ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 7 บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเราเก่งที่สุด!
บทที่ 7 บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเราเก่งที่สุด!
ลู่เฉินคว้ากริชออกมา ก่อนที่กริชนั้นจะกลายเป็นกระบี่
ชั่วอึดใจต่อมา ลู่เฉินก็คว้ากระบี่แล้วกวัดแกว่งไปมา ก่อเกิดปราณกระบี่สีดำนับร้อยส่องประกายเจิดจ้า
จากนั้น… ปราณกระบี่นับร้อยพลันพุ่งเข้าใส่กลุ่มคนผู้โป้ปด!
ผลจากปราณกระบี่นี้ได้สร้างบาดแผลตามแขนขาของคนเหล่านั้นในชั่วพริบตา!
”โอ๊ย!”
พวกเขากรีดร้องและล้มลงกับพื้น
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ตาย แต่เห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดทรมานไม่น้อย แน่นอนว่าการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้คนจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์และสำนักเก้าสุขสงบถึงกับตะลึง!
ชายผมแดงพุ่งตัวเข้ามาหาลู่เฉินทันที “เจ้า… เจ้ากล้า!!”
ทว่าลู่เฉินกลับเดินผ่านอีกฝ่ายไป เขาเหยียบร่างของหนึ่งในกลุ่มคนผู้โกหก จากนั้นก็หันไปหาชายผมแดง “ท่านคิดว่า… เคล็ดกระบี่ของข้าเมื่อครู่เป็นอย่างไร?”
เคล็ดกระบี่เมื่อครู่?
ตอนนั้นเองที่ทุกคนพบว่าวิชากระบี่ที่ลู่เฉินใช้นั้นดูแปลกประหลาดยิ่ง
เพียงกวัดแกว่งไม่กี่ครั้ง กลับสามารถออกปราณกระบี่ได้นับร้อย!
หากเป็นผู้แข็งแกร่งที่ใช้มัน ทุกคนย่อมสามารถเข้าใจได้ แต่ลู่เฉินอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณระดับห้าเท่านั้น พวกเขาจึงอยากที่จะยอมรับ!
”ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะมีความสามารถหรือไม่!” ชายผมแดงตอบ
“จริงหรือ? แล้วท่านไม่สงสัยหรือไร ว่าเมื่อข้ามีเคล็ดกระบี่ที่ทรงพลังเช่นนี้ แล้วจำเป็นด้วยหรือที่ข้าจะต้องขโมยเคล็ดวิชาขยะนั่นจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์?” คำพูดของลู่เฉินทำให้บางคนในสำนักเก้าสุขสงบตระหนักถึงอะไรบางอย่าง
“จริงด้วย!!”
”ถูกต้องที่สุด!”
เสียงตะโกนสนับสนุนดังมาจากบรรดาศิษย์ของสำนักเก้าสุขสงบ โดยเฉพาะกับคนที่เคยถูกกลั่นแกล้งและกดดันจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์
พวกเขาพากันตะโกนสนับสนุนออกมา เพราะท่าทีอัน ‘หยิ่งผยอง’ เช่นนี้ของลู่เฉิน นับได้ว่าเป็นการตบหน้าสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ดี ๆ นี่เอง!!
แม้แต่ฉินหลินเองก็แสดงความตื่นเต้น ส่วนผู้อาวุโสเหยา แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงออกมากนัก แต่ท่าทีของชายชราก็นับว่าชัดเจน! “ผู้เฒ่าหง อย่างที่ท่านได้เห็น ด้วยความสามารถของเขา ท่านคิดหรือว่าลู่เฉินจำเป็นต้องขโมยคัมภีร์ไป!”
“หัวขโมย! เจ้าดูถูกพวกข้าหลายครั้งแล้วนะ” ชายผมแดงกล่าวอย่างโกรธเคือง
ลู่เฉินไม่แยแสคำพูดนั้น และชี้ปลายกระบี่ไปยังชายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา “มันขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว จงบอกความจริงไปเสีย!”
แขนขาของชายคนนั้นถูกทำให้พิการไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่คิดจะฟังคำลู่เฉิน ปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากชายผมแดงไม่หยุด “ผู้อาวุโส ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!”
“ปล่อยเขาไป!” ชายผมแดงนามว่าหงซานคำรามด้วยความโกรธ
“ท่านไม่อยากรู้ความจริงหรือ?” ลู่เฉินถามกลับ หงซานจึงตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าอย่าได้บังคับข้า!”
ลู่เฉินเยาะเย้ย “ท่านคิดว่าข้าขโมยมันไปจริงหรือ?”
“ใช่!” หงซานตอบโดยไม่ลังเล
หลังจากได้ฟังคำตอบ ท่าทีของลู่เฉินพลันเย็นชามากขึ้น “ข้าผู้นี้…. สิ่งที่รังเกียจที่สุดก็คือการดูหมิ่นและใส่ร้ายผู้อื่นเช่นนี้นี่แหละ!”
พลังปราณของลู่เฉินกระจายออก และแม้ว่าเขาจะอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณระดับห้า ทว่าแรงกดดันของชายหนุ่มกลับทำให้บางคนในที่นี้ถึงกับแตกตื่นลนลาน ราวกับว่ามีผู้แข็งแกร่งปรากฎกายขึ้น!
หงซานจ้องมองกลับมา “เจ้าคิดจะทำอันใด คิดจะสู้กับข้างั้นหรือ?”
“ใช่!” ลู่เฉินเอ่ยจบก็ชี้ปลายกระบี่ไปหาชายผมแดง
ทุกคนคิดว่าลู่เฉินเป็นบ้าไปแล้ว!
หงซาน ผู้อาวุโสผมแดงแห่งสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้มีความแข็งแกร่งอยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้ ในขณะที่ลู่เฉินอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น …ความห่างชั้นระดับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ความกล้าจะสามารถทดแทนได้!
เมื่อหงซานเห็นอีกฝ่ายชี้กระบี่มาที่ตน เขาไม่เพียงแต่ไม่กลัวเท่านั้น ทว่าถึงขนาดหัวร่อออกมาทันที “ไอ้หนู ต่อให้ข้ายืนอยู่เฉย ๆ เจ้าก็ไม่อาจแม้แต่จะสะกิดผิวกายข้าได้หรอก!”
”โอ้… จริงหรือ?”
“แน่นอน!” หงซานเอ่ยจบ พลังปราณสีแดงเพลิงพลันพรั่งพรูออกมาไม่หยุด และมันก็ค่อย ๆ ห่อหุ้มรอบตัวเขาไว้
…ทันทีที่ลมปราณนี้แผ่ออกมา ไม่ใช่แค่ผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น แม้แต่ขั้นหลอมแก่นแท้ด้วยกันก็ใช่ว่าจะทำร้ายเขาได้ง่าย ๆ!
ศิษย์สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่เห็นภาพนี้ต่างพากันส่งเสียงโห่ร้อง
“เจ้าหนู เจ้าบ้าไปแล้ว!”
“ช่างโอ้อวดหน้าไม่อาย!”
”คนไร้ยางอาย!”
ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสเฮยจากสำนักเก้าสุขสงบกลับเผยรอยยิ้มอันแปลกประหลาดออกมา “เจ้าหนูคนนี้… ช่างบ้าบิ่นเสียเหลือเกิน!”
ส่วนฉินหลิน เขาพลันแสดงความวิตกกังวลออกมา ในขณะที่ผู้เฒ่าเหยาขมวดคิ้วและพึมพำ “นี่เป็นแค่การคุยโวยั่วยุโทสะเท่านั้น คงไม่ลงไม้ลงมือกันจริง ๆ หรอก …ใช่หรือไม่?”
ทุกคนต่างคิดว่าชายหนุ่มกำลังคุยโว หากแต่ท่าทีของลู่เฉินกลับตรงกันข้าม เขาหลับตาลง ส่งจิตสำนึกเข้าไปในกระบี่เพื่อถามสวีปิง “เจ้าพร้อมหรือไม่?”
“ตราบใดที่ข้าไม่ได้อยู่ไกลจากภูเขาเก้าสุขสงบ ข้าย่อมสามารถหยิบยืมพลังจากค่ายกลภายในภูเขานี้ได้” สวีปิงตื่นเต้นยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ ‘ต่อสู้’ มานานแล้ว
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ลู่เฉินพลันคลี่ยิ้ม “เอาล่ะ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้ดื่มเลือด!”
“ดี!” น้ำเสียงสวีปิงฉายชัดถึงความยินดี
ลู่เฉินลืมตา ก่อนจะขยับกระบี่ในมือ
อึดใจต่อมา ภาพอันน่าพรั่นพรึงก็บังเกิดขึ้นต่อหน้าทุกคน!
มันคือการก่อตัวอันยิ่งใหญ่ของพลังปราณที่ส่องแสงพราวระยับจากภายในสำนัก ทำให้ผู้คนจากสำนักเก้าสุขสงบต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ดูนั่น ค่ายกลมัน…!”
“ทำไมจู่ ๆ ค่ายกลถึงทำงาน?”
”เกิดอะไรขึ้น?”
“ต้องเป็นเพราะกระบี่สยบเก้าทิศแน่!”
“เป็นไปได้หรือไม่ ที่บุตรศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเราจะหยิบยืมพลังจากกระบี่?”
เมื่อหงซานได้ยินนามกระบี่สยบเก้าทิศ ผนวกกับภาพของค่ายกลที่เริ่มก่อตัวขึ้น ก็พลันสังหรณ์ใจถึงอันตราย!
แน่นอนว่าเมื่อลู่เฉินเหวี่ยงกระบี่สุดกำลัง ปราณกระบี่สีดำก็พุ่งทะยานออก มันพุ่งตัดผ่านสุญญะ แล้วทะลวงผ่านปราณสีแดงเพลิงนั้นอย่างง่ายดายราวกับเจาะกระดาษเปียก!
ตู้มมม!
พลังปราณที่แผ่ปกคลุมรอบกายหงซานแตกสลายในทันที ส่วนตัวคนถูกกระแทกนั้นปลิวออกไปไกลตามแรงส่ง!
“อั้ก!” หลังจากที่หงซานเซถอยออกไปหลายก้าว ใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที เช่นเดียวกับรสคาวสนิมที่ตีขึ้นผ่านลำคอ ก่อนจะกลั้นไม่ไหวแล้วทะลักออกปาก!
ผู้คนจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ต่างหวาดกลัวกับภาพที่เห็น
แววตาหงซานฉายความหวาดกลัวออกมาขณะจ้องมองอีกฝ่าย สุดท้ายก็ตะโกนขึ้นว่า “ถอนตัว!”
ไม่รอช้า ผู้คนจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ตั้งท่าพร้อมจากไปทันที ทว่าลู่เฉินกลับชิงตะโกนขึ้นเสียก่อน “แล้วคนพวกนี้เล่า เจ้าไม่เอากลับไปแล้วหรือ?”
หลังจากที่ลู่เฉินเอ่ยจบ เขาก็เหวี่ยงกระบี่ฟาดฟัน ร่างของกลุ่มคนที่เคยใส่ร้ายเขาพลันลอยขึ้นฟ้า ก่อนจะตกกระแทกลงพื้น ทั่วร่างพวกเขาอาบด้วยโลหิต เกิดบาดแผลขึ้นมากมาย กระดูกในกายพลันหัก สภาพคนเหล่านั้นบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย!
หงซานรีบตะโกนบอกศิษย์บางคนโดยรอบทันที “เร็วเข้า ไปดึงพวกเขากลับมา!”
ลู่เฉินได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ลืมเอ่ยสำทับอย่างเย็นชาว่า “หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว จงบอกทุกคนในสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ให้ดี หากคิดใส่ร้ายป้ายสีข้า… มันผู้นั้นต้องได้รับผลกรรมในเร็ววัน!”
เมื่อศิษย์สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้ยิน พวกเขาต่างนึกละอายใจขึ้นมา
ขณะที่ด้านหลังลู่เฉินนั้น ศิษย์จากสำนักเก้าสุขสงบต่างพากันส่งเสียงสนับสนุน
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเราเก่งที่สุด!”
“นี่มัน… บุตรศักดิ์สิทธิ์สุดยอด!”
เมื่อลู่เฉินหันกลับมา เขาจึงเห็นท่าทีตื่นตะลึงระคนประหลาดใจของฉินหลินและผู้เฒ่าเหยา ทว่าลู่เฉินกลับมองผ่านคนทั้งสอง และจ้องมองไปทางศิษย์ทั้งหลายแทน “ดังที่ข้าบอก ข้าไม่ใช่บุตรศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป หากใครก็ตามที่ต้องการ… เช่นนั้นก็จงมารับตำแหน่งนี้ไป!”
สีหน้าของหยานเยว่ฉายชัดถึงความตกใจ เดิมทีเขาคิดว่าตนเองจะเอาชนะลู่เฉินได้โดยง่าย แต่เมื่อเห็นผลลัพธ์ในขณะนี้ เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะท้าทายอีกต่อไป!
สำหรับผู้อาวุโสเฮย เขาต้องการจะกล่าวยั่วยุ แต่เมื่อเห็นกระบี่ในมือลู่เฉิน ก็พลันรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ผู้เฒ่าเหยามองลู่เฉินพลางยิ้มออกมา “พวกเขาไม่ต้องการมัน เช่นนั้นเจ้าก็ควรเก็บมันไว้!”
“แต่ข้าไม่ต้องการ!” คำพูดของลู่เฉินทำให้ทุกคนอับอาย
ขณะนั้นเอง ณ ส่วนลึกของสำนักเก้าสุขสงบ ได้มีเสียงสตรีดังก้องขึ้นมา “พาเขามา ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา”
เสียงนี้ทำให้ทุกคนถึงกับสะดุ้ง ขณะที่ลู่เฉินเองก็เกิดความสงสัย “นั่นใคร?”
ฉินหลินก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และกล่าวว่า “นั่นคือเจ้าสำนักของเรา!”
“เป็นผู้หญิง?” ลู่เฉินไม่เคยคิดว่าเจ้าสำนักเก้าสุขสงบนั้นเป็นผู้หญิง!
“ไฉนเจ้าสำนักจึงเป็นผู้หญิงกัน?” ชายหนุ่มไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์คนก่อนเป็นผู้ชายหรอกหรือ?”
ฉินหลินกระซิบตอบเสียงเบา “ท่านเจ้าสำนักของเราคือหญิงที่ปลอมเป็นชาย ตอนที่เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่มีใครทราบความจริงข้อนี้ ต่อมาเมื่อนางขึ้นเป็นเจ้าสำนัก เรื่องมันก็กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว”
ลู่เฉินไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้น!
ส่วนผู้อาวุโสเหยาเพียงยิ้มให้ลู่เฉิน แล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ!”
ลู่เฉินเก็บกระบี่ที่แปลงเป็นกริช และพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “ข้าอยากจะรู้นัก ว่านางต้องการทำอันใดกันแน่?”
จากนั้นชายหนุ่มก็เดินตามผู้อาวุโสเหยาขึ้นไปบนภูเขาเก้าสุขสงบด้วยกัน