ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 73 กลืนกินไอวิญญาณ ทำลายพื้นที่เล็ก ๆ
บทที่ 73 กลืนกินไอวิญญาณ ทำลายพื้นที่เล็ก ๆ
โหย่วหลง ยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิดของวังเหมันต์สงัด
หญิงสาวทั้งสองคิดไม่ถึงว่าเสียงของเขาจะดังออกมาจากร่างของหงเหยียนเสวีย!
ลู่เฉินหันไปเตือนหงเหยียนเสวียว่า “นี่เป็นเคล็ดวิชาเงาน้ำแข็งของวังเหมันต์สงัด ไม่ใช่ร่างแท้จริงของเขา เป็นเพียงแค่จิตที่อยู่ในร่างของเจ้า เพื่อเอาไว้ควบคุมพิษน้ำค้างแข็ง”
หงเหยียนเสวียถอนหายใจออกมา
หงเหยียนลั่วนึกแปลกใจ “เช่นนั้นเขาก็รับรู้ถึงพวกเรามาโดยตลอด?”
“ไม่ มีเพียงเมื่อข้าไปกระตุ้นพิษ เขาจึงจะสัมผัสถึงข้าได้ ส่วนพวกเจ้า เขาไม่มีทางสัมผัสถึงได้”
ลู่เฉินพูดจบก็ให้ทั้งสองอยู่นิ่ง ๆ และไม่ว่าจะได้ยินอะไรก็ห้ามสนใจ
หงเหยียนเสวียนั่งทอดกายลง จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ทางด้านลู่เฉิน เขาเองก็นั่งลงก่อนจะหลับตา อึดใจถัดมา จิตวิญญาณของลู่เฉินก็ได้ผ่านเข้าไปในไอความเย็นที่อยู่รอบ ๆ วิญญาณก่อกำเนิดในร่างของหงเหยียนเสวีย
ไอความเย็นนี้ได้กลายเป็น ‘พื้นที่’ เล็ก ๆ เมื่อจิตวิญญาณของลู่เฉินผ่านเข้าไป เสียงจากภายในพื้นที่นั้นก็ดังขึ้นมาว่า “ใครกัน!”
จิตวิญญาณของลู่เฉินได้ก่อตัวเป็นร่างคน และยืนอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีไอเย็นล้อมรอบ เขายิ้มพลางมองไปยังชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ชายผู้นี้ แท้จริงแล้วก็เป็นเสี้ยวดวงจิตที่แปลงกายมาเช่นกัน
คนผู้นี้คือโหย่วหลงที่พวกนางกล่าวถึง!
เมื่อโหย่วหลงเห็นดวงจิตที่เป็นเพียงขั้นกลั่นลมปราณ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ข้าก็นึกว่าเป็นยอดฝีมือ ที่แท้ก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณที่ไร้แววนี่เอง”
“ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณจริง ทว่าข้ารู้ว่าควรทำลายพิษน้ำค้างแข็งและเคล็ดวิชาเงาน้ำแข็งของเจ้าเช่นไร” ลู่เฉินยิ้ม
เงาของโหย่วหลงหัวเราะออกมา “เจ้าหนูน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?”
“สำคัญด้วยหรือ?”
“ข้าคือผู้ฝึกตนขั้นก่อกำเนิดอันดับหนึ่งแห่งวังเหมันต์สงัด! โหย่วหลง!” โหย่วลงพูดด้วยความภาคภูมิใจ
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่จงไสหัวออกไปจากร่างของนางซะ!” ลู่เฉินเอ่ยจบก็เริ่มใช้เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณ
ฉับพลันนั้น พลังปราณและไอวิญญาณรอบทิศทางได้ถูกลู่เฉินดูดซับเข้าไป
ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่เศษจิตวิญญาณในร่างของหงเหยียนเสวียก็ถูกดูดซับออกมาอย่างบ้าคลั่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หงเหยียนเสวียตกใจจนหน้าถอดสี
หงเหยียนลั่วเอ่ยปลอบออกมา “อย่าตกใจไป”
“แต่ว่า…” หงเหยียนเสวียไม่รู้จะอธิบายเช่นไร แต่ขณะนั้นเองจู่ ๆ ลู่เฉินก็มานั่งด้านหน้าตนและไม่ขยับไปไหน นางจึงไม่รู้จะพูดอันใด และทำได้แค่เพียงรอ
หงเหยี่ยนลั่วรู้สึกแปลกใจ “เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ขณะนั้นเอง ภายในพื้นที่เล็ก ๆ นั้น เมื่อโหย่วหลงพบว่าจิตวิญญาณของตนเองอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว เขาจึงตระหนกขึ้นมา “นี่มัน… เกิดอันใดขึ้น?”
“เศษจิตวิญญาณกระจ้อยร่อยอย่างเจ้า จำต้องอาศัยพลังปราณและไอวิญญาณของนางในการประคองตัวตน หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็ไม่อาจคงรูปได้อีก จริงหรือไม่?” ลู่เฉินคลี่ยิ้ม
โหย่วหลงคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะมีความสามารถเช่นนี้ เขาตวาดออกมาทันที “เจ้าหนู ข้าแนะนำให้เจ้ารีบวางมือ ไม่เช่นนั้นข้าจะกำจัดเจ้าเสีย!”
“เศษจิตวิญญาณเช่นนี้ มากสุดก็แข็งแกร่งเทียบเท่าขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น!” ลู่เฉินกล่าวอย่างดูถูก
“เช่นนั้นหรือ? ทว่าแค่ขั้นสร้างรากฐาน มันก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการตัวตนขั้นกลั่นลมปราณเช่นเจ้า!” โหย่วหลงกล่าวอย่างมั่นใจ
“โง่งม!” ลู่เฉินเอ่ยออกมาเพียงสองพยางค์ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้โหย่วหลงเกิดโทสะ เขารีบทะยานตัวออก โดยมุ่งให้เศษจิตวิญญาณของตนกระแทกทำลายจิตวิญญาณของลู่เฉิน
แต่เขาไม่ได้คิดแม้แต่น้อยว่าเมื่อโจมตีออกไป มันก็กลับไม่อาจสร้างผลใด ๆ แก่จิตวิญญาณของลู่เฉินได้เลย!
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้โหย่วหลงโมโหและต่อว่าเสียงดัง “เจ้าหนู เจ้าอย่าให้ข้าจับเจ้าได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้า!”
“วางใจเถอะ ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะไปยังวังเหมันต์สงัดของพวกเจ้า!”
“หากเจ้ากล้ามา ข้าก็จะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ!”
“ไปบอกประมุขของพวกเจ้า ข้าจะไปหานางแน่!” ลู่เฉินยิ้ม
โหย่วหลงไม่เข้าใจ แต่เมื่อพลังปราณและไอวิญญาณโดยรอบหมดไป พื้นที่เล็ก ๆ นี้จึง ‘พังทลาย’ ส่วนเศษจิตวิญญาณของโหย่วหลงที่อยู่ที่นี่ก็สลายหายไปเช่นกัน
จิตวิญญาณของลู่เฉินกลับเข้าสู่ร่าง
หลังจากนั้นไม่นาน ไอเย็นรอบทิศทางก็ค่อย ๆ หายไป
หงเหยียนเสวียเองก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แต่เนื่องจากพลังปราณและไอวิญญาณถูกใช้ไปไม่น้อย ผนวกกับบาดแผลบนร่างกาย ดังนั้นจึงยังไม่สามารถขยับกายได้ นางทำได้เพียงมองไปยังลู่เฉินด้วยแววตาซาบซึ้ง
“ขอบคุณท่านมาก”
เมื่อหงเหยียนลั่วเห็นว่าหงเหยียนเสวียอาการดีขึ้น จึงแสดงความขอบคุณต่อลู่เฉิน “ขอบคุณมากคุณชายลู่”
“ก่อนหน้านี้นางได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังถูกไอเย็นกลืนกินพลังไป ทำให้ตอนนี้นางอ่อนแอยิ่ง จำเป็นต้องได้รับการดูแล”
“ดูแลเช่นไร?” หงเหยียนลั่วถามอย่างร้อนใจ
“ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้เจ้า ให้นางกินทุกวัน ภายในครึ่งปีอาการก็น่าจะดีขึ้นแล้ว” ลู่เฉินหันไปตอบ
หงเหยียนลั่วรู้สึกยินดี “ได้ แต่ข้าว่าเราไปคุยกันด้านนอกจะดีกว่า ให้น้องสาวข้าได้พักผ่อนก่อน”
ลู่เฉินขานรับ และเดินตามหงเหยียนลั่วออกไปด้านนอก
เมื่อหงเหยียนลั่วปิดประตู นางก็หันไปพูดกับลู่เฉินว่า “ท่านต้องการให้พวกเราทำอันใด!”
“ทำอันใด?” ลู่เฉินไม่เข้าใจ
หงเหยียนลั่วจึงอธิบาย “ท่านต้องการให้พวกเราจำนนต่อท่าน แน่นอนว่าท่านต้องการให้พวกเราทำอะไรบางอย่างเป็นแน่”
เมื่อลู่เฉินได้ยิน เขาจึงยิ้มออกมา “ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว!”
“อันใดก็ไม่ต้องการ?” หงเหยียนลั่วสงสัย
“อืม ถ้าถึงคราวจำเป็น ข้าจะมาหาพวกเจ้า แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุด คือเจ้าต้องดูแลนางให้ดี อย่าทำให้นางได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งที่สอง” ลู่เฉินเพ่งมอง
หงเหยียนลั่วได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจ “ข้าจะทำตาม”
ไม่ทันไรลู่เฉินก็หยิบใบสั่งยาออกมาส่งให้หงเหยียนลั่ว “ภายในคฤหาสน์ของข้ามีหญิงสาวจำนวนไม่น้อย หวังว่าเจ้าจะต้อนรับพวกนาง ให้พวกนางได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่!”
“หญิงสาวเหล่านั้นจะรับได้หรือไม่?” หงเหยียนลั่วถามอย่างสงสัย
“เมื่อก่อนพวกนางก็เคยอยู่ในหอนางโลม แล้วยิ่งหอนางโลมของเจ้าขายเพียงศิลปะ สำหรับพวกนางแล้วยิ่งไม่เป็นปัญหาใด ๆ” ลู่เฉินยิ้มพลางมองไปยังหงเหยียนลั่ว
หงเหยียนลั่วเข้าใจทันที นางเอ่ยตอบมาว่า “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะให้อาจื่อไปนำทางพวกนาง”
ลู่เฉินขานรับ จากนั้นเขาก็เดินทางออกจากหอราตรีหอม โดยมีอาจื่อติดตามไปด้วย
เมื่อหงเหยียนลั่วกลับเข้ามาภายในห้องก็เห็นหงเหยียนเสวียที่สามารถลุกขึ้นเดินเองได้ นางจึงยิ้มออกมา “เป็นเช่นไรบ้าง ไหวหรือไม่?”
“ยังไหว เพราะไม่ได้ขยับนาน เลยรู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อไปบ้าง” หงเหยียนเสวียพูดพลางหัวเราะออกมา
“เช่นนั้นก็ดี” หงเหยียนลั่วเอ่ยด้วยความดีใจ
“พี่หญิง คุณชายลู่ผู้นั้น แท้จริงแล้วเป็นใครมาจากที่ใด?” หงเหยียนเสวียอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
หงเหยียนลั่วจึงอธิบายสั้น ๆ ซึ่งวาจาที่หลุดออกมามันก็ได้ทำให้หงเหยียนเสวียสงสัย “เขามาจากสำนักเก้าสุขสงบ?”
“ใช่แล้ว และเพราะเขาช่วยเหลือเราไว้มาก ดังนั้นเขาจึงนับเป็นผู้มีพระคุณของเรา”
หงเหยียนเสวียพยักหน้า “แน่นอน ไว้รอให้ร่างกายของข้าฟื้นฟูสมบูรณ์พร้อม ข้าจะต้องไปขอบคุณเขาอย่างแน่นอน”
“เจ้าน่ะ รีบพักผ่อนเสียเถอะ” หงเหยียนลั่วยิ้ม แต่หงเหยียนเสวียยังไม่อยากนั่ง นางจึงออกไปเดินเล่นที่สนามด้านนอก
หงเหยียนลั่วจึงทำได้เพียงเดินไปเป็นเพื่อนนาง
….
หลังจากลู่เฉินได้ส่งหญิงสาวในคฤหาสน์ออกไปแล้ว ก็เหลือเพียงแค่ฮวาหลิงมู่และเจี่ยลัว กับต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราซึ่งแปลงกายเป็นกระบี่
“พี่ใหญ่ประหลาด พวกนางไปหมดแล้วหรือ?” ฮวาหลิงมู่เอ่ยถาม
ลู่เฉินยิ้มให้นางแล้วเอ่ยว่า “พวกนางก็มีชีวิตของพวกนางเอง”
ฮวาหลิงมู่ขานรับด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
“รีบกลับไปฝึกฝนเถอะ” ลู่เฉินหันไปพูดกับเด็กสาว แต่ฮวาหลิงมู่ที่ได้ยินดังนั้นพลันรู้สึกหดหู่ ปากเล็ก ๆ ของนางอ้าออกเพื่อกล่าวคำ “สองวันนี้ ข้าฝึกวิชาคุมจิตวิญญาณมาตลอด แต่กลับรู้สึกว่า มีพลังบางอย่างกำลังขัดขวาง ทำให้ข้าไม่สามารถฝึกต่อไปได้!”
“หืม? จริงหรือ? มาให้ข้าดูหน่อย!” ลู่เฉินแปลกใจ