ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 87 โอกาส? เพ้อเจ้อ!
บทที่ 87 โอกาส? เพ้อเจ้อ!
เฮยเฟิงตบหน้าอกของคนเหล่านั้น บีบกล้ามเนื้อของพวกเขา เพื่อเผยให้เห็นว่ากล้ามเนื่อแต่ละคนนั้นแข็งราวกับหินอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าเห็นไหม? หากผู้ฝึกตนเผชิญหน้ากับพวกเขาแค่หมัดเดียว เพียงเท่านี้ก็สามารถขยี้กระดูกของเจ้าได้!” เฮยเฟิงโอ้อวด
เถ้าแก่นึกหวังดี จึงได้เตือนลู่เฉินและฮวาหลิงมู่ว่า “ในเมืองไม่สามารถใช้เคล็ดวิชาได้ แต่ผู้ฝึกกายเนื้อเหล่านี้มีร่างกายที่แข็งแกร่ง ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถทำร้ายเจ้าได้อย่างง่ายดาย!”
เมื่อเฮยเฟิงได้ยินคำพูดนั้นของเถ้าแก่ เขาก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที “ข้าว่านะตู๋เหยี่ยนหลง เจ้าก็พูดมากไปเข้าใจหรือไม่?”
”ท่านผู้นำเฮย เชิญท่านจัดการต่อเถิด!” เถ้าแก่มองไปที่เฮยเฟิงด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่เฮยเฟิงแค่นเสียงหึ เขาก็ถลึงตามองไปที่ลู่เฉิน “ไอ้หนู ตอนนี้เจ้าคุกเข่าลงเสียดี ๆ และคลานโขกหัวสำนึกความผิดต่อหน้าทุกคนให้ข้าเห็น แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป ไม่อย่างนั้น…!”
”ไม่อย่างนั้นจะทำไมหรือ?” ลู่เฉินมองเขาด้วยรอยยิ้ม
เฮยเฟิงพลันฉีกยิ้มเย็นชา “ไม่อย่างนั้น ข้าจะให้เจ้าได้สัมผัสประสบการณ์การถูกทุบเหมือนกระสอบทราย!”
ทว่าลู่เฉินไม่กลัวแม้แต่น้อย เขายิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “อะไรนะ? เจ้าคิดว่าพวกเขาเพียงฝึกกายเนื้อมาเล็กน้อย ก็คิดว่าจะร้ายกาจมากงั้นหรือ?”
“ไอ้หนู หากเป็นข้างนอกข้าคงไม่สามารถรับประกันได้ แต่ในเมืองนี้ พวกเขาเป็นดั่งราชาอย่างแน่นอน!” เฮยเฟิงพูดอย่างหยิ่งยโส
หลังจากพูดจบ ชายร่างใหญ่เหล่านั้นก็กำหมัดแน่น กำปั้นขนาดใหญ่เหล่านั้นดูน่ากลัวอย่างมาก
แต่ลู่เฉินกลับมองไปที่ร้านค้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ที่นี่เล็กเกินไป ออกไปเล่นข้างนอกกันเถอะ”
”เล่น? เจ้าคิดว่าเฮยเฟิงผู้นี้มีอารมณ์จะเล่นกับเจ้าหรือ?” เฮยเฟิงถลึงตาใส่
“เช่นนั้นก็มาเถิด!” เมื่อลู่เฉินเห็นว่าพวกเขาไม่อยากออกไป จึงทำได้เพียงยื่นมือไปสะกิดท้าทาย
…คนตัวโตเหล่านั้นคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะกล้าเป็นฝ่ายยั่วยุพวกเขาก่อน
ไม่เพียงแต่คนเหล่านี้เท่านั้น เถ้าแก่และคนที่มุงดูอยู่ด้านนอกก็ยังถูกดึงดูดไปด้วย
เฮยเฟิงหัวเราะอย่างเย็นชา “สิ่งนี้จะทำให้เจ้ารู้ว่าผู้ฝึกกายเนื้อคืออันใด!”
ผู้ฝึกกายเนื้อก็คือผู้ที่ฝึกฝนร่างกายเป็นหลัก ไม่ได้ฝึกฝนพลังบ่มเพาะ ซึ่งโถงพิสุทธิ์ก็ได้ปลุกปั้นคนเหล่านี้มาโดยเฉพาะ เพื่อให้พวกเขาสั่งสอนพวกที่ไม่ดูตาม้าตาเรือในเมือง
แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ลู่เฉินจะไม่หวาดกลัวสักนิด และยังมีท่าทีพร้อมจะต่อสู้
สิ่งนี้ทำให้เฮยเฟิงโกรธเกรี้ยว เขาออกคำสั่งทันที ชายร่างใหญ่คนหนึ่งจึงเดินออกมา และคว้าแขนของลู่เฉินเอาไว้ คิดจะโยนลู่เฉินลงกับพื้น
แต่ผู้ใดจะรู้ว่ากำปั้นขวาของลู่เฉินจะกระแทกเข้าที่รักแร้ของชายร่างใหญ่อย่างรวดเร็ว
ตูม ตูม ตูม!
หมัดนั้นรัวต่อยออกไปอย่างรวดเร็ว
ทำให้ข้อต่อทั้งร่างของชายร่างใหญ่คล้ายจะหลุดออก จากนั้นเขาก็ส่งเสียงร้องทันที
ทุกคนในที่เกิดเหตุพลันตกตะลึง
“ที่นี่ห้ามใช้พลังปราณไม่ใช่หรือ?”
”เขาไม่ได้ใช้ปราณ!”
“ไม่มีพลังปราณแล้วจะออกหมัดเร็วแบบนี้ได้ยังไง?”
“กำลังหมัดล้วน? หรือว่าเขาก็เคยฝึกกายเนื้อมาก่อน?” บางคนถึงกับตาเบิกโพลง
ส่วนเฮยเฟิงเองก็เบิกตากว้างเช่นกัน “เจ้า เจ้าก็เคยฝึกกายเนื้อมาหรือ?”
ลู่เฉินเก็บหมัดของเขาแล้วมองไปยังกำปั้นที่ออกแดงเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนที่ข้าฝึกมวย พวกเจ้ายังเกิดหรือเปล่าก็ไม่รู้!”
เฮยเฟิงเริ่มร้อนใจ เขาตะโกนสั่งกลุ่มคนเหล่านั้นทันที “เข้าไปฆ่าเขาพร้อมกันเลย!”
คนเหล่านั้นพลันรีบลุกขึ้นทันใด
ทว่าลู่เฉินกลับฉีกยิ้มแล้วชักกระบี่ไม้ที่สร้างขึ้นจากต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราออกมาจากด้านหลัง ก่อนจะวาดกระบี่ออกไป
สองมือของคนเหล่านั้นถูกตัดออกทีละคน พวกเขาต่างกรีดร้องโหยหวนแข่งกัน
ทุกคนพลันตกตะลึง
แม้แต่เถ้าแก่เองก็ยังตกตะลึง “ช่างเป็นวิชากระบี่ที่รวดเร็วยิ่งนัก!”
ในขณะที่เฮยเฟิงเอ่ยออกมาด้วยความหวาดกลัวว่า “เหตุ… เหตุใดถึงยังใช้วิชากระบี่ได้?”
ลู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น “ใครเป็นคนกำหนดว่าวิชากระบี่ต้องใช้พลังปราณ?”
เฮยเฟิงตกใจจนแทบเสียสติ และรีบคลานพร้อมกับกลิ้งตัวออกไป ขณะที่ชายร่างใหญ่เหล่านั้นก็ตกใจจนทยอยกันวิ่งหนีไปด้วย
ลู่เฉินเก็บกระบี่ของเขาและฉีกยิ้มให้กับภาพตรงหน้า “ต่อให้กล้ามเนื้อจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็จัดการได้ด้วยกระบี่เดียว!”
คนที่อยู่ด้านนอกพากันอุทานออกมา
ส่วนลู่เฉิน เขาหันไปหาเถ้าแก่ผู้นั้นและฉีกยิ้ม “นี่ ศิลาวิญญาณของเจ้า!”
หลังจากเอ่ยจบ ลู่เฉินก็ขนศิลาวิญญาณออกมาสิบล้านก้อน และเถ้าแก่ก็มอบแผ่นที่หนังสัตว์ให้ลู่เฉินพลางถามด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ทราบว่าน้องชายผู้นี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร?”
“ลู่เฉิน!”
”ลู่เฉิน… ชื่อของเจ้าเหมือนกับชื่อของจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ในตอนนั้น” เถ้าแก่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ผู้ที่มุงดูอยู่ไม่มีทางเชื่อมโยงเฉินลู่กับมารผู้ยิ่งใหญ่เมื่อหนึ่งแสนปีก่อนได้เลย
รู้สึกเพียงว่าชื่อของลู่เฉินเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น
ลู่เฉินไม่ตอบ เขาเพียงยิ้มออกมาก่อนจะพาฮวาหลิงมู่จากไป
“รอยยิ้มของเขาหมายความว่าอย่างไร?” เถ้าแก่ตู๋เหยี่ยนมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความงงงวย
ทว่าบัดนี้ลู่เฉินจากไปไกลแล้ว
เมื่อเถ้าแก่ตู๋เหยี่ยนคิดแล้วคิดอีกก็นึกอะไรไม่ได้ เขาจึงไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ตัดสินใจทิ้งมันไปทันที
….
เมื่อลู่เฉินปรากฏตัวอีกครั้ง เวลานี้เขาก็มาอยู่นอกเมืองแล้ว ส่วนตู๋ซานชิงที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “โอกาสมาถึงแล้ว!”
จางเชียนมองไปรอบ ๆ และพบว่าที่นี่มีเพียงลู่เฉินและฮวาหลิงมู่เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมีชีวิตชีวาขึ้นทันที “เป็นโอกาสที่ดี!”
“ช้าก่อน ข้าจะปิดเส้นทางรอบ ๆ ส่วนเจ้า… ก็จัดการเขาเสีย!” ตู๋ซานชิงอยากจะระเบิดโทสะออกมาเสียเดี๋ยวนี้ แต่เขาพยายามข่มกลั้นไว้
”อืม!”
หลังจากที่จางเชียนรับปาก ทั้งสองก็เร่งฝีเท้าทันที
ซึ่งหลังจากที่หนานเหยารู้เรื่องนี้เข้า นางก็ได้ส่งเสียงเตือนจากในสร้อยคอว่า “เฮ้ สองคนข้างหลังกำลังจะโจมตีท่านแล้ว!”
”ข้ารู้!”
“แล้วไม่คิดหนีหรือ?” แม้ว่าหนานเหยาจะรู้ว่าลู่เฉินทรงพลัง แต่ขั้นพลังของทั้งสองคนนั้น… แม้ว่าจะถูกกดไว้ แต่ก็ยังอยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้ระดับกลาง!
ลู่เฉินพลันตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “ข้าอยากจะได้หนูทดลองพอดี!”
“หนูทดลอง?” หนานเหยางงงวย
ทว่าลู่เฉินเพียงฉีกยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเข้าไปในป่าเล็ก ๆ ตู๋ซานชิงก็ตะโกนเสียงดังว่า “ตายเสียเถอะไอ้เด็กบัดซบ!”
หลังจากพูดจบ ตู๋ซานชิงก็ปล่อยฝูงแมลงให้บินมาล้อมชายหนุ่มไว้ ทำให้ลู่เฉินและฮวาหลิงมู่หนีไปไหนไม่ได้
จางเชียนที่อยู่ข้างใน ซึ่งอยู่ห่างจากทั้งสองคนออกไปราวห้าถึงหกเก้า เวลานี้เขากำลังฉีกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ไอ้หนู เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ!”
ฮวาหลิงมู่เอ่ยอย่างเป็นกังวล “พี่ใหญ่ประหลาด พวกเขา…”
”ไม่ต้องกังวล ไม่มีอะไรหรอก” ลู่เฉินพูดอย่างเฉยเมย แต่ฮวาหลิงมู่ยังคงคิดว่าพวกเขาน่ากลัว เพราะถึงอย่างไรเสีย เดิมทีพวกเขาก็อยู่ในขั้นก่อกำเนิด และแค่ขั้นพลังนี้ก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนกลัวเกรง
ส่วนจางเชียนนั้น เมื่อเห็นว่าลู่เฉินไม่หวาดกลัว เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “เจ้าไม่กลัวหรือ?”
“เหตุใดถึงต้องกลัว?” ลู่เฉินถามกลับ
จางเชียนกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “โจวกังไม่ได้อยู่เคียงข้างเจ้าอีกต่อไปแล้ว และไม่มีธงค่ายกลอีกด้วย เจ้าคิดว่าเจ้าจะรอดจากน้ำมือของเราไปได้หรือ?”
“เจ้าคงไม่คิดว่าพอไม่มีเขา ข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอกนะ?” ลู่เฉินยิ้ม
จางเชียนคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะบ้าคลั่งเช่นนี้ เขาจึงหัวเราะเยาะแล้วเอ่ยว่า “ไอ้หนู อย่าอวดดีนักเลย เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราหรอก!”
ตู๋ซานชิงที่กำลังควบคุมแมลงเหล่านั้นก็เอ่ยว่า “ไอ้หนู พวกเรามีพลังขั้นหลอมแก่นแท้ระดับกลาง แต่เจ้า? มากสุดก็ขั้นสร้างรากฐานระดับต้น!”
“ใช่แล้ว พวกเราสูงส่งกว่าเจ้ามาก!” จางเชียนเอ่ยอย่างลำพองใจ
ลู่เฉินมองจางเชียนด้วยรอยยิ้ม “ที่เคยบาดเจ็บตอนนั้น เจ้าหายดีแล้วหรือ?”
เมื่อจางเชียนเห็นลู่เฉินเยาะเย้ยเช่นนั้น เขาก็พลันเอ่ยด้วยสีหน้าดุดัน “ที่มันเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดก็เพราะเจ้า!”
”หากไม่ระวัง ครานี้จะไม่ใช่แค่บาดเจ็บ ทว่าอาจเป็นแขนทั้งสองข้างของเจ้าเลยก็เป็นได้!” ลู่เฉินคลี่ยิ้ม
จางเชียนเคยเห็นคนบ้าดีเดือดมาก่อน แต่ไม่เคยเจอคนบ้าดีเดือดถึงเพียงนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจสะกดกลั้นโทสะได้อีก สะบัดมือส่งลูกไฟออกไปทันที!
“ไอ้เด็กบัดซบ ไปตายซะ!”
หนานเหยาพลันตกใจทันทีที่เห็นเช่นนั้น “เหตุใดท่านยังไม่หลบอีก?!”