ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 94 เหตุผลที่ชอบรากวิญญาณประเภทนี้
บทที่ 94 เหตุผลที่ชอบรากวิญญาณประเภทนี้
ลู่เฉินกลับมามีสติอีกครั้งจึงเอ่ยออกมาว่า “รอก่อน!”
จากนั้นลู่เฉินก็ดูดเอากระดูกภูตพรายออกมาจากร่างกายของเขา
เมื่อกระดูกภูตพรายถูกดึงออก มันก็เผยให้เห็นด้ามโครงสีดำที่สั่นไหวไปมา ท่าทีคล้ายต้องการจะหนีออกไปจากที่แห่งนี้
หลันเย่าที่นั่งอยู่ตกตะลึงทันทีที่เห็นสิ่งนี้ “นี่… นี่มันบ้าอันใด! เหตุใดกระดูกสีดำ ๆ นี้จึงอยู่ในร่างข้า แล้วมันยังขยับไหวได้อีก!!!”
“มันคือกระดูกภูตพราย!” ลู่เฉินตอบ
“อันใดนะ? กระดูกภูตพราย?”
“นี่คือสิ่งที่อาศัยอยู่ในร่างกายของเจ้า!”
เมื่อได้ยินดังนั้น …สีหน้าของหลันเย่าพลันเปลี่ยนไปทันที “สิ่งนี้เข้าไปอยู่ในกายข้าตอนไหนกัน?!”
ลู่เฉินไม่ตอบ ทว่าก้าวเข้าไปใกล้กระดูกสีดำนั้น
ภาพตรงหน้าของชายหนุ่มตอนนี้คือกระดูกภูตพรายที่ปะทะเข้ากับค่ายกล ก่อนจะกระเด็นออกมา!
ลู่เฉินจ้องมันด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้ามีสตินึกคิดของตนเอง!”
กระดูกภูตพรายนี้ดูโมโหยิ่ง มันพลันกระโจนเข้าไปในร่างของลู่เฉิน พยายามคุกคามร่างกายของเขา และส่งเสียงขู่เตือนออกมาจากภายในว่า “ข้าผู้นี้จะอาศัยอยู่ในรากวิญญาณของเจ้า!”
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่ารากวิญญาณของข้าอยู่ที่ใด?” ลู่เฉินเอ่ยถาม
ทันใดนั้น กระดูกภูตพรายก็ต้องพบกับสิ่งน่าประหลาด แม้มันจะพยายามวนเวียนอยู่ภายในกระแสเลือด ทว่าสุดท้ายก็หาอันใดไม่เจอ “เจ้า… เหตุใดเจ้าจึงไม่มีรากวิญญาณ!”
“ไม่ใช่ไม่มี แต่มันแข็งแกร่งจนเจ้าไม่สามารถสัมผัสได้!” คำพูดของลู่เฉินทำให้กระดูกภูตพรายร้อนใจขึ้นมาและอยากจะออกไป
ทว่าลู่เฉินที่เห็นสิ่งนี้กับเผยยิ้มเย็นชา เขาพูดเสียงเรียบว่า “เมื่อเข้ามาแล้ว… เช่นนั้นก็ไม่ต้องออกไป!”
“เจ้า… เจ้าต้องการอะไร?”
“บอกมา เหตุใดเจ้าจึงคอยอาศัยอยู่ในร่างกายของคนตระกูลหลัน!” ลู่เฉินรู้ดีว่ากระดูกภูตพรายมักสิงสู่ในร่างของมนุษย์ที่มีรากวิญญาณระดับสูง กับอีกประการคือ… คนในตระกูลหลันมักมีอาการ ‘ป่วย’ เช่นนี้ นั่นหมายความว่ากระดูกภูตพรายชอบรากวิญญาณของพวกเขามาก!
ดังนั้นลู่เฉินจึงต้องการรู้ว่ารากวิญญาณของตระกูลหลันกับผู้อื่นแตกต่างกันเช่นไร รวมทั้งพันธมิตรรากวิญญาณนั่นด้วย เหตุใดคนพวกนั้นจึงต้องการรากวิญญาณของหลันเย่า?!
แต่กระดูกภูตพรายยังคงดื้อดึง “ข้า… ทำไมข้าถึงต้องบอกเจ้า?”
“เจ้าอยากลองเผชิญคำสาปภูตหรือไม่?”
กระดูกภูตพรายไม่รู้ว่าคำสาปภูตที่ลู่เฉินพูดถึงคือสิ่งใด ดังนั้นมันจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงโมโห
“ข้าไม่กลัว!”
“โอ้? จริงนะ? เช่นนั้นย่อมได้! เจ้าจงค่อย ๆ สัมผัสกับมันแล้วกัน!”
ลู่เฉินทอดกายลงนั่งและค่อย ๆ หลับตาลง ในขณะที่กระดูกภูตพรายซึ่งถูกขังไว้ภายในร่างกายของลู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงการกระทำแปลก ๆ นี้ของชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะท่องคาถาที่มีภาษาแปลก ๆ ออกมา!
จากนั้นกระดูกภูตพรายก็พลันถูกโซ่ตรวนภูตผีพันล้อมไว้ ทำให้มันเจ็บปวดมากจนร้องตะโกนออกมา “เร็ว! รีบ… รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
“อยากให้ข้าปล่อยเจ้ารึ เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้าให้ความร่วมมือหรือไม่?!”
“เจ้าคิดจะทำอันใด?”
“เชื่อฟัง และตอบคำถามข้า!”
“เชื่อฟังเจ้า? หมายความเช่นไร? กระดูกภูตพรายถามด้วยความสงสัย แต่ลู่เฉินกลับแสยะยิ้มออกมา “ข้าต้องการประทับตราภูตผีลงบนร่างของเจ้า!”
“ประทับตราภูตผี? เจ้า เจ้าสามารถทำเป็นได้เช่นไร!” กระดูกภูตพรายร้อนใจขึ้นมา เพราะมันรู้ดีว่าตราประทับภูตผีเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงการควบคุมชนิดหนึ่ง เมื่อถูกประทับ ตัวมันจะไม่สามารถทรยศอีกฝ่ายได้ และยังต้องเชื่อฟังอีกฝ่ายด้วย
กระดูกภูตพรายจึงกระวนกระวายขึ้นมา
“เจ้าไม่จำเป็นต้องถามข้าว่าเหตุใดข้าจึงทำได้ เจ้าแค่เลือกมาว่าตกลงหรือไม่… ถ้าหากไม่ ข้าก็จะทำลายเจ้าทันที แต่ถ้าเจ้าตกลง ข้าก็จะประทับตราให้เจ้า!”
เมื่อได้ฟังดังนั้น กระดูกภูตก็พลันตื่นตระหนกขึ้นมา
ลู่เฉินแสยะยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าจะให้เวลาเจ้าสิบลมหายใจ!”
จบประโยคนั้น กระดูกภูตพรายก็กระวนกระวายใจ “ข้าตกลง!”
“เช่นนั้นก็จงปล่อยใจให้สบาย อย่าต่อต้าน”
จากนั้นลู่เฉินก็นำอักขระยันต์แสงทองออกมา และวางไว้บนหน้าผากของอีกฝ่าย หลังจากนั้นลู่เฉินจึงเก็บโซ่ตรวนกลับมาพลางเอ่ยว่า “ออกมาได้แล้ว!”
กระดูกภูตพรายรีบออกมาจากภายในร่างกายของลู่เฉินทันที มันจ้องมายังลู่เฉินพลางถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงสามารถฟังภาษาของข้าเข้าใจ!”
“ไม่ใช่แค่ภาษาภูตผีเท่านั้น แต่ภาษาแมลง ภาษาสัตว์อสูร ภาษาปีศาจ หรือภาษาอื่นข้าก็ฟังรู้เรื่อง” ลู่เฉินผ่านการฝึกฝนมาแล้วหลายชีวิตหลายชาติภพ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะสามารถทำได้
แต่กระดูกภูตพรายไม่รู้เรื่องนี้ มันจึงรู้สึกประหลาดใจนัก
“มาพูดถึงเรื่องของเจ้าดีกว่า บอกข้ามาว่าเสียดี ๆ ว่าเหตุใดจึงเล็งเป้าไปที่ตระกูลหลัน!!” ลู่เฉินว่าพลางค่อย ๆ นั่งทอดกายลงข้าง ๆ หลันเย่าที่ไม่ขยับกายใด ๆ
“รากวิญญาณของเขา มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ เพียงแค่ได้ดมกลิ่นนี้ทุก ๆ วัน ข้าก็จะรู้สึกสบายและฝึกฝนได้รวดเร็วขึ้น!” กระดูกภูตพรายอธิบาย
“กลิ่นหอม?”
“ใช่ เป็นกลิ่นหอมที่ประหลาดมาก!”
หลังได้ยินเช่นนั้น ลู่เฉินจึงเดินไปข้าง ๆ รากวิญญาณและหยิบมันขึ้นมา ทว่าเมื่อสัมผัสมันครู่หนึ่ง เขาก็ไม่อาจรู้สึกถึงความพิเศษอันใดได้เลย “เหตุใดข้าจึงสัมผัสมันไม่ได้”
“มีเพียงกระดูกภูตพรายเช่นพวกข้าเท่านั้นจึงจะสามารถสัมผัสได้!”
“มีเพียงกระดูกภูตพรายด้วยกันเท่านั้น? เช่นนั้นแล้วสิ่งอื่นเล่า มันสามารถสัมผัสได้หรือไม่?”
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้!” กระดูกภูตพรายไม่แน่ใจ
ลู่เฉินรู้สึกแปลกใจ เขากล่าวอย่างฉงนว่า “หรือเป็นเพราะว่ารากวิญญาณที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษนี้มีในบางคน จึงเป็นเหตุให้พันธมิตรชิงรากวิญญาณลงมือ?”
นี่เป็นเพียงการคาดเดาของลู่เฉินเท่านั้น
ดังนั้นลู่เฉินจึงหยิบศิลาวิญญาณออกมาส่วนหนึ่ง จากนั้นจึงสลักอักขระยันต์บางอย่างลงไป “เจ้าจงเข้ามาซ่อนอยู่ในนี้เสียก่อน ถ้าเมื่อไหร่ข้าจำเป็นต้องใช้เจ้า ข้าถึงจะให้เจ้าออกมา”
“ขอรับ” กระดูกภูตพรายถอนหายใจและรีบเข้าไปทันที
หลังจากลู่เฉินเก็บอักขระยันต์แล้ว เขาก็เดินไปข้าง ๆ หลันเย่า
หลันเย่าไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่พวกเขาคุยอะไรกัน ดังนั้นสีหน้าจึงเต็มไปด้วยความสงสัย “เมื่อครู่นี้พวกท่านพูดภาษาอะไรกัน!”
“เจ้ายังมีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้หรือ ไม่สู้เจ้าเอาเวลาไปคิดเรื่องจะหลอมรวมรากวิญญาณเช่นไรยังจะดีกว่า”
“อะไรนะ? มีปัญหางั้นหรือ?”
“ขั้นตอนการหลอมรวมนั้นอาจยากลำบากบ้าง ทางที่ดีเจ้าควรเตรียมใจไว้”
หลันเย่าร้อนใจทันที “เหตุใดจึงอาจเกิดปัญหา?”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
“ท่าน… ตอนแรกท่านไม่ได้บอกแบบนี้!” หลันเย่าหวาดกลัว แต่ลู่เฉินไม่มีโอกาสให้เขาเลือก และหลังจากที่วางมันไว้บนไหล่ของอีกฝ่ายแล้ว ชายหนุ่มก็พลันปล่อยกระแสพลังปราณสีดำเข้าไป
กระแสพลังปราณสีดำนี้แปลงกายเป็นรูปมือ ก่อนจะยัดรากวิญญาณเข้าไปภายใน
และเป็นเพราะหลันเย่าไม่สามารถขยับได้ ถ้าไม่เช่นนั้น… ป่านนี้เขาคงลุกหนีไปแล้ว!
แต่ถึงจะขยับไม่ได้ ทว่าเขาก็ยังคงตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาไหลอาบสองแก้ม เหงื่อผุดพรายออกมาทั่วทั้งหน้าผาก
“เป็นชายอกสามศอกแท้ ๆ เหตุใดจึงขี้แยนัก?!”
“ข้า…” อันที่จริงหลันเย่าก็ไม่อยากเป็นเช่นนั้น ทว่าน้ำตาก็ยังคงไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้อยู่ดี!
จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ลู่เฉินจึงใช้ ‘คาถาผนึกงาน’ บนไหล่ ทำให้ไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่ารากวิญญาณของเขาเป็นเช่นไร
ส่วนหลันเย่าน่ะหรือ? …จนป่านนี้เขาก็ยังคงน้ำตาไหลไม่หยุดอยู่ดี!
จนกระทั่งลู่เฉินดึงเข็มออก และเมื่อยังคงเห็นอีกฝ่ายร้องไห้อยู่ ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้ว “ไม่เจ็บแล้ว เหตุใดเจ้ายังร้องไห้ไม่หยุดอีก?”
“ไม่ ไม่เจ็บแล้วหรือ?” หลันเย่ามองสำรวจตัวเองจึงรู้ว่าไม่เจ็บปวดแล้วจริง ๆ เขาจึงรีบลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาในขณะนี้นั้นกลับมาฟื้นคืนสมบูรณ์ดังเดิมแล้ว!
ไม่เพียงเท่านั้น หลันเย่ายังสัมผัสได้ว่าเลือดสีดำที่อยู่ภายในร่างกาย… บัดนี้มันก็ได้หายไปแล้ว!
“นี่ นี่…” หลันเย่าตกตะลึงทั้งน้ำตาที่ยังคลอเบ้า
ทว่าลู่เฉินก็เพียงแค่หมุนตัวออกมา ก่อนจะปิดค่ายกลและจากไป
หลันเย่าที่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไปทันที “ผู้อาวุโส ท่าน ท่านจะไปไหน?”
“ข้ามีเรื่องต้องจัดการ”
“เรื่องอันใด?”
“หาคนมาแลกเปลี่ยนฝีมือ”
“แลกเปลี่ยนฝีมือ?”
ลู่เฉินพยักหน้า ซึ่งการตอบรับเช่นนี้ก็ทำให้หลันเย่าฉงนใจเข้าไปใหญ่ เขาสงสัยว่าแท้จริงแล้วลู่เฉินเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ใช่หรือไม่?
คล้ายลู่เฉินจะเพิ่งคิดอะไรบางอย่างออก จึงมองไปทางหลันเย่าแล้วเอ่ยว่า “ข้าช่วยเจ้าแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็คงต้องตอบแทนข้าสักหน่อย ถูกหรือไม่?”
“ท่านพูดมา ท่านต้องการอันใด ข้าจะมอบให้ท่านทุกอย่าง!” หลันเย่าว่าพลางหยิบถุงสุญญะญาณของตัวเองออกมา ก่อนจะเปิดออกดูว่าภายในนั้นมีของดีอะไรที่สามารถมอบให้ลู่เฉินได้บ้าง