ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 62 ของขวัญชิ้นนี้ ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง!
บทที่ 62 ของขวัญชิ้นนี้ ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง!
“ข้าก็ไม่ได้ต้องการอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่หวังว่าต่อไปในเมืองจวนสวรรค์แห่งนี้จะไม่มีใครมารังแกข้าได้” ลู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม
ว่านจินได้ยินเช่นนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ “ใคร ใครกล้ารังแกท่าน? ข้าจะไปจัดการเขา!”
ลู่เฉินกำลังจะตอบ ทว่าชั่วขณะนั้นว่านจินพลันหยิบป้ายชื่อออกมาจากแขนเสื้อเสียก่อน “นี่มอบให้ท่าน มันคือป้ายที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษของตระกูลว่าน เพียงแค่ท่านอยู่ในเมืองจวนสวรรค์แห่งนี้ ไม่ว่าทหารยามที่อยู่บริเวณใด หรือแม้กระทั่งใครที่ได้พบท่าน พวกเขาจะต้องให้ความเคารพท่าน หากไม่ ก็เท่ากับว่าดูหมิ่นข้า!”
“สิ่งนี้ช่างดีเสียจริง” ลู่เฉินรับมาด้วยสีหน้าเกรงใจ
ทว่าว่านจินยังรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่าง เขาจึงเอ่ยว่า “ท่านปรมาจารย์ ท่านบอกข้ามาได้เลยว่าท่านยังต้องการสิ่งใดอีก”
“ตอนนี้ข้าไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว” ลู่เฉินยิ้ม
ว่านจินรู้ว่าลู่เฉินเป็นผู้มีความสามารถแข็งแกร่งคนหนึ่ง ตอนนี้จึงพยายามเอาใจชายหนุ่มอย่างมาก “ท่านปรมาจารย์ ถ้าหากท่านไม่ติดปัญหาอันใด ท่านสามารถพักที่จวนของข้าสักสองสามวันก่อนได้”
ลู่เฉินส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ข้ายังมีสหายอีกหลายคนที่รออยู่นอกจวน”
“ข้าจะให้คนไปตามพวกเขาเข้ามาทันที”
“เจ้าเมืองว่าน ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น”
“มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ท่านอย่าได้เกรงใจไป”
ทว่าลู่เฉินยังคงปฏิเสธ “ถ้าหากท่านเจ้าเมืองต้องการต้อนรับข้าจริง ๆ ท่านสามารถหาพื้นที่ที่ถูกทิ้งร้างให้ข้าอยู่ที่เมืองนี้ได้”
เมื่อเห็นว่านจินแสดงสีหน้าสงสัย ลู่เฉินจึงอธิบายเพิ่ม “ข้าวางแผนจะอยู่ในเมืองนี้สักพักหนึ่ง และว่าจะลองหาลู่ทางทำการค้าดู”
“ย่อมได้ มอบเรื่องนี้ให้ข้าเถอะ ข้าจะให้คนรีบไปจัดการเรื่องที่พักส่วนตัวของท่านทันที”
“นี่… ไม่ลำบากท่านใช่หรือไม่?”
“ไม่เลย!”
จากนั้นว่านจินก็ตะโกนเรียกหนิวเถิงที่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ไกล ๆ “หนิวเถิง เจ้ามานี่!”
หนิวเถิงรีบวิ่งมาทันที โดยเฉพาะเมื่อเห็นจากช่องว่างของประตูว่าว่านเหยียนฟื้นแล้ว เขาก็พลันเอ่ยออกมาด้วยความดีใจว่า “คุณชายฟื้นแล้ว!”
“ก็ใช่น่ะสิ ท่านปรมาจารย์ลงมือเองเช่นนี้ ยังไงก็ต้องฟื้น!” ว่านจินเอ่ยอย่างพึงพอใจ
หนิวเถิงมองลู่เฉินด้วยสายตาชื่นชม “ท่านปรมาจารย์ ท่านมีนามว่าอะไร!”
ครั้นได้ยินคำถามนี้ แม้แต่สีหน้าของว่านจินเองก็เต็มไปด้วยความสงสัยเช่นกัน
ชายหนุ่มจึงคลี่ยิ้มก่อนจะตอบออกมาว่า “ลู่เฉิน”
หลังจากว่านจินทราบนามอีกฝ่ายแล้ว เขาจึงรีบออกคำสั่งแก่หนิวเถิงทันที “หนิวเถิง เจ้าจงนำทางท่านปรมาจารย์ลู่และคนของเขาไปยังคฤหาสน์ทางเหนือของข้า!”
“คฤหาสน์นั่น?” หนิวเถิงตกตะลึง
“ใช่ ข้าตั้งใจจะมอบคฤหาสน์นั่นให้ท่านปรมาจารย์ลู่”
หนิวเถิงได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่สูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่
เมื่อว่านจินเห็นหนิวเถิงมัวแต่อึ้ง เขาจึงเอ่ยเร่งทันที “ยังไม่รีบไปอีก!”
“ขอรับ ข้ากำลังจะไปแล้ว!” หนิวเถิงรีบขานรับ จากนั้นจึงมองไปยังลู่เฉินเพื่อให้ชายหนุ่มออกเดินทางไปพร้อมกับตน
ทว่าก่อนที่ลู่เฉินจะออกเดินทาง เขาก็ได้เอ่ยบางอย่างกับว่านจิน “ลูกชายของท่านสูญเสียความทรงจำไปชั่วขณะหนึ่ง และมันคงเป็นการดีกับเขาหากเจ้าไม่พูดถึงภูตผีหรือเรื่องที่เกิดขึ้น”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” ว่านจินขานรับ
จากนั้นลู่เฉินก็ออกเดินทางตามหนิวเถิงไป
เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ว่านจินที่บัดนี้สุขใจยิ่งนักก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อพูดคุยรำลึกถึงวันเก่า ๆ กับว่านเหยียน
…
ที่หน้าจวนเจ้าเมือง ทุกคนต่างก็รอกันมาประมาณครึ่งชั่วยามได้ บัดนี้พวกเขาจึงรู้สึกร้อนใจ แต่จางเชียนกลับรู้สึกยินดีอย่างออกนอกหน้าทีเดียว “สาวน้อย เห็นหรือยัง นี่ก็ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว”
ฮวาหลิงมู่รู้สึกกังวลจนไม่รู้จะเอ่ยเช่นไร ส่วนเหล่าสตรีต่างก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก และเจี่ยลัวเองก็รู้สึกกังวลใจเช่นกัน
คนอื่น ๆ ที่มารอดูความสนุกต่างก็เดินจากไปแล้ว เพราะพวกเขาคิดว่าเวลาผ่านไปนานเช่นนี้แต่ลู่เฉินยังไม่ออกมา อีกฝ่ายคงต้องกลายเป็นบ้าไปแล้ว และคงโดนเจ้าเมืองคุมขังไปแล้วเป็นแน่
ทว่าก็ยังมีบางคนที่อยากจะรอและกำลังพูดคุยกันอยู่
“นี่เป็นคนที่เท่าไหร่แล้ว?”
“ประมาณหนึ่งร้อยกว่าแล้วล่ะ”
“คิดว่าน่าจะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด”
“ก็นั่นแหละ แค่ขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น!”
ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าลู่เฉินจะไม่สามารถออกมาได้ ทันใดนั้นประตูใหญ่ก็เปิดออก จากนั้นทุกคนต่างก็มองเข้าไป
ขณะนั้นเอง ลู่ฉินพลันเดินออกมาข้างนอกอย่างสบายใจ ส่วนหนิวเถิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยอย่างสุภาพว่า “ท่านปรมาจารย์ลู่ ระวังบันได”
การที่หนิวเถิงดูใส่ใจมากจนผิดปกติเช่นนี้ทำให้ทุกคนแสดงสีหน้าแปลกใจ
ทว่าทุกคนกำลังสนใจลู่เฉินมากกว่าว่าเหตุใดจึงมีชีวิตรอดออกมาได้!
ฮวาหลิงมู่ดีใจยิ่งนัก นางหันไปเอ่ยกับจางเชียนอย่างเย้ยหยัน “ดูสิ เขาออกมาแล้ว!”
จางเชียนเองก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป เขาจึงก้าวออกไปด้านหน้าทันทีและแสดงวาจาดูหมิ่นใส่ลู่เฉิน “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่กล้าจนถูกไล่ออกมาหรอกนะ?”
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าหนิวเถิงจะตะโกนสวนกลับมาว่า “อย่าเสียมารยาท!”
“เสียมารยาท?” จางเชียนไม่เข้าใจว่าหนิวเถิงหมายความว่าอย่างไร จนกระทั่งหนิวเถิงกล่าวกับทุกคนว่า “นับตั้งแต่วันนี้ ท่านปรมาจารย์นับเป็นแขกคนสำคัญของท่านเจ้าเมือง ถ้าหากใครกล้าทำให้ท่านปรมาจารย์ไม่สบายใจ คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นศัตรูในสายตาของท่านเจ้าเมืองเช่นกัน!”
สิ้นประโยคดังกล่าว บริเวณโดยรอบก็พลันเกิดความวุ่นวายขึ้น
ส่วนจางเชียนนั้น ขณะนี้เขาได้อึ้งไปเสียแล้ว “อันใดนะ?”
หนิวเถิงมองไปยังลู่เฉินแล้วเอ่ยว่า “ท่านปรมาจารย์ลู่ เราไปกันเถอะ!”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ จากนั้นก็มองไปทางฮวาหลิงมู่และคนอื่น ๆ ที่ยังมีสีหน้างุนงง
“ไปกันเถอะ!”
“พี่ใหญ่ประหลาด มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ถึงแม้จะรู้แล้วว่าลู่เฉินไม่เป็นอะไร แต่เมื่อได้ยินว่าลู่เฉินกลายเป็นแขกคนสำคัญของเจ้าเมือง นางพลันรู้สึกแปลกใจขึ้นมา
ลู่เฉินจึงเดินไปด้วยอธิบายไปด้วย
ส่วนจางเชียน หลังจากยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง สักพักตัวเขาจึงได้สติกลับมา
“เถ้าแก่จาง เรื่องจบลงแล้วใช่หรือไม่?” เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจ เพราะเหตุการณ์ครานี้หอสมบัติสวรรค์ได้รับความเสียหายไม่น้อย และหากพวกเขาไม่สามารถหาใครมารับผิดชอบได้ สุดท้ายก็ต้องเป็นพวกเขาที่ต้องชดใช้แทน!
สำหรับเสี่ยวเอ้อเหล่านี้แล้ว สิ่งนี้มันก็ไม่ต่างกับการตัดชิ้นเนื้อของตนเอง!
ทว่าไม่เพียงแค่คนเหล่านี้เท่านั้น เพราะจางเชียนเองก็มีสีหน้าย่ำแย่ไม่แพ้กัน “ต้องให้เขาชดใช้ ไม่เช่นนั้นหอสมบัติสวรรค์ของเราจะทำเช่นไร?”
“แต่เขากลายเป็นแขกคนสำคัญของท่านเจ้าเมืองไปแล้ว”
จางเชียนได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับไปด้วยความโมโห “ข้ามีวิธีของข้า!”
เขาเอ่ยจบก็ตะโกนเรียกให้ทุกคนตามออกไป
…
ครั้นฮวาหลิงมู่และคนอื่น ๆ ได้ยินว่าลู่เฉินจัดการเรื่องภูตสาว อีกทั้งยังช่วยทำให้คุณชายแห่งตระกูลว่านฟื้นขึ้นมา แต่ละคนก็พากันกล่าวชมไม่หยุดปาก
หนิวเถิงที่นำทางอยู่ก็เอาใจชายหนุ่มด้วยสารพัดวิธี
จนเวลาล่วงเลยไปช่วงหนึ่ง ทุกคนที่ขึ้นรถม้ามาจากในเมืองก็เดินทางมาถึงพื้นที่ทางเหนือของเมืองแล้ว
เพียงแค่มองผ่านรถม้าออกไป พวกเขาจะสังเกตว่าตรงมุมหนึ่งมีภูเขาลูกใหญ่ และที่บริเวณตีนเขาแห่งนั้นมีคฤหาสน์หลังโตงดงามทว่าไร้ผู้คน
เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย หนิวเถิงก็เอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “ท่านปรมาจารย์ลู่ ที่แห่งนี้นับว่าเป็นพื้นที่งดงามที่สุดแล้วของเมืองนี้ หากมองลงมาจากบนภูเขานั่น ท่านสามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบ ๆ ได้โดยทั่วเชียวนะ”
หลังจากที่ลู่เฉินได้เห็นคฤหาสน์หลังนี้ ในส่วนลึกก็พลันรู้สึกเกรงใจขึ้นมา “นี่มันใหญ่เกินไปหรือไม่?”
“มีเพียงสิ่งนี้ถึงจะเป็นการแสดงความเคารพแก่ท่านปรมาจารย์ลู่ได้” หนิวเถิงกล่าวประจบ
ลู่เฉินที่ฟังอยู่ก็ได้แต่ยิ้มออกมา “ย่อมได้ เช่นนั้นก็จะอยู่ที่นี่แล้วกัน”
หลังจากหนิวเถิงนำกุญแจมอบให้ลู่เฉิน เจ้าตัวก็ได้ย้ำกับชายหนุ่มว่า “หากท่านต้องการทหารยาม ข้าสามารถจัดหาให้ท่านได้!”
“ไม่เป็นอะไร ข้าไม่ต้องการให้มีคนนอก”
“ย่อมได้ จากนี้ถ้าหากท่านต้องการอะไร เพียงแค่ไปยังประตูเมืองและบอกแก่หน่วยลาดตระเวน พวกเขาจะคอยช่วยเหลือท่าน!”
“ได้” ลู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เมื่อหนิวเถิงเห็นว่าลู่เฉินพึงพอใจ เขาก็เตรียมที่จะกล่าวลา หากแต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับหยิบถุงสุญญะญาณออกมาแล้วเอ่ยกับเขาว่า “ในนี้มีศิลาวิญญาณระดับต่ำอยู่หนึ่งร้อยล้าน”
“นี่” หนิวเถิงยังคงไม่ค่อยเข้าใจ
“ต่อไป ถ้าในเมืองมีข่าวพิเศษอันใด ขอให้รีบมารายงานข้าที่นี่”
เมื่อหนิวเถิงได้ฟังก็เข้าใจในทันที “ข้าจะจัดการเรื่องนี้แทนท่านปรมาจารย์ลู่เป็นอย่างดี”
“ดีแล้ว เจ้าไปเถอะ!”
ว่าแล้วหนิวเถิงก็รับศิลาวิญญาณมาและกลับไปด้วยความดีใจ
เมื่อฮวาหลิงมู่และคนอื่น ๆ เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่แต่ไร้ซึ่งผู้อยู่อาศัย พวกเขาต่างก็พากันตกตะลึง
ลู่เฉินให้พวกเขาเลือกห้องพักอาศัย ขณะที่ตัวเขาเองกลับเดินขึ้นไปบนภูเขาหลังคฤหาสน์แทน
ด้านข้างของภูเขามีขั้นบันไดซึ่งนำไปสู่ยอดเขา โดยจะต้องก้าวขึ้นบันไดถึง 999 ขั้น จึงจะไปถึงยอดเขาได้ และไม่เพียงเท่านี้ เพราะบนยอดเขายังมีศาลา เก้าอี้หิน และโต๊ะหิน ทำให้เมื่อยืนอยู่ที่นั่นก็จะสามารถนั่งชมทิวทัศน์โดยรอบได้อย่างสะดวกสบาย
“เจ้าเมืองคนนี้นับว่าใจป้ำไม่น้อย” ลู่เฉินยิ้ม
ทันใดนั้น หนานเหยาก็พลันปรากฏตัวออกมา ทว่าโชคดีนักที่มีเพียงลู่เฉินเท่านั้นที่สามารถมองเห็นนางได้!