวเองมาเขานิมิตเมฆครั้งนี้ แน่นอนว่าไม่พูดเหลวไหลมั่วซั่วเป็นแน่”
เขากล่าวพลางยิ้มเล็กน้อย “ความเสียหายที่มีต่อสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำอันเกิดจากชีพจรดินอันหนาวเย็น เป็นสิ่งที่สั่งสมมาเป็นแรมวันแรมเดือน ยามปกติอาจจะรู้สึกได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ภายใต้สถานการณ์ขณะนี้ที่แก่นแร่ได้ถูกทำลายการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แท้จริงแล้วก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน”
“คนของสำนักท่านก่อนหน้านี้ไม่ได้ตระหนักถึงปัญหาด้านนี้ บางทีอาจจะไม่ทันได้ระมัดระวัง แต่บัดนี้ได้รับรู้ถึงเรื่องราวแล้ว เช่นนั้นการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนโดยมีแก่นแร่เป็นเป้าหมาย ข้าเชื่อว่าจะสามารถค้นพบได้ว่าคำพูดของข้านั้นไม่เป็นเท็จ”
พอเยี่ยนจ้าวเกอกล่าวจบ เขาก็ยิ้มเล็กน้อยพลางปิดปากเงียบ มือทั้งสองไพล่ไว้ด้านหลัง ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน
หลังจากผู้อาวุโสเสวียนสือนิ่งเงียบไปเล็กน้อย เขาก็กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าจะลงไปดูเสียหน่อย”
ซานสือเวิงผงกศีรษะเบาๆ
จี้ฮั่นหรูและศิษย์เขาไร้พรมแดนคนอื่นๆ อึดอัดและอับอายอยู่บ้างชั่วขณะหนึ่ง
พวกเขาคาดหวังว่าความเป็นจริงจะสามารถยืนยันได้ ว่าเยี่ยนจ้าวเกอกำลังพูดจาเหลวไหล มิเช่นนั้นครั้งนี้พวกเขาคงจะขายหน้ายิ่งนัก
เพราะผู้ที่วางเพลิงจนกระทั่งเป็นภัยต่อสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำ ตนล้วนมีส่วนเกี่ยวพัน
คนของเขากว่างเฉิงกลับกลายเป็นคนช่วยเหลือดับเพลิง ก่อนหน้านี้คนของสำนักตนถูกเล่นงาน ไม่เพียงแต่จะถูกเล่นงานเสียเปล่าแล้ว กลับยังต้องกล่าวขอบคุณกล่าวขออภัยกับอีกฝ่ายอีกต่างหาก
ถูกโจมตีด้วยฝ่ามือแล้วยังต้องยิ้มเข้าสู้ นี่ไม่ใช่วลีที่ว่า ‘ไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้วยังรู้สึกอึดอัดใจ’ หรอกหรือ
ผู้อาวุโสจั่วจ้องเยี่ยนจ้าวเกอเขม็ง “หากจริงดังเจ้าว่า สำนักข้าก็ต้องขอบคุณมิตรจิตมิตรใจของสำนักของเจ้า อย่างไรก็ดีความลับระดับนีก็ยังไม่มีผู้ใดรับรู้ แม้มีผู้จุดเพลิงก็ด้วยความไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง”
“กฎเกณฑ์ไม่อาจอะลุ่มอล่วย เรื่องที่เกิดขึ้นบนเขตแดนเขาไร้พรมแดนข้า ย่อมมีการจัดการตามกฎเกณฑ์ของสำนัก ต้องให้ผู้อื่นเข้ามาแทรกเมื่อไรกัน”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “หากเวลานั้นทันกาล ข้าก็อยากจะรอศิษย์พี่ทุกท่านรีบมาจัดการ แต่เวลานั้นคับขัน ข้ารอจนกระทั่งต้องละลาบละล้วงแล้วขอรับ”
ดวงตาผู้อาวุโสจั่วหรี่ลง ฟู่เอินซูที่อยู่ด้านข้างกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “จั่วเฉิง เจ้าคิดจะจับผิดอย่างนั้นหรือ”
“หากเจ้าไม่อยากเสียหน้า เช่นนั้นพวกเราก็พูดกันดีๆ เถอะ”
“พวกข้าเพิ่งเข้ามาถึงที่นี่ก็มีคนก่อเรื่อง ทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ” คิ้วเรียวสวยของฟู่เอินซูค่อยๆ เลิกขึ้น “เจ้าทำเหมือนว่าข้าเขลาเบาปัญญา ทั้งยังทำเหมือนว่าเขากว่างเฉิงของข้ารังแกได้ง่ายอย่างใช่หรือไม่”
สีหน้าอารมณ์ของผู้อาวุโสจั่วชะงักนิ่ง “ฟู่เอินซู…”
ไม่รอให้เขากล่าวจบ ซานสือเวิงยกฝ่ามือขึ้น กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ทั้งหมดนั้น รอเสวียนสือกลับมาก่อนค่อยว่ากันอีกครั้ง”
ผู้อาวุโสจั่วมองซานสือเวิงแวบหนึ่ง อีกฝ่ายสบตากับเขาด้วยความสงบนิ่ง
ซานสือเวิงที่ดูเหมือนค่อยๆ ชราลงแล้ว น้อยนักจะออกความคิดเห็น ทั้งๆ ที่เป็นผู้ที่อาวุโสมากที่สุด และระดับการฝึกฝนสูงที่สุดในบรรดาผู้อาวุโสทั้งสามท่าน ณ พื้นที่เขาไร้พรมแดนนี้
ผู้อาวุโสจั่วละสายตากลับมา แล้วนิ่งเงียบต่อไป
กระนั้นชั่วขณะหนึ่ง ผู้อาวุโสเสวียนสือก็กลับมา เขาผงกศีรษะไปทางซานสือเวิงกับผู้อาวุโสจั่วด้วยสีหน้าหนักแน่นจริงจัง
ไม่จำเป็นต้องพูดกล่าวใดๆ เพียงแค่เห็นสีหน้าของเขา เบื้องหน้าจอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนคนอื่นๆ ก็ล้วนดำมืด
จี้ฮั่นหรูปิดเปลือกตาด้วยความทุกข์อยู่บ้าง กัดฟันกรอดจนคล้ายกับมีโลหิตไหลซึมออกมาจากเหงือก
……….