ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 60 สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือวิญญาณ!
บทที่ 60 สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือวิญญาณ!
เมื่อหนิวเถิงถามคำถามดังกล่าว ในหัวของว่านจินก็พลันปรากฏภาพสตรีชุดแดง ก่อนที่เขาจะกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึมว่า “นางเป็นภูตสาวที่หน้าตางดงามยิ่ง!”
”เหตุใดพวกหมอหรือผู้เชี่ยวชาญคนก่อน ๆ จึงไม่เคยพบนางมาก่อน” หนิวเถิงสงสัย เพราะเขาไม่เคยเห็นท่าทีเกรงกลัวของท่านเจ้าเมืองจวนสวรรค์เช่นนี้มาก่อน!
ว่านจินขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “บางทีคนพวกนั้นอาจไร้น้ำยา!”
“แต่ชายหนุ่มผู้นี้เพิ่งอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น …เช่นนั้นแล้วเขาทำมันได้อย่างไร?”
ว่านจินถลึงตาใส่หัวหน้าทหารยามผู้นั้นทันที “ก็เพราะเขาเป็นปรมาจารย์!”
หนิวเถิงได้ยินแล้วก็หัวเราะ ก่อนจะถามออกมาว่า “ท่านเจ้าเมือง เช่นนั้นดอกไม้ในสวนเหล่านั้นเล่า?”
“จัดการซะ ทำลายทั้งหมด!”
“ขอรับ!” หนิวเถิงรับคำสั่งและหันหลังจากไป
เมื่อเหลือตัวคนเดียว ว่านจินก็เผยสีหน้าคาดหวังออกมา “ข้าหวังว่าปรมาจารย์ผู้นี้จะปราบภูตสาวตนนั้นได้!”
…
หลังจากที่ลู่เฉินจัดวางค่ายกลเสร็จสิ้น เขาก็ได้นั่งขัดสมาธิลงและหลับตา ไม่นานนักวิญญาณของเขาก็ออกจากร่างกายเนื้อ
และเหตุที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะนี่เป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่ ‘แดนจิตวิญญาณ’ หรือ ‘โลกแห่งจิตสำนึก’ ของว่านเหยียน
ภูตสาวตนนั้นเองก็เช่นกัน นางกำลังอาศัยอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกในร่างของว่านเหยียน
ทว่าโลกจิตสำนึกของว่านเหยียนนั้นถูกปิดกั้นด้วยเขตแนวกั้นโปร่งใส และสิ่งนี้แท้จริงแล้วมันก็คือเขตแนวกั้นจิตสำนึก หรือที่เรียกว่าชั้นป้องกันของจิตสำนึก
เมื่อลู่เฉินมาอยู่นอกเขตแนวกั้น วิญญาณของลู่เฉินก็วางมือลงบนเขตแนวก่อนจะเดินเข้าไป
พริบตาที่ผ่านเขตแนวกั้นของว่านเหยียนไปแล้วนั้น ว่านเหยียนและภูตสาวที่อยู่ในจิตสำนึกก็พากันมองมาที่ลู่เฉินด้วยความประหลาดใจ
โดยเฉพาะว่านเหยียนที่พูดอย่างร้อนใจว่า “เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงเข้ามาที่ห้องของข้า!”
ว่านเหยียนในยามนี้ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกมายาได้ และยังคิดว่าตนเองอยู่ใน ‘ความเป็นจริง’ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นลู่เฉินเข้ามาจึงคิดว่ามีคนนอกบุกเข้ามาในห้องของตน
”เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด” ลู่เฉินโบกมือ ส่งเมฆหมอกแห่งความมืดโจมตีไปที่วิญญาณของว่านเหยียน ทำให้อีกฝ่ายกลับคืนสู่ร่างตัวเองและหลับสนิทไป
เมื่อหันไปมองอีกคนที่หลงเหลือ ชายหนุ่มก็ได้เห็นภูตสาวที่อายุราวยี่สิบปี นางนับได้ว่าเป็นหญิงที่มีใบหน้าสวยสดงดงามปานล่มเมืองผู้หนึ่งเลยทีเดียว!
“เจ้าเป็นใคร” ภูตสาวมองไปที่ลู่เฉิน
ชายหนุ่มสบตากับภูตสาว ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าคือปรมาจารย์ปราบภูตผีที่ท่านเจ้าเมืองเชิญมา!”
“ปรมาจารย์ปราบภูตผี? แค่เจ้า?” ภูตสาวยิ้มอย่างอ่อนโยน
และแม้มันจะเป็นเพียงรอยยิ้มสบาย ๆ แต่มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้จิตวิญญาณของลู่เฉินสั่นสะท้าน!
”บอกมาเถิด เหตุใดเจ้าจึงต้องคอยรังควานเขา?” ลู่เฉินรู้ว่าการที่ภูตผีตามรังควานคนคนหนึ่งโดยไม่ฆ่านั้นมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือภูตตนนั้นต้องอยากได้บางอย่างจากคนผู้นั้น
“เหตุใดข้าต้องบอกเจ้า?” ภูตสาวหัวเราะ
เมื่อเห็นว่านางยังกล้าหัวเราะ ลู่เฉินจึงเอ่ยว่า “คงไม่ใช่เพราะความรักระหว่างมนุษย์กับภูตผีหรอกกระมัง?”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะไปชอบเด็กอย่างเขาได้อย่างไร?”
“เด็ก?”
“หยุดพูดพล่ามไร้สาระ ข้าน่ะฝึกบ่มเพาะมานานหลายพันปีแล้ว” ภูตสาวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
”มันไม่ใช่ความรักระหว่างมนุษย์กับภูตผี แล้วเช่นนั้นเจ้าเก็บเขาไว้เพราะเหตุใด? ทั้งยังคอยทำให้เขาตกอยู่ในความฝันทุกคืนอีก!”
ลู่เฉินรู้ว่าภูตผีไม่ใช่สิ่งที่จะพูดคุยด้วยได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะภูตสาวที่อยู่ตรงหน้าซึ่งฝึกฝนบ่มเพาะมานานกว่าพันปี กล่าวได้ว่านางสามารถเข้าสู่โลกแห่งจิตวิญญาณของคนที่อยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้ได้ตามต้องการ
และแม้กระทั่งสามารถสังหารว่านเหยียนที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานได้อย่างไม่เป็นปัญหาโดยที่ไม่มีใครรู้ตัวด้วยซ้ำ!
ทว่าว่านเหยียนกลับไม่ตาย และถูกภูตสาวตามรังควานมาเป็นเวลาถึงสามปี!
นี่ถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติยิ่งนัก
ภูตสาวมองไปที่ลู่เฉินด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะบอกให้นะเด็กเอ๋ย เรื่องของพี่สาวภูต เจ้าเดาไม่ออกหรอก”
”ลองพูดมาสิ” ลู่เฉินมองนางด้วยรอยยิ้ม แต่อีกฝ่ายกลับส่งเสียงจุ๊ ๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าให้ข้าบอก ข้าก็จะบอกงั้นหรือ?”
ภูตสาวตนนี้ยิ้มกว้าง ก่อนจะลอยมาอยู่เบื้องหน้าลู่เฉิน
ชายหนุ่มมองนางด้วยรอยยิ้มกลับไปเช่นกัน “เจ้าฝึกฝนบ่มเพาะมาไม่น้อย คงฝึกมาได้ห้าพันปีใช่หรือไม่?”
“เจ้ารู้จักภูตผีดีหรือ?”
“รู้จัก! รู้จักดี!” ลู่เฉินเคยจุติเป็นจักรพรรดิภูตผีที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งแดนชุมนุมภูตผีมาก่อน ดังนั้นมีหรือที่เขาจะไม่รู้!
ทว่าภูตสาวตนนี้ไม่รู้ นางคิดว่าเขากำลังล่อหลอก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่กลัวข้า? ไม่เป็นอันใด อีกเดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้ากลัวเอง…. ด้วยการทำลายวิญญาณที่เปราะบางของเจ้าเสีย!”
”ทำลายวิญญาณของข้า?” ลู่เฉินอดที่จะหัวเราะไม่ได้
“เจ้าเพิ่งอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ ข้าแค่หายใจเบา ๆ ก็ย่อมสามารถพัดวิญญาณของเจ้าให้แหลกสลายโดยง่าย!” ภูตสาวกล่าวอย่างมั่นใจ
ทว่าลู่เฉินก็ยังคงยิ้มกริ่ม “พูดตามตรง การโจมตีที่ข้ากลัวที่สุดคือการโจมตีของภูตนี่แหละ!”
”โอ้? บังเอิญขนาดนั้นเชียวหรือ?”
”ลองดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ!” วิญญาณของลู่เฉินกลับคืนสู่ร่าง ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันทั้งกายเนื้อไปทางภูตสาว และเผยรอยยิ้มภายใต้นัยน์ตาภูตผี
เมื่อภูตสาวเห็นว่าแม้ลู่เฉินจะกลับคืนร่างแล้ว ทว่าเขาก็ยังคงมองเห็นตนอยู่ นางก็พลันตกตะลึง “เจ้ามองเห็นข้าหรือ?”
“เจ้าคิดว่าเจ้าซ่อนอยู่ในจิตสำนึกของเขาแล้วข้าจะมองไม่เห็นเจ้าหรือ?”
คำพูดนี้ทำให้ภูตสาวรู้สึกทึ่ง ทว่านางก็ยังคงไม่เชื่อว่าลู่เฉินจะสามารถต้านทานการโจมตีของนางได้ นางจึงเผยยิ้มทรงเสน่ห์ออกมาก่อนจะกล่าวปิดท้ายว่า “เช่นนั้นเจ้าก็คอยดูแล้วกัน!”
ภูตสาวเอ่ยจบก็โบกมือ นางส่งผ้าแพรสีแดงเปล่งประกายเข้าพันรอบคอของลู่เฉิน!
ที่แท้ผ้าแพรนี้ไม่ใช่เงาลวงตา ทว่าก็ไม่ใช่ของจริงเช่นกัน หากแต่เป็นการโจมตีจิตวิญญาณด้วยเคล็ดวิชาภูต!
แต่ลู่เฉินกลับเปิดม่านโปร่งใสเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยตนทะลวงจุดชีวิตที่แปด
ดังนั้นเมื่อการโจมตีของภูตสาวเข้ากระทบม่านโปร่งใส มันก็พลันหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน!
สิ่งนี้ทำให้ภูตสาวประหลาดใจไม่น้อย “เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าอยู่แค่ขั้นกลั่นลมปราณ เหตุใดถึงไม่เป็นอันใด?”
“ต่อเลย อย่าหยุด!” ลู่เฉินไม่คิดอธิบายให้เปลืองน้ำลาย เขาเพียงยิ้มให้ภูตสาวทีหนึ่งเท่านั้น
ภูตสาวจึงพยายามอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม นั่นก็คือนางไม่สามารถทำอะไรลู่เฉินได้เลย!
”พลังบ่มเพาะของเจ้าอ่อนแอขนาดนี้เชียวหรือ?” หลังจากลู่เฉินสังเกตดี ๆ เขาก็พบว่าการโจมตีวิญญาณของอีกฝ่ายนั้นเทียบเท่ากับพลังโจมตีของผู้ฝึกตนในขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น!
ซึ่งประโยคนี้ทำให้ภูตสาวโกรธยิ่ง นางขบฟันแน่นและกล่าวอย่างแค้นเคืองว่า “เช่นนั้นก็จงดูให้เต็มตา!”
จากนั้นภูตสาวก็เปิดการโจมตีเข้าใส่นับครั้งไม่ถ้วน
ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นาน… ลู่เฉินจะสามารถสร้างกระแสน้ำวนกลุ่มที่แปดได้สำเร็จ!
“อืม ไม่เลว!” ลู่เฉินพอใจกับผลลัพธ์ยิ่งนัก ก่อนที่วิญญาณของเขาจะออกจากร่างอีกครา
ภูตสาวจ้องเขม็งมองวิญญาณของลู่เฉินอย่างแปลกประหลาด “เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บเลยหรือ?”
“บอกตามตรง สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าก็คือวิญญาณ!” ลู่เฉินเอ่ยพลางหัวเราะอย่างชั่วร้าย
”เป็นไปไม่ได้!” ภูตสาวไม่เชื่อ นางไม่รู้ว่าวิญญาณของลู่เฉินนั้นเคยผ่านมาหลายชาติภพแล้ว ดังนั้นมันย่อมไม่ใช่สิ่งที่ภูตสาวจะทำลายได้ง่าย ๆ!
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของอีกฝ่าย ชายหนุ่มพลันเผยรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวเย้าแหย่นางอีกรอบ “หากเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นเจ้าก็สามารถลองได้อีกสองสามครั้ง!”
แน่นอนว่าภูตสาวยังคงอยากสู้ต่อ นางจึงโจมตีอีกสองสามครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถทำอันใดลู่เฉินได้
”ไม่เล่นแล้ว น่าเบื่อ!” นางเอ่ยด้วยความโกรธ
“บอกมาเถิดว่าเหตุใดต้องรังควานเขา”
“ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!” ภูตสาวโกรธจัด
”ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าก็คงต้องลงมือแล้ว!”
“แค่ตัวตนขั้นกลั่นลมปราณเช่นเจ้าน่ะรึ?” ภูตสาวไม่เชื่อว่าลู่เฉินจะทำอะไรนางได้
ชายหนุ่มพลันฉีกยิ้ม “ย่อมได้ เพราะข้าจะร่ายคำสาปภูตผีใส่เจ้า!!”
“คำสาปภูตผี? เจ้าขู่ข้ารึ?!”
ทว่าชายหนุ่มไม่คิดเถียงให้เสียเวลา เขาพึมพำบางอย่าง ก่อนที่ลำแสงสีดำจะสว่างวาบออกมาจากเรือนกาย
ครู่ต่อมาโซ่ตรวนสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งทะยานออกมาจากร่างของลู่เฉิน และเข้ารัดพันภูตสาวเอาไว้เสียแน่นหนา!
หลังจากที่ภูตสาวพบว่าร่างของตนขยับไม่ได้ สีหน้านางก็พลันเปลี่ยนไป “เจ้า…. วิญญาณของเจ้า เหตุใดจึงแข็งแกร่งเช่นนี้!”
แต่ลู่เฉินไม่คิดอธิบาย เขาลงมือจัดการอีกฝ่ายต่อไป
ในไม่ช้า ภูตสาวก็ถูกมัดจนแน่น ซึ่งมันก็ค่อย ๆ สร้างความทรมานให้กับนางมากขึ้น… และมากขึ้นเรื่อย ๆ