ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 93 เลือดสีดำหล่อหลอมกลายเป็นกระดูกภูตพราย
บทที่ 93 เลือดสีดำหล่อหลอมกลายเป็นกระดูกภูตพราย
ลู่เฉินชี้ไปยังผืนป่าที่อยู่ด้านหลัง “เจ้าต้องอยู่ฝึกฝนที่นี่ จนกระทั่งแก่นหทัยพฤกษาควบแน่นไปถึงขั้นสิบ ข้าจะกลับมาหาเจ้า!”
“หา… ขั้นสิบ?”
ฮวาหลิงมู่เบิกตากว้าง
แค่เพียงขั้นที่หนึ่ง ฮวาหลิงมู่ก็ใช้เวลาร่วมหลายเดือน ตอนนี้ต้องไปถึงขั้นสิบ นี่นางต้องใช้เวลากี่ปีกันเชียว?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฮวาหลิงมู่ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา “แต่ว่า! มันนานเกินไป!”
“หากฝึกฝนอยู่ที่นี่ ฝึกฝนเพียงครั้งเดียวแต่ได้ผลลัพธ์ทวีคูณ มันย่อมย่นเวลาเจ้าลงไม่น้อย” ลู่เฉินปลอบ
ไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มยังนำกระบี่ไม้วิญญาณที่แก่ชรามอบให้ฮวาหลิงมู่
ซึ่งตัวฮวาหลิงมู่รู้ดีว่านี่คือท่านปู่ ดังนั้นนางจึงรับมาด้วยสีหน้าหดหู่เล็กน้อย “ท่านบอกว่าจะมอบของล้ำค่าให้ ยังไม่เห็นทำตามสัญญาเลย!”
“ข้าจะหามาให้เจ้า เจ้าวางใจเถอะ” ลู่เฉินรู้ว่ามีสมบัติวิญญาณอยู่ แต่ถ้าหากอีกฝ่ายเพิ่มขั้นพลังให้สูงกว่านี้ไม่ได้ นางก็ไม่อาจควบคุมสมบัติชิ้นที่ว่าได้ ดังนั้นลู่เฉินยังคงกล่าวปลอบนางอยู่ที่นั่น
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราเองก็พยายามโน้มน้ามเช่นกัน
ก่อนที่ลู่เฉินจะจากไปนั้น เขาได้หันไปสั่งการกับผีเสื้อวิญญาณว่า “ความปลอดภัยของนางเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว!”
“ไม่มีปัญหา!” ผีเสื้อวิญญาณขานรับด้วยความเต็มใจ
ลู่เฉินจึงหมุนตัวเดินออกไป
ฮวาหลิงมู่ไม่เต็มใจนัก นางยังคงจ้องมองแผ่นหลังของลู่เฉินและตะโกนออกมา “พี่ใหญ่”
ทว่าคล้ายไม่ได้ยิน ลู่เฉินยังคงเดินต่อไปไม่หยุด ส่วนฮวาหลิงมู่ นางก็ยังคงพูดต่อ “ท่านต้องมาหาข้าบ่อย ๆ นะ!”
ลู่เฉินโบกลา เขาไม่แม้แต่จะหันหลังไปมอง ก่อนที่ร่างจะค่อย ๆ ห่างออกไปจนลับตา ส่วนหลันเย่า ชายหนุ่มผมฟ้าผู้นี้ก็ได้ติดตามลู่เฉินไปด้วย
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราเอ่ยขึ้นมาว่า “ไปเถอะ เข้าไปฝึกฝนด้านในกัน!”
ฮวาหลิงมู่ถือกระบี่ไม้ในมือแน่น “ท่านปู่ ท่านบอกข้าที เมื่อไหร่ข้าจึงจะสามารถไปถึงขั้นที่สิบได้”
“ถ้าหากใจพยายาม ไม่ต้องถึงสิบปี อาจจะแค่หนึ่งถึงสองปีก็สามารถไปถึงได้แล้ว” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรามองไปยังไอวิญญาณพฤกษาที่หนาแน่นรอบ ๆ
หลังฮวาหลิงมู่ทราบว่าเพียงหนึ่งถึงสองปีก็อาจสำเร็จได้ แรงบีบกระบี่ในมือของนางพลันเบาลง ก่อนจะพูดว่า “ภายในหนึ่งหรือสองปีนี้… ข้าจะฝึกให้สำเร็จให้ได้!”
ครั้นพูดจบ ฮวาหลิงมู่ก็เดินเข้าไปในป่าเพื่อเริ่มการฝึกฝน
…
หลันเย่ารีบตามลู่เฉินไป พลางถามด้วยความกังวลใจว่า “ท่านจะปล่อยเด็กสาวผู้นั้นไว้ที่นั่นจริง ๆ หรือ?”
“ทำไมถึงจะไม่ได้?”
“แต่ที่นั่นคือพื้นที่หวงห้ามของเขตที่หกนะ!”
“มีผีเสื้อวิญญาณอยู่ นางจะคอยปกป้องและรักษาความปลอดภัยให้ฮวาหลิงมู่เอง” จบประโยคของลู่เฉิน หลันเย่าฟังแล้วก็คิดว่ามีเหตุผล แต่เมื่อนึกถึงอายุของฮวาหลิงมู่ที่มีเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น เขาก็พลันรู้สึกว่ามันดูใจร้ายเกินไป “ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าสงสารเสียจริง!”
น่าสงสาร?
ลู่เฉินรู้ว่าถ้าหากไม่ทำเช่นนี้นางก็คงเติบโตได้ช้า โดยเฉพาะลักษณะร่างกายที่เป็นเอกลักษณ์ของนาง ซึ่งจำเป็นต้องใช้ไอวิญญาณพฤกษาที่มีความหนาแน่นมากในการฝึกฝนจึงจะสามารถสำเร็จได้
แต่หลันเย่าไม่เข้าใจ ยังคงคิดว่าลู่เฉินเป็นชายเลือดเย็นคนหนึ่ง!
ดังนั้นหลันเย่าจึงคอยถามเซ้าซี้อยู่ข้างกายตลอดเวลา
จนกระทั่งเดินทางมาได้พักหนึ่ง จู่ ๆ ลู่เฉินก็หยุดเดินและจ้องมองไปยังหลันเย่า
การกระทำนี้ทำให้หลันเย่ารู้สึกชาไปทั้งตัว พลางเอ่ยอย่างตะกุกตะกะว่า “ท่าน ท่านจะทำอะไร?”
“พิจารณาดูหรือยัง?”
“พิจารณา?”
“เอารากวิญญาณออกมา ขจัดเลือดประหลาดพวกนั้น แล้วหลอมรวมกลับไป!” ลู่เฉินอธิบายสั้น ๆ แต่เมื่อหลันเย่าได้ฟัง เขาก็ถามด้วยความตื่นเต้นว่า “เมื่อเอาออกมาแล้ว สามารถนำกลับไปหลอมรวมกันได้อีกครั้งหรือ?”
“หากเชื่อข้าก็จงฟังข้า ทว่าหากไม่เชื่อข้า เช่นนั้น… ตอนนี้ข้าก็จะไปแล้ว เพราะข้าเองก็มีธุระมากมายเช่นกัน” การที่ลู่เฉินพูดเช่นนี้ทำให้หลันเย่าร้อนใจยิ่ง “ให้ข้าไตร่ตรองดูได้กี่วัน?”
“ตอนนี้ ข้าให้เวลาครึ่งก้านธูป หากครบกำหนดแล้วยังตัดสินใจไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะไป” ลู่เฉินไม่คิดเสียเวลากับเรื่องนี้นานเกินไป เขาจึงพูดไปเช่นนั้น
ทางด้านหลันเย่า เมื่อเขาได้ฟัง สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปทันที “ต้องรีบร้อนขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“เอาล่ะ ข้าจะพักผ่อนเสียหน่อย เจ้าก็ค่อย ๆ พิจารณาไปแล้วกัน” ลู่เฉินไม่สนใจกับอาการว้าวุ่นใจของอีกฝ่าย เขาเดินหาต้นไม้ใหญ่เพื่อเอนกายพักผ่อน จากนั้นจึงหลับตาทั้งสองข้างลงและใช้เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณ
ลู่เฉินที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานนั้น ตอนนี้เมื่อใช้เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณ เขตพื้นที่ซึ่งเขาสามารถรับรู้และควบคุมก็ได้ขยายออกไปอีกกว่าหกจั้งเศษ
ดังนั้นสถานการณ์ภายในระยะหกจั้งนี้ ลู่เฉินจึงสามารถรับรู้ได้ทั้งหมด!
“ที่นี่ แมลงชุกชุมเสียจริง!”
เมื่อเห็นแมลงบินไปบินมาทั่วทุกพื้นที่ ลู่เฉินก็ได้แต่แปลกใจว่าเหตุใดแดนวิญญาณเขตที่หกนี้จึงมีแมลงเยอะมากมายนัก!
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ผีเสื้อวิญญาณ นางก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองมาที่นี่ได้อย่างไร ดังนั้นลู่เฉินก็ยิ่งไม่รู้ และเขาก็ทำได้เพียงแค่ให้ความสนใจกับบริเวณรอบ ๆ นี้เท่านั้น
สำหรับหลันเย่า เขาดูกระวนกระวายมาก ถึงขนาดหยิบดอกไม้จากอีกด้านหนึ่งมาแล้วก็เด็ดกลีบมันทิ้ง
“ตกลง”
“ไม่ตกลง..”
….
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง บนพื้นก็เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ แม้แต่หลันเย่าก็ไม่รู้ว่าตนเด็ดดอกไม้ไปมากแค่ไหน
แต่ลู่เฉินที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับลุกขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “พิจารณาแล้วหรือยัง?”
“ข้า!” สีหน้าของหลันเย่าเต็มไปด้วยความกังวล
“เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป เจ้าก็จะไม่มีโอกาสอีก ดังนั้นจงคิดให้ดี!”
จบประโยคของลู่เฉิน ภายในใจของหลันเย่าก็ร้อนใจขึ้นมา
“ถ้าไม่อยากถูกชายชุดดำพวกนั้นปล้นรากวิญญาณไป เจ้าก็จงทำตามที่ข้าบอก”
หลันเย่าถึงกับตกตะลึง “มันเกี่ยวพันอันใดกับพันธมิตรชิงรากวิญญาณพวกนั้น?”
“ข้ามีวิธีทำให้หลังจากรากวิญญาณหลอมรวมเข้ากันในร่างกายของเจ้า มันจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถรู้ได้ว่ารากวิญญาณของเจ้าเป็นประเภทใด! เช่นนี้แล้ว ก็ไม่แน่ว่าพันธมิตรชิงรากวิญญาณจะไม่สามารถนำรากวิญญาณของเจ้าไปได้!”
คำพูดของลู่เฉินดึงดูดความสนใจของหลันเย่ายิ่งนัก ดั่งน้ำหวานอันหอมหวนหลอกล่อหมู่ภมร
โดยเฉพาะหลันเย่าที่หลบหนีอยู่ที่นี่มานานนับสิบปี!
เขารีบพูดออกมาโดยไม่ลังเลว่า “วิธีอันใด ท่านรีบพูดมา!”
“แค่พูดเช่นนี้ เจ้าก็ตกลงแล้ว?”
“ตกลง ข้าตกลงแล้ว มาเถอะ!” หลันเย่าอดใจรอแทบไม่ไหว
ลู่เฉินที่เห็นดังนั้นจึงพยักหน้า “ข้าจะต้องจัดวางค่ายกลไว้บริเวณโดยรอบ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมารบกวนเราได้เสียก่อน!”
“ค่ายกล? ท่านวางค่ายกลได้?” หลันเย่ารู้สึกแปลกใจขึ้นมา
ทว่าลู่เฉินไม่ได้อธิบายอะไร เขาเลือกใช้การกระทำแทนคำตอบ
หลังจากนั้น เมื่อหลันเย่าเห็นค่ายกลขนาดเล็กที่สมบูรณ์รอบกาย เขาก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “ปรมาจารย์ค่ายกลของพันธมิตรแมลงสวรรค์ของเรานั้น ยังไม่สามารถสร้างค่ายกลได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้เลย!”
“นั่งสิ!”
หลันเย่านั่งลงอย่างว่าง่าย กำลังจะเอ่ยถามลู่เฉินว่าจะเจ็บหรือไม่ แต่เข็มของลู่เฉินกลับปักลงไปบนร่างของเขาเสียก่อน ทำให้ชายผมฟ้าสูญเสียประสาทสัมผัสไป และไม่อาจแม้แต่จะกระดิกปลายนิ้วได้
“ข้า ร่างกายของข้า…” หลันเย่าหวาดกลัวขึ้นมา
“ข้าจะเริ่มแล้ว!” พูดจบ เขาก็หยิบเข็มออกมาและปักลงบนไหล่ขวาของอีกฝ่าย
ที่นี่คือตำแหน่งรากวิญญาณของหลันเย่า
และเพราะว่าสูญเสียประสาทสัมผัสไป ดังนั้นไม่ว่าลู่เฉินจะทำอันใด หลันเย่าก็ไม่สามารถรู้สึกได้ และเมื่อมือทั้งสองของลู่เฉินกางออกก็พลันเกิดเงามือสีดำขึ้น
จากนั้นเงามือสีดำคู่นี้ก็ได้หยิบเอารากวิญญาณสีฟ้าออกมา เห็นเพียงรากวิญญาณสีฟ้านี้มีจุดกะพริบส่องสว่างห้าจุด
…นี่คือรากวิญญาณธาตุน้ำห้าดาว!
หลังจากนำรากวิญญาณออกมาแล้ว ลู่เฉินจึงหยิบศิลาวิญญาณออกมาบางส่วน เขาวางมันไว้ภายใต้เงาของรากวิญญาณนี้ ก่อนจะเริ่มมองเข้าไปภายในของร่างกายหลันเย่า
ขณะนั้นหลันเย่าได้สูญเสียรากวิญญาณออกไปแล้ว เลือดสีดำภายในร่างกายจึงค่อย ๆ รวมเข้าด้วยกัน สุดท้ายมันก็หล่อหลอมเป็นเงาสีดำ!
“เป็นกระดูกภูตพรายจริง ๆ เสียด้วย!”
กระดูกภูตพราย คือกระดูกพิษชนิดหนึ่ง อาศัยรากวิญญาณในการอยู่อาศัย เมื่อขั้นพลังถึงก่อเนิดแล้ว กระดูกภูตพรายก็จะฆ่าเจ้าของร่างทิ้ง จากนั้นก็จะตามหาร่างถัดไป
แต่กระดูกพิษชนิดนี้ไม่เคยถูกพบเห็นในมหาทวีปจิ่วโหยวมาก่อน
แต่ตอนนี้กลับเกิดขึ้นกับตระกูลหลัน!
นี่จึงทำให้ลู่เฉินรู้สึกแปลกใจ เขาเอ่ยอย่างฉงนว่า “เหตุใดตระกูลหลันจึงมีกระดูกภูตพราย?”
“ผู้อาวุโส ท่านเสร็จหรือยัง?” เมื่อหลันเย่าเห็นลู่เฉินที่กำลังสับสนอยู่นั้น เขาก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา