ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 61 ฐานะที่แท้จริงของนาง!
บทที่ 61 ฐานะที่แท้จริงของนาง!
เมื่อเห็นภูตสาวกำลังดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด ลู่เฉินก็คลี่ยิ้มออกมา “น้องสาวภูต กลัวหรือยังเล่า?”
“ใครเป็นน้องสาวเจ้า อย่ามาพูดซี้ซั้ว! ข้าไม่ได้เด็กขนาดนั้น!” แม้ว่าภูตสาวจะรู้สึกทุกข์ทรมาน แต่นางก็ยังอยากจะแย้งลู่เฉิน
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเรียกเจ้าว่าน้องสาวก็จริง แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าแก่แล้ว”
”หยุดเสแสร้งได้แล้ว!” ภูตสาวตะคอกใส่อย่างกลัดกลุ้ม
”ไม่ว่าเจ้าจะเสแสร้งหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้เจ้ามีแต่ต้องประนีประนอมเท่านั้น!” ลู่เฉินมองนางด้วยรอยยิ้ม
”แล้วหากข้าจะหนีเล่า? เจ้าจะขวางได้หรือ?” ภูตสาวเอ่ยจบ ร่างของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นไอสีแดง เพื่อพยายามหนีออกไปจากที่นี่
แต่เมื่อภูตสาวพุ่งไปที่กำแพง นางกลับถูกดีดออกราวกับว่าชนเข้ากับสิ่งกีดขวางบางอย่าง
นางถึงกับหน้าซีดด้วยความตกใจ “เกิดอันใดขึ้น?”
”ก่อนหน้านี้ข้าวางอักขระยันต์ที่สามารถกักขังวิญญาณไว้รอบ ๆ ดังนั้นตอนนี้วิญญาณใด ๆ ก็ไม่สามารถเข้าหรือออกจากที่นี่ได้” ลู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม
หลังจากได้ฟังเช่นนั้น ผนวกกับมีเวลาครุ่นคิดชั่วครู่ ภูตสาวชุดแดงก็เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา “เจ้าอยู่แค่ขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น เหตุใดจึงมีวิชาคำสาปที่ทรงพลังเช่นนี้ แล้วไหนจะอักขระยันต์ที่แข็งแกร่งนี่อีก?”
“คำถามนี้ข้าไม่มีหน้าที่ต้องบอกเจ้า”
เมื่อสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ ภูตสาวพลันเริ่มวิตกกังวล “ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าก็จะไม่บอกเจ้าเช่นกัน!”
”ถ้าเช่นนั้นเจ้าอยากลองชิมคำสาปภูตผีอีกสักสองสามครั้งไหมเล่า?!” ลู่เฉินกล่าวพลางทำให้สายโซ่รัดแน่นเข้าไปทำอีก!
ตอนแรกภูตสาวยังคงดื้อรั้นไม่ยินยอม ทว่าเมื่อทำอย่างไรก็ไม่ได้ผล สุดท้ายนางจึงตะโกนว่า “หยุด ๆ!”
”อันใดนะ? ยอมประนีประนอมแล้วหรือ?”
ภูตสาวรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก แต่นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมพูด “แล้วเจ้ามีหนทางอื่นให้ข้าเลือกด้วยหรือไร? ”
”เช่นนั้นก็จงบอกมาว่าเหตุใดเจ้าถึงรังควานเขา แล้วเจ้ามาจากที่ใด นามว่าอะไร! เหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นภูตผีและอยู่ในมหาทวีปจิ่วโหยว!”
หลังจากที่คนคนหนึ่งตาย คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นวิญญาณโดดเดี่ยว และแม้ว่าตอนเป็นคนจะอยู่ขั้นหลอมแก่นแท้หรือขั้นก่อกำเนิดขึ้นไป เพียงแค่ชีวิตจบสิ้นลง พวกเขาก็จะกลายเป็นภูตผี และเข้าสู่โลกหลังความตาย
ด้วยเหตุนี้การจะเห็นภูตผีที่มหาทวีปจึงค่อนข้างยาก นอกจากเสียจากจะอยู่ในสถานการณ์พิเศษ
แม้จะหนีไม่ได้ ทว่าภูตสาวก็ไม่คิดจะยอมโดยง่าย นางเริ่มต่อรองกับลู่เฉิน “หากข้าบอกความจริง เจ้าก็ห้ามฆ่าข้าเด็ดขาด!”
”วางใจ ข้ารับปาก” ลู่เฉินไม่ได้ตั้งใจจะกำจัดนางอยู่แล้ว เขาจึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ภูตสาวก็แนะนำตัวเอง และบอกเหตุผลที่ต้องรังควานว่านเหยียน
ครั้นฟังจากสิ่งที่ภูตสาวเล่าออกมา
ลู่เฉินพบว่าชื่อของนางคือหนานเหยา เจ้าหญิงคนเล็กจากราชวงศ์หนานโยวเมื่อห้าพันปีที่แล้ว แต่หลังจากถูกใส่ร้ายและถูกสังหาร วิญญาณของนางก็ถูกผู้ที่ฝึกวิถีภูตผีผนึกไว้ในสร้อยคอ
ต่อมาผู้ฝึกวิถีภูตผีได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นหนานเหยาจึงควบคุมสร้อยแล้วหนีออกมา
แต่เพราะหนานเหยาเป็นภูตผี นางจำเป็นต้องพึ่งพาดอกไม้และต้นไม้พิเศษบางอย่างเพื่อประคองชีพ ก่อนที่วันหนึ่ง… ว่านหยียนคนนี้จะบังเอิญเดินผ่านกลุ่มคนและหยิบสร้อยเส้นนี้ขึ้นมา
และเพื่อที่จะฟื้นตัวให้เร็วกว่าเดิม หนานเหยาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอให้ว่านเหยียนช่วยนาง
แต่หลังจากที่หนานเหยาเล่าจบ นางก็เอ่ยอย่างกังวลว่า “ทั้งหมดนี้เป็นไปด้วยความสมัครใจของเขา ข้าไม่ได้บังคับเขา!”
“เจ้าไม่ได้บังคับเขา แต่สร้อยเส้นนั้นเป็นศาสตราวิถีภูต และหากผู้ฝึกตนขั้นพลังต่ำต้อยสวมใส่มันเป็นเวลานาน มันก็จะส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกของเขาได้โดยง่าย และผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุดก็เห็นจะเป็นการที่ผู้ครอบครองกลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา”
หนานเหยารู้สึกหดหู่ใจ “ข้าได้เกลี้ยกล่อมให้เขาทิ้งสร้อยคอไปแล้ว แต่เขาปฏิเสธและบอกว่าจะช่วยข้า”
“แล้วเจ้าอยากให้เขาหายดีหรือไม่?”
”แน่นอน ถึงอย่างไรเสียเขาก็นับว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตข้า” หนานเหยาพยักหน้า
”เช่นนั้นอีกเดี๋ยวข้าจะปิดผนึกความทรงจำบางส่วนของเขา เพื่อที่เขาจะจำสิ่งเหล่านั้นไม่ได้หลังจากที่ตื่นขึ้น เพียงเท่านี้ปัญหาก็นับว่าจบไป”
หนานเหยารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง “จริงหรือ?”
”อืม!”
จากนั้นวิญญาณของลู่เฉินก็กลับเข้าร่าง
ชายหนุ่มเดินไปอยู่ข้างกายว่านเหยียน และหลังจากค้นหาเพียงชั่วครู่ เขาก็พบสร้อยคอสีดำเส้นนั้น
มันเป็นสร้อยคอที่มีไข่มุกสีดำสามเม็ด ซึ่งแผ่กลิ่นอายภูตผีที่แข็งแกร่งออกมา
”สิ่งนี้มีอิทธิพลต่อเขามากเกินไป” ลู่เฉินเอ่ยจบก็ถอดมันออกทันที
ในขณะเดียวกัน เขาได้เคาะหน้าผากของว่านเหยียนด้วยมือข้างหนึ่ง เพื่อเริ่มปิดผนึกความทรงจำบางส่วนของอีกฝ่าย
หนานเหยามองดูภาพตรงหน้าด้วยสีหน้างุนงง
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ลู่เฉินก็เหงื่อแตกพลั่ก “เสร็จแล้ว!”
หลังได้ยินเช่นนั้น หนานเหยาพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โชคดีที่เขาไม่ตาย!”
ลู่เฉินหยิบสร้อยคอเส้นนั้นขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “เข้าไปเถิด”
“เจ้าจะทำอันใด?” หนานเหยาเริ่มระแวง
ทว่าลู่เฉินเพียงส่งยิ้มให้นางแล้วเอ่ยว่า “เจ้ายังวางแผนที่จะล่องลอยอยู่ในจิตสำนึกของเขาต่อไป? หรือว่าอยากเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก?”
หนานเหยาย่อมไม่คิดทำเช่นนั้นเพราะนางยังคงอ่อนแอเกินไป ภูตสาวจึงลังเลอยู่นาน และท้ายที่สุดก็ได้เอ่ยกับลู่เฉินว่า “เจ้าช่วยอะไรข้าหน่อยได้หรือไม่?”
”พูดมา”
“ส่งสร้อยคอเส้นนี้กลับไปยังคนของราชวงศ์หนานโยว”
ลู่เฉินคลี่ยิ้มพลางถามขึ้นมา “อันใดนะ? ยังอยากกลับไปเป็นองค์หญิงหรือ?”
”ในคราที่ข้าตาย ญาติของข้าไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ข้าอยากพบพวกเขาก่อนที่ข้าจะสลายไป” หนานเหยากล่าวด้วยท่าทีปลงอนิจจัง
“สลายไป?”
“สร้อยคอเส้นนี้ ถ้าไม่ดูดซับพลังของดอกภูตผีหรือดอกไม้และพืชพิเศษอื่น ๆ ต่อไป ข้าก็จะค่อย ๆ อ่อนแอลงและหายไปในที่สุด” หนานเหยาเอ่ยอย่างจนปัญญา
”ถ้าเจ้าขอร้องข้า ข้าย่อมมีวิธีป้องกันไม่ให้เจ้าอ่อนแอลง และยังทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้”
วาจานี้ของชายหนุ่มทำให้หนานเหยารู้สึกประหลาดใจ “เจ้ามีวิธีจริง ๆ หรือ?”
”เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
หนานเหยาจึงเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ได้โปรด ช่วยข้าด้วย”
”มันขึ้นอยู่กับความจริงใจของเจ้า” ลู่เฉินยิ้มให้นาง
เมื่อหนานเหยาได้ยินเช่นนั้น นางพลันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที “หากข้ายังมีร่างกายอยู่ ข้าคงใช้ร่างกายของข้าเข้าแลก แต่ตอนนี้ข้าเป็นแค่ภูตผี …มันคงยากที่จะทำอันใดได้”
ลู่เฉินได้ยินเช่นนั้นก็คล้ายกับหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เขาจึงเร่งพูดอย่างปัด ๆ ว่า “ข้าว่านะน้องสาวภูต เจ้าช่วยทำตัวให้ปกติหน่อยได้หรือไม่”
”อย่าเรียกข้าว่าน้องสาว! ข้าไม่เด็กแล้ว!”
”ข้าบอกแล้วว่าในสายตาของข้า เจ้ายังเด็กมาก” คำพูดของลู่เฉินทำให้หนานเหยากลัดกลุ้มใจ “ถ้าอย่างนั้นบอกข้าสิ เจ้าต้องการความจริงใจอะไรจากข้า”
“ตั้งแต่นี้ไป ให้ฟังข้าทุกอย่าง และอย่าออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า” ลู่เฉินสั่ง
“เจ้าค่ะ!” หนานเหยายอมรับอย่างช่วยไม่ได้
”เอาล่ะ เจ้าเข้าไปสร้อยคอก่อน”
หนานเหยาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าไปในสร้อยคอ ส่วนลู่เฉินก็คิดจะยัดมันลงในถุงสุญญะญาณ แต่สร้อยคอเส้นนี้พิเศษเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่สามารถใส่เข้าไปในถุงสุญญะญาณได้
ชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแขวนมันไว้บนอก
“เจ้าไม่กลัวว่าสร้อยเส้นนี้จะทำให้วิญญาณของเจ้าอ่อนแอลงหรือ?” เสียงหนานเหยาดังขึ้นมา
”มันไม่มีทางทำได้หรอก!”
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้หนานเหยาสงสัยยิ่งนักว่า แท้จริงแล้วลู่เฉินเป็นใครกันแน่ เหตุใดเขาถึงพูดจาหยาบคายและทำตัวราวกับสัตว์ประหลาดเฒ่าเช่นนี้
ทางด้านลู่เฉิน เมื่อเขาถ่ายเทพลังปราณสายหนึ่งเข้าไปในหน้าผากของว่านเหยียน อีกฝ่ายก็พลันลืมตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ ราวกับว่าลืมอะไรบางอย่าง “ที่นี่คือที่ใด?”
ลู่เฉินที่เห็นดังนั้นจึงยิ้มออกมา ก่อนจะเดินไปที่ประตูเรือนแล้วเปิดออก
ยามนี้ว่านจินรออยู่ที่นั่นนานกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว กระทั่งลู่เฉินเปิดประตู หัวใจของเขาก็พลันเต้นรัวด้วยความคาดหวัง ปากก็เอ่ยถามอย่างตะกุกตะกัก “ปะ… เป็นอย่างไรบ้าง”
”เข้าไปดูเองเถอะ”
หลังจากลู่เฉินเอ่ยเช่นนั้น ว่านจินก็รีบสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานเขาก็เห็นว่านเหยียนตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าที่กลับมาเป็นปกติ
”เจ้า…. ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว!” ท่านเจ้าเมืองจวนสวรรค์กล่าวอย่างตื่นเต้นยินดี
“ท่านพ่อ ข้าเป็นอะไรไป?” ว่านเหยียนรู้สึกสับสน
ว่านจินจึงอธิบายให้บุตรชายฟังว่า “เจ้า เจ้าถูกวิญญาณชั่วร้ายตามรังควาน โชคดีที่ปรมาจารย์ท่านนี้ช่วยเจ้าจัดการ ไม่เช่นนั้นเจ้าก็คงไม่ฟื้นอีกตลอดไป”
ว่านเหยียนรู้สึกงงงวย “วิญญาณชั่วร้าย?”
ว่านจินไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหน เขาหันซ้ายขวาก่อนจะเอ่ยปากตั้งท่าจะพูด…
ทว่าลู่เฉินกลับกระแอมเบา ๆ ขัดขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “เขาต้องพักผ่อนสักหน่อย อย่าไปรบกวนเขา”
หลังจากที่ว่านจินได้ยินเช่นนั้น เจ้าตัวก็ได้แต่ปล่อยให้ว่านเหยียนนอนลงพักผ่อน
จากนั้นท่านเจ้าเมืองก็วิ่งออกไปนอกเรือน เขาปิดประตูและคว้าจับมือทั้งสองของลู่เฉินเอาไว้ ทั้งยังเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านปรมาจารย์ ได้โปรดบอกข้ามาว่าท่านต้องการสิ่งใด ข้าจะให้ทุกสิ่งแก่ท่าน!”