ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 79 เมื่อมาแล้ว ก็อย่าคิดจะกลับไปเลย!
บทที่ 79 เมื่อมาแล้ว ก็อย่าคิดจะกลับไปเลย!
เมื่อเห็นโจวกังดูมั่นใจอย่างมาก ตู๋ซานชิงจึงเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “เชิญเลยขอรับ!”
โจวกังกระโดดและร่อนลงบนกำแพงของคฤหาสน์ หลังจากจ้องมองไปที่ค่ายกลหมอกที่อยู่ข้างหน้า เขาก็หันมามองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้ารอที่นี่ ข้าจะเข้าไปทำลายค่ายกล!”
“ได้ขอรับ!” ทั้งสองตอบรับออกมาอย่างพร้อมเพรียง
ครู่ต่อมาโจวกังก็เข้าสู่ค่ายกลของลู่เฉิน
บัดนี้รอบด้านมีแต่ม่านหมอก โจวกังจึงแผ่จิตสัมผัสออกไปสำรวจรอบ ๆ แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขากลับพบว่าเขาไม่สามารถลงมือได้ สีหน้าของปรมาจารย์ค่ายกลผู้นี้จึงเต็มไปด้วยความสงสัย “แปลก เหตุใดข้าจึงหาข้อบกพร่องในค่ายกลนี้ไม่พบ?”
ทันใดนั้น ลู่เฉินพลันปรากฏตัวขึ้นจากหมอกและมองไปที่โจวกังพลางเอ่ยว่า “น่าสนใจ…”
เมื่อโจวกังเห็นลู่เฉิน เขาก็เบิกตากว้างทันที “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
”นี่คือบ้านพักของข้า เจ้าว่ามาซิ เหตุใดข้าถึงไม่ควรอยู่ที่นี่?” ลู่เฉินถามด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของโจวกังยังคงเบิกกว้าง “อันใดนะ?”
“ช่างเป็นโชคชะตาเสียจริง” ลู่เฉินค่อย ๆ คลี่ยิ้ม
โจวกังที่ได้ยินก็ขวัญกระเจิง เขารีบหันกายแล้วกระโดดออกไปหมายจะไปจากที่นี่ แต่โซ่ตรวนจำนวนนับไม่ถ้วนพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ และพันธนาการร่างของเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ครานี้โจวกังตื่นตระหนกตกใจยิ่งนัก “นี่… มันเกิดอะไรขึ้น?”
”หากเจ้าใช้พลังปราณที่นี่ เจ้าก็จะถูกล่ามโซ่!” ลู่เฉินส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
โจวกังที่ได้ฟังก็ร้อนใจ จึงรีบเก็บพลังปราณของตนอย่างรวดเร็ว แต่หากทำเช่นนี้ แล้วเขาจะออกไปเช่นไร? ดังนั้นโจวกังจึงได้แต่ ‘ยอมจำนน’ และเอ่ยว่า “เจ้าหนุ่ม ข้าแค่ผ่านมา ไม่ได้มีเจตนาจะเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า!”
”ผ่านมา? ไม่ได้ออกหน้าแทนคนอื่นหรอกรึ?”
คำพูดของลู่เฉินทำให้โจวกังลุกลี้ลุกลน “ไม่ ข้าไม่ได้ออกหน้าแทนคนอื่น!”
”ไม่ว่าจะออกหน้าแทนหรือไม่ เรื่องที่เกิดขึ้นที่สำนักพฤกษาสวรรค์ครั้งก่อน คงถึงเวลาที่พวกเราควรสะสางกันแล้วกระมัง”
โจวกังได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนเนื้อเต้น เขาพลันหยิบยันต์ลี้ธรณีออกมาและเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “ถ้าเจ้ากล้าโจมตีข้า ข้า… ข้าก็จะใช้มันหนีไป!”
ลู่เฉินมองไปรอบ ๆ ด้วยรอยยิ้ม “ที่จริงแต่ก่อนมันสามารถหนีไปได้ ดังนั้นข้าจึงแก้ไขค่ายกล ทำให้ยันต์วิเศษต่าง ๆ ไร้ผล!”
“เป็นไปไม่ได้!” โจวกังไม่เชื่อ
ลู่เฉินมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูสิ!”
โจวกังบดขยี้ยันต์จริง ๆ ทว่ายันต์นี้ไม่มีผลเลยสักนิด!
โจวกังที่เห็นผลลัพธ์เช่นนั้นก็พลันตกใจจนแทบเสียสติ “เจ้า… เจ้าจะทำอะไร!”
”ปัญหานี้ เจ้าต้องถามเขา!” หลังจากที่ลู่เฉินพูดจบ เขาก็มองไปยังเงาร่างในม่านหมอกที่อยู่ด้านหลังตนเอง
จากนั้นเจี่ยลัวก็เดินออกมาจากตรงนั้น
เมื่อโจวกังเห็นเจี่ยลัว ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง “เป็นเจ้า!”
“ผู้อาวุโสโจว!” เจี่ยลัวเอ่ยด้วยสีหน้ามืดมน
โจวกังมีสีหน้าดูไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม “เจ้า เจ้ายังไม่ตายหรือ?”
”ตาย?”
”ทุกคนล้วนบอกว่าเจ้าถูกอสูรปีศาจกินไปแล้ว” โจวกังรีบอธิบายอย่างร้อนรน
เจี่ยลัวขี้เกียจโต้แย้ง เขาเพียงแค่ถามออกมาว่า “อาจารย์ของข้า เจ้าเป็นคนฆ่าเขาใช่หรือไม่!”
”อาจารย์ของเจ้า? จะเป็นไปได้อย่างไร!” โจวกังแก้ตัวในทันที
แต่เจี่ยลัวพลันร้อนใจขึ้นมาเสียแล้ว “เจ้าไม่ได้ขอให้ศิษย์พี่อู๋ลงมือกับข้าหรือ?”
“ศิษย์พี่อู๋?”
“อู๋ฉี!” เจี่ยลัวเรียกชื่อนั้นทันทีหลังจากที่เห็นโจวกังแสร้งทำเป็นสับสน
แต่โจวกังพลันตอบกลับไปว่า “ข้า ข้าไม่ได้บอกให้เขาไปฆ่าเจ้าจริง ๆ อีกอย่างข้าคิดว่าเจ้าตายแล้ว เหตุใดข้าต้องฆ่าเจ้าด้วย?”
เจี่ยลัวไม่ได้ตอบ เขาเพียงแค่มองไปที่ลู่เฉิน
ลู่เฉินกวาดสายตาขึ้นลงเพื่อพิจารณาโจวกังแล้วถามว่า “เจ้ารู้จักหุ่นเชิดอักขระยันต์ไม่ใช่หรือ?”
“นิดหน่อย แต่แค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่เชี่ยวชาญ!”
ลู่เฉินจมลงสู่ภวังค์แห่งการครุ่นคิดและพึมพำในใจ ‘หุ่นเชิดอักขระยันต์ของสำนักพฤกษาสวรรค์ของเขานั้นอ่อนแอกว่าในร่างของเถ้าแก่อู๋’
เมื่อเห็นลู่เฉินกำลังครุ่นคิด โจวกังก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “หรือเพราะว่าข้ารู้จักหุ่นเชิดอักขระยันต์แค่เล็กน้อย? เจ้าเลยจะสังหารข้า?”
”หุ่นเชิดอักขระยันต์นั้น ใครเป็นผู้สอนเจ้า” ลู่เฉินได้สติคืนมาแล้วก็เอ่ยถาม
“ผู้อาวุโสใหญ่ ฟางหมิง!” โจวกังเอ่ยชื่อของบุคคลนั้นออกมาทันที
“ผู้อาวุโสใหญ่?” เจี่ยลัวตกตะลึง
โจวกังพยักหน้าและตอบว่า “ข้าเรียนรู้มาจากเขา”
เจี่ยลัวพลันตกตะลึง “ผู้อาวุโสใหญ่ เหตุใดถึงได้ฆ่าท่านอาจารย์ของข้า?”
”ฆ่าอาจารย์ของเจ้า? เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่?” โจวกังไม่เข้าใจ ส่วนเจี่ยลัวนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่โจวกังพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่
ส่วนลู่เฉิน เขาหันไปเอ่ยกับเจี่ยลัวว่า “เจ้ากลับไปก่อน ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ข้า!”
“อืม!” เจี่ยลัวถอยไปอย่างเศร้าสร้อยเล็กน้อย
โจวกังจึงเริ่มขอร้องลู่เฉินทันที “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าจริง ๆ”
”สำหรับความแค้นของพวกเรา และจุดประสงค์ในการแอบเข้ามาของเจ้า ทั้งหมดนี้ก็ควรนับรวมกันสินะ” ลู่เฉินจับตัวอีกฝ่ายไว้ แน่นอนว่าไม่มีทางปล่อยให้เขาออกไปได้ตามอำเภอใจ
โจวกังพลันตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “เจ้าต้องการอะไร?”
“มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าอยากอยู่หรือตาย!”
“แน่นอนว่าข้าอยากมีชีวิตอยู่!”
“ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ก็อย่าวิ่งไปไหนซี้ซั้ว รอข้าอยู่ที่นี่ อีกเดี๋ยวพอมีโอกาส พวกเราค่อยคุยกัน” หลังจากที่ลู่เฉินกล่าวจบ เขาก็หันกายกลับมาและหายวับไปในม่านหมอก
โจวกังถึงกับผงะ “เจ้า เจ้าจะทิ้งข้าไว้ที่นี่หรือ?”
ลู่เฉินไม่คิดจะตอบ ส่วนโจวกังก็ทำได้เพียงตะโกนใส่สารพัด เรียกหาฟ้าดินอยู่เพียงลำพังและสุดท้ายก็ทำได้เพียงตะโกนใส่ท้องฟ้าอย่างปลงอนิจจังว่า “ข้าคือหนึ่งในสิบปรมาจารย์ค่ายกลแห่งแดนทักษิณา คิดไม่ถึงว่าจะมีจุดจบเช่นนี้!”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้โจวกังก็รู้สึกเจ็บปวด
แต่สองคนที่รออยู่นอกกำแพงนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เจ้าว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่?” จางเชียนเริ่มกังวลหลังจากเห็นโจวกังเข้าไปได้สักพัก
ส่วนตู๋ซานชิงนั้นเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “ไม่ต้องกังวล เขาร้ายกาจมาก ต้องทำได้แน่นอน!”
เมื่อเวลาผ่านไป จางเชียนก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็จำใจต้องรอ
ส่วนลู่เฉินนั้นยังคงนอนอยู่บนหลังคา
หนานเหยามองไปที่คนทั้งคู่ซึ่งอยู่นอกค่ายกล รวมทั้งหันมามองโจวกังที่ยืนอึ้งอยู่มุมหนึ่งของคฤหาสน์ จากนั้นนางก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ผู้ชายคนนั้น เหตุใดเขาถึงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม?”
“ถ้าเจ้าไปที่นั่น เจ้าก็จะยืนอึ้งเช่นกัน”
หนานเหยาไม่เชื่อ นางจึงลองกระโดดเข้าไป
แน่นอนว่าหลังจากที่หนานเหยาไปถึง นางก็บุกเข้าไปในม่านหมอกหนา จากนั้นก็ไม่สามารถออกไปไหนได้เลย ทำได้เพียงตะโกนบอกลู่เฉินว่า “เร็ว! รีบพาข้าออกไปเร็ว!”
”จะดีหรือ? ข้าคิดว่าที่นั่นเหมาะกับเจ้าทีเดียวนะ” ลู่เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หนานเหยากำลังจะเป็นบ้า นางจึงรีบอ้อนวอนขอความเมตตา “ข้าผิดไปแล้ว ไม่ได้หรือ?”
”ผิดอันใด?”
“ข้าไม่ควรสงสัยความสามารถของเจ้า!” หนานเหยารู้สึกเสียใจ
ลู่เฉินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็พานางออกมา
เมื่อหนานเหยาเห็นโจวกังที่กำลังงุนงง นางก็เอ่ยอย่างรู้สึกเขินอายว่า “น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“จากนี้ไป อย่าสงสัยข้าอีก ไม่เช่นนั้นคราวหน้าเจ้าอาจจะไม่โชคดีแบบนี้”
“เข้าใจแล้ว คุณชายลู่! นายน้อยลู่!” หนานเหยาเอ่ยอย่างหงุดหงิด
จากนั้นลู่เฉินก็ค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อพักผ่อน
“ท่านคิดจะกักเขาไว้อย่างนั้น?”
”ข้ากำลังรอโอกาสอยู่”
“โอกาส? โอกาสอะไร?”
ลู่เฉินย่อมรอโอกาสที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้และโอกาสให้อีกฝ่ายยอมจำนน มิฉะนั้นด้วยความสามารถขั้นก่อกำเนิดของอีกฝ่าย ตัวเขาเองในยามนี้คงไม่อาจควบคุมได้
ดังนั้นลู่เฉินจึงทำได้เพียงอาศัยค่ายกล และทำลายความมุ่งมั่นของอีกฝ่ายก่อน จากนั้นรอให้ขั้นพลังของเขาเพิ่มขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน
คนที่อยู่ด้านนอกสองคนรอจนถึงรุ่งสาง กระทั่งประตูคฤหาสน์เปิดออกและต้อนรับแขกอีกครั้ง
”สถานการณ์เป็นอย่างไร?” ดวงตาของตู๋ซานชิงเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าลู่เฉินไม่เป็นอันใดเลย
จางเชียนเห็นเช่นนั้นก็พลันร้อนใจ “ปรมาจารย์โจวคงไม่ได้เป็นอันใดไปหรอกกระมัง?”