ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 85 รากวิญญาณธาตุลมห้าดาว!
บทที่ 85 รากวิญญาณธาตุลมห้าดาว!
ลู่เฉินเพียงปรายตามองไปยังคนเหล่านั้น และพบว่าบนป้ายสัญลักษณ์มีอักษรอยู่สามตัว เป็นข้อความว่า ‘โถงพิสุทธิ์’
ชายหนุ่มไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่นั้นมาก่อน เขาจึงหันไปถามโจวกังด้วยความแปลกใจ “โถงพิสุทธิ์ คือที่ใดกัน?”
“ในช่วงหลายหมื่นปีมานี้ มันคือกองกำลังซึ่งตั้งตนอยู่ในพื้นที่อยู่อาศัยจุดแรก และมีอำนาจมาก!”
ลู่เฉินยังคงสงสัย “ภายในแดนวิญญาณมีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”
อำนาจนอกกายอย่างการใช้นามของสำนักเข้าข่ม ไม่สามารถใช้ได้ในแดนวิญญาณ เพราะผู้คนอาจจะหักหลังหรือแอบโจมตี ทำให้ทุกคนต่างไม่เชื่อใจกัน เช่นนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำให้คนพวกนั้นยากที่จะสร้างกองกำลังขึ้นมา
โจวกังกล่าวด้วยน้ำสียงเคร่งขรึม “เมื่อก่อนไม่มี แต่ช่วงหลายหมื่นปีมานี้ ทุก ๆ พื้นที่อยู่อาศัยนั้นล้วนมีขุมกำลังปกครอง แต่ว่าขุมกำลังเหล่านี้ขอเพียงแค่แลกด้วยเงิน ท่านก็จะสามารถเข้าไปยังในเมืองได้!”
“ถ้าไม่จ่ายล่ะ?”
“ไม่จ่าย ก็จะไม่สามารถเข้าไปได้ แล้วยังถูกกำจัดด้วย” โจวกังพูดด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
ขณะที่ลู่เฉินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เป็นผู้นำก็พลันโบกขวานสีดำขึ้นมา ก่อนจะปักลงไปบนพื้นดิน “ตามกฎแล้ว ทุกคนต้องจ่ายศิลาวิญญาณระดับต่ำจำนวนสิบล้านก้อน จึงจะสามารถเข้าเมืองได้!”
ครั้นพูดจบ คนพวกนั้นต่างก็ล้อมรอบลู่เฉินและคนอื่น ๆ ไว้ เห็นได้ชัดว่าต้องการให้เขาและคนอื่น ๆ จ่ายมา
ตู๋ซานชิงที่เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ไกล ๆ นั้นดีใจยิ่งนักกับภาพตรงหน้า “คนชั่วช้าย่อมเผชิญกับเรื่องชั่วช้า นับว่าสวรรค์มีตาจริง ๆ!”
จางเชียนถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ “คนของโถงพิสุทธิ์พวกนี้เก่งกาจมากนักหรือ?”
“ไร้สาระ คนพวกนี้คือผู้ปกครองของพื้นที่อยู่อาศัยจุดแรก เจ้าคิดเช่นไรล่ะ?” ตู๋ซานชิงยิ้มเยาะ
จางเชียนที่ได้ยินรู้สึกราวกับมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงเพียงเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ
ทางด้านของโจวกัง เขาได้หยิบถุงสุญญะญาณขึ้นมาอย่างว่าง่าย คิดจะหยิบศิลาวิญญาณบางส่วนออกมา แต่ลู่เฉินกลับหันไปพูดกับเขาว่า “ไม่ให้!”
“ไม่ให้?” โจวกังตกตะลึง
แต่คนจากโถงสุทธิ์กลับตกตะลึงยิ่งกว่า
ชายร่างใหญ่ที่ถือขวานเบิกตากว้าง “เจ้าหนู หลายปีมานี้ เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าพูดว่าไม่ให้!”
คำขู่นี้ทำให้โจวกังหวาดกลัวขึ้นมา
ขณะนั้นเอง ผู้คนในเมืองที่ผ่านไปผ่านมา เมื่อเห็นเหตุการณ์ด้านนอก พวกเขาต่างก็พากันมองออกมา
“เห็นหรือยัง! มีผู้มาใหม่ทำการต่อรองกับโถงพิสุทธิ์!”
“คนหนุ่มสาวพวกนี้ ไม่รู้จักประมาณตนเลย!”
“ใช่ พวกเขาไม่แม้แต่จะเกรงกลัวอำนาจของโถงพิสุทธิ์เลยสักนิด!”
ในขณะที่ผู้คนต่างก็หัวเราะเยาะกันนั้น ลู่เฉินกลับหันไปยิ้มให้ชายร่างโต “ข้าผู้นี้ ไม่เคยปล่อยให้ผู้ใดเอาเปรียบมาก่อน!”
“เจ้าลองพูดอีกครั้งซิ!” ชายหนุ่มร่างโตยกขวานเล่มหนาวางพาดไว้บนคอลู่เฉินทันที
ฮวาหลิงมู่ที่เห็นดังนั้นจึงตกใจจนคิดจะลงมือ เจี่ยลัวเองก็เช่นกัน แต่ลู่เฉินกลับหันไปพูดกับทั้งสองว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจัดการเอง!”
ส่วนโจวกัง เขาเอ่ยเตือนออกมาทั้งที่ยังหวาดกลัว “เจ้า… เจ้าอย่าได้มั่นใจไปนักเลย!”
ลู่เฉินไม่ฟัง เขาหันไปพูดกับชายร่างโตว่า “เอาขวานของเจ้าออกไป!”
“เจ้าหนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
“ข้าไม่สนใจ!”
ผู้คนในเมืองได้ยินคำพูดนั้นอย่างชัดเจน จึงได้มีบางคนเอ่ยเยาะเย้ยขึ้นมา “ไม่นานเขาต้องร้องไห้เป็นแน่!”
“ใช่!”
ชายร่างโตที่ถือขวานแสยะยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าเฮยเฟิงแห่งโถงพิสุทธิ์! เรียกข้าว่าคุณชายเฮย!”
ทว่าลู่เฉินไม่สนใจว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร แต่ชายหนุ่มกลับสนใจรากวิญญาณของคนผู้นี้ “เจ้ามีรากวิญญาณห้าดาว และเป็นธาตุลม!”
เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้น จึงรู้ว่าแท้จริงแล้วเฮยเฟิงมีรากวิญญาณธาตุลมห้าดาว
เฮยเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็พลันถามด้วยความแปลกใจ “เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าข้ามีรากวิญญาณประเภทใด?”
โจวกังที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ความจริงแล้วหากจะรู้ได้ว่าคนคนหนึ่งมีรากวิญญาณอะไรนั้น มีเพียงแค่ต้องรออีกฝ่ายแสดงพลังออกมาเท่านั้นจึงจะสามารถรู้ได้
แต่เฮยเฟิงยังไม่ทันได้ลงมือใด ๆ ทว่าลู่เฉินก็สามารถรู้ได้แล้ว!
ด้วยเหตุนี้ทำให้โจวกังอดมองไปยังลู่เฉินไม่ได้ อยากรู้ว่าชายหนุ่มจะอธิบายเช่นไร
ลู่เฉินเพียงยิ้มและเอ่ยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้!!”
เฮยเฟิงมีนิสัยชอบข่มเหงรังแกผู้อื่นจนชิน อีกทั้งก็ไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับเขา แต่ตอนนี้ลู่เฉินที่อยู่ขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น… กลับกล้ามาต่อกรกับเขา! ทำให้เฮยเฟิงรู้สึกสนุกและเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมา “ช่างกล้านัก!”
ผู้คนในเมืองต่างคิดกันว่าลู่เฉินกำลังตกที่นั่งลำบากแล้ว
จังหวะนั้นเอง เฮยเฟิงได้ยกขวานขึ้นมา ก่อนจะเหวี่ยงไปทางลู่เฉินเพื่อข่มขู่ให้ชายหนุ่มหวาดกลัว
คนจากโถงพิสุทธิ์พลันฉีกยิ้มออกมา ราวกับว่าเรื่องสนุกกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว!
แต่เมื่อลู่เฉินเห็นขวานที่กำลังเหวี่ยงเข้ามา เขากลับส่ายหัวไปมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะปล่อยหมัดออกไปทันที
พวกเขาเห็นเพียงเงาหมัดยี่สิบสาย พร้อมเสียง ‘บูม บูม บูม!’ โจมตีเข้าใส่ร่างของเฮยเฟิง
เฮยเฟิงซึ่งเป็นผู้ฝึกตนรากวิญญาณห้าดาวขั้นสร้างรากฐานระดับสูงก็พลันกระเด็นออกไปอย่างแรงจากบริเวณนั้น!
โดยเฉพาะเมื่อตกลงมายังพื้น เลือดสด ๆ พลันพุ่งออกมาจากปากสาดกระจายเต็มไปหมด
ผู้คนในโถงพิสุทธิ์ต่างตกตะลึงจนวิ่งกรูเข้าไปหา ต่างคนต่างตะโกนโหวกเหวกขึ้นมาว่า “ท่านหัวหน้าเฮย!”
เฮยเฟิงอดทนต่อความเจ็บปวด เขาค่อย ๆ คลานขึ้นมา
ภาพที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผู้คนในเมืองตกตะลึงนิ่งงัน
“ชายหนุ่มผู้นี้อยู่เพียงขั้นสร้างรากฐานระดับต้นไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงมีพลังมหาศาลเช่นนี้!”
“เคล็ดวิชาหมัดเมื่อครู่นี้ต้องมีปัญหาแน่!”
“นั่นหมัดเสี้ยวทองใช่หรือไม่?”
“เป็นไปไม่ได้! เคล็ดวิชาหมัดนี้สูญหายไปนานแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้จะสามารถทำได้ยังไง!”
ขณะที่ผู้คนต่างก็ถกเถียงกันนั้น โจวกังก็พึมพำออกมา “หมัดเสี้ยวทอง”
ฮวาหลิงมู่และเจี่ยลัวรู้สึกชอบใจ
ส่วนตู๋ซานชิงแทบจะขยี้ตาตัวเอง คิดว่าตาของตนพร่ามัวจนต้องเอยถาม “เมื่อครู่ เจ้าเห็นวิชาหมัดนั่นหรือไม่?”
“เห็นแล้ว หมัดเสี้ยวทอง!” จางเชียนตอบอย่างตะกุกตะกัก
“นี่คือเคล็ดวิชาหมัดที่สูญหายไป เขา.. เขาทำได้เช่นไร?” ตู๋ซานชิงถามอย่างคาดไม่ถึง
จางเชียนเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เช่นกัน เขานิ่งเงียบ ก่อนจะพึมพำกับตัวเบา ๆ “นี่เขาจะเก่งกาจในทุกด้านเชียวหรือ?”
ขณะนั้นเอง เฮยเฟิงค่อย ๆ ยันตัวเองขึ้น ก่อนจะหยิบขวานขึ้นมาอีกครั้งและกล่าวด้วยความโมโห “เจ้าหนู เมื่อครู่ข้าไม่เตรียมตัวให้ดี ทำให้ถูกใช้ทีเผลอโจมตี!”
ทุกคนไม่คิดว่าเฮยเฟิงจะคิดต่อสู้กับลู่เฉินต่อ
ทว่าลู่เฉินก็เพียงยิ้มอกมาแล้วเอ่ยว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเตรียมตัวเช่นไร ก็ไม่สามารถต้านทานหมัดของข้าได้หรอก!”
“เป็นไปไม่ได้!”
เฮยเฟิงไม่เชื่อ พลังปราณบนร่างกายพลันสั่นไหว จากนั้นทุกคนต่างก็เห็นพลังปราณธาตุลมที่เข้าปกคลุมล้อมรอบเฮยเฟิงไว้
นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นเฮยเฟิงใช้พลังปราณธาตุลมนี้ ทำให้ผู้คนในเมืองต่างก็มองด้วยความตกตะลึง
“เป็นรากวิญญาณธาตุลมจริง ๆ ด้วย!”
“เฮยเฟิงผู้นี้ แอบซ่อนไว้ได้ดีจริงเชียว!”
“ไม่ใช่เพราะเขาแอบซ่อนได้ดี แต่ไม่มีใครกล้าต่อกรกับโถงพิสุทธิ์ต่างหาก!” มีคนพูดออกมาอย่างจริงจัง
สำหรับคนของโถงพิสุทธิ์นั้นต่างพากันโห่ร้อง ส่วนเฮยเฟิงก็ได้กล่าวอย่างผู้มีชัยว่า “เจ้าหนู เข้ามาเลย ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของม่านปราณนี้!”
พลังปราณภายในร่างของลู่เฉินรุนแรงขึ้นถึงยี่สิบเท่า เมื่อผนึกเข้ากับหมัดเสี้ยวทอง เขาก็แทบจะไม่สนใจความเป็นมาของเฮยเฟิงสักนิด เพียงแต่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“ไร้สาระ รีบเข้ามา!” เฮยเฟิงแทบจะอดทนรอไม่ไหว
ลู่เฉินที่ไม่มีมีทางเลือกจึงได้เหวี่ยงหมัดนั้นออกไปอีกครั้ง
บูม บูม บูม!
เงาหมัดเสี้ยวทองทั้งยี่สิบสายโจมตีลงบนม่านปราณนั้น
ส่งผลให้มันแตกกระจายออกทันที จากนั้นเฮยเฟิงก็กระเด็นออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่าเมื่อครู่ แต่ก็มากพอที่จะทำให้เฮยเฟิงรู้สึกเสียหน้าได้ ทำให้เขาลุกขึ้นมาและพูดด้วยความโมโหว่า “เจ้า… เจ้าต้องได้เจอดีแน่!”
เมื่อพูดจบ เฮยเฟิงก็พลันเดินนำผู้คนออกไป
ทว่าทันใดนั้น ไม้เลื้อยพลันโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินและพันรอบขาของเฮยเฟิงผู้นั้นไว้
ทุกคนต่างรู้สึกตกใจและแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ลู่เฉินกลับยิ้มออกมา “ข้าให้เจ้าไปแล้วหรือ?”
เมื่อเฮยเฟิงเห็นเช่นนั้น ดวงตาทั้งสองข้างจึงเบิกกว้าง “แท้จริงแล้วเจ้ามีรากวิญญาณธาตุทอง หรือรากวิญญาณธาตุไม้กันแน่!”
เมื่อจบประโยคนั้น ทุกคนต่างนึกขึ้นได้ว่าแท้จริงแล้วเมื่อครู่ ลู่เฉินใช้เคล็ดวิชาทั้งสองแบบที่มีธาตุแตกต่างกัน!
และนั่นทำให้ทุกคนต่างพากันตกตะลึง บางคนก็เอ่ยออกมาด้วยความสับสนว่า “รากวิญญาณคู่?”
“หรือว่าจะมีรากวิญญาณแฝด?!”
แม้แต่โจวกังก็ยังตกตะลึง
ส่วนตู๋ซานชิงและจางเชียนก็ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่