ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 59 ดวงตาภูตผีที่เห็นภาพต่างออกไป
บทที่ 59 ดวงตาภูตผีที่เห็นภาพต่างออกไป
ลู่เฉินไม่กลัวเลยสักนิด เขาหันไปหาฮวาหลิงมู่ที่กำลังหวาดกลัวแล้วเอ่ยว่า “รอดูเรื่องสนุกเถิด”
เรื่องสนุก?
ฮวาหลิงมู่ไม่รู้ว่าลู่เฉินกำลังคิดอันใดอยู่
บัดนี้ผู้คนที่อยู่รอบข้างก็ได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยามทีเดียวกว่าจะถึงหน้าประตูจวนเจ้าเมือง
ยามนี้หนิวเถิงมาถึงหน้าประตูแล้ว ทหารยามที่เฝ้าประตูต่างก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งหนิวเถิงชี้ไปที่ลู่เฉินและบอกว่าชายหนุ่มผู้นี้จะรักษาอาการป่วยของคุณชายน้อย ทหารยามเหล่านั้นก็พลันตกตะลึง
บางคนถึงขนาดชื่นชมความกล้าหาญของลู่เฉิน ขณะที่บางคนก็เผยสีหน้าจนปัญญาออกมา
หนิวเถิงจ้องเขม็งไปที่ลู่เฉิน “เจ้าเข้าไปได้แค่คนเดียว คนอื่นต้องรอข้างนอก!”
เมื่อฮวาหลิงมู่และคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งกังวล
“พี่ชายประหลาด อย่าไปนะ” ฮวาหลิงมู่คว้าแขนของลู่เฉินเอาไว้แล้วส่ายหัว
ลู่เฉินตบไหล่นางแล้วยิ้มเล็กน้อย “รอก่อนนะ!”
จากนั้นชายหนุ่มก็เดินตามหนิวเถิงเข้าไปอย่างองอาจ
ในขณะที่จางเชียนได้แต่หัวเราะเยาะ “เจ้าหนู รีบอยากซื้อโลงศพให้ตัวเองขนาดนี้เชียวหรือ?”
ทว่าลู่เฉินไม่สนใจอีกฝ่าย เขาเพียงก้าวเข้าไปภายในจวน แล้วหายไปต่อหน้าทุกคน
ผู้คนที่รออยู่ที่นั่นบางคนถึงกับเริ่มนับเวลาถอยหลังให้ลู่เฉิน “ข้าว่านะ เขาคงจะถูกโยนออกมาภายในครึ่งชั่วยาม!”
“ไม่ต้องถึงครึ่งชั่วยามหรอก แค่ขั้นกลั่นลมปราณเช่นนั้น ใช้เวลาหนึ่งเค่อก็นับว่านานมากแล้ว!”
”หรือไม่ก็อาจจะเป็นบ้าและถูกขังไว้!”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของทุกคน ฮวาหลิงมู่ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น
…
ลู่เฉินเข้าไปในจวนเจ้าเมือง เขาถูกจัดให้รอในห้องโถงจนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น จากนั้นหนิวเถิงก็แนะนำกับชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าจริงจังว่า “ท่านเจ้าเมือง นี่คือคนที่ข้าพูดถึง!”
ชายวัยกลางคนผู้นี้มีพลังขั้นก่อกำเนิด และเขาก็คือท่านเจ้าเมืองจวนสวรรค์ นามว่า ‘ว่านจิน’
ว่านจินกวาดสายตาพิจารณาลู่เฉินแล้วขมวดคิ้ว “ขั้นกลั่นลมปราณ?”
จากนั้นเขาก็ตวาดขึ้นมาทันทีว่า “พวกเจ้าคิดว่าลูกชายของข้าหมดหวังแล้ว จึงหาคนจากที่ไหนก็ไม่รู้มารักษาหรือ?!”
“ท่านเจ้าเมือง ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ เป็นเขาที่ดึงประกาศด้วยตัวเองขอรับ!” หนิวเถิงรีบอธิบาย
ว่านจินขมวดคิ้วและจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่ม “เจ้าคิดว่าตนเองมีความสามารถพองั้นรึ? หรือเจ้าอยากตายจริง ๆ?”
“ข้ามาเพื่อรักษา ไม่ได้มาเพื่อแสวงหาความตาย” ลู่เฉินตอบอย่างสงบนิ่ง
เมื่อพิจารณาจากเสียงและแววตาของชายหนุ่ม ว่านจินพลันเริ่มสงสัย “นับว่าใจกล้าไม่น้อย… ทว่าเพียงแค่ความกล้าคงไม่พอ แล้วความสามารถด้านการรักษาเล่า?”
หนิวเถิงเอ่ยแนะอย่างระมัดระวัง “ท่านเจ้าเมือง ไม่เช่นนั้นให้เขาลองดูดีหรือไม่ขอรับ?”
ท่านเจ้าเมืองเอ่ยอย่างท้อแท้ว่า “ลองก็ลอง”
จากนั้นเขาก็สั่งให้หนิวเถิงและลู่เฉินติดตามเข้ามา
เมื่อเดินผ่านสวน ลู่เฉินก็พบว่าดอกไม้ในสวนแห่งนี้แผ่กลิ่นอายแห่งความตายออกมา
เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “พวกเจ้าได้ดอกไม้เหล่านี้มาจากไหน?”
“ลูกของข้าเอาเมล็ดมาจากข้างนอก และเขาก็ชอบมันมาก” ว่านจินเป็นผู้ตอบ
”เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่?”
“เมื่อสามปีที่แล้ว ตอนที่ไปเล่นกับเพื่อน เขาก็เอามันกลับมาด้วย”
ลู่เฉินลังเลและกล่าวว่า “กำจัดดอกไม้เหล่านี้กันเถอะ”
“เพราะเหตุใด?” ว่านจินงุนงง
หนิวเถิงจ้องที่ลู่เฉินและกล่าวว่า “ดอกไม้เหล่านี้สำคัญกับคุณชายน้อย ถ้าใครทำลายและถูกเขาพบเข้าก็อย่าหวังเลยว่าจะได้มีลมหายใจต่อไป!”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าดอกไม้เหล่านี้คืออะไร?” ลู่เฉินถามกลับ
หนิวเถิงไม่เข้าใจ
เนื่องจากดอกไม้เหล่านี้มีสีขาวและสีแดง ซึ่งมันก็ดูไม่ต่างไปจากดอกไม้ป่าบนภูเขา
ขณะที่ว่านจินเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ท่านเจ้าเมืองจึงกล่าวว่า “ดอกไม้เหล่านี้แค่สวยงามกว่าปกติเท่านั้น ไม่มีอะไรพิเศษ”
“นี่เรียกว่าดอกไม้ภูตพราย กลางวันหุบ กลางคืนบาน และคนที่เข้าใกล้มันนาน ๆ ก็มักจะตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน! สุดท้ายก็ไม่อาจถอนตัวได้!”
ว่านยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “มีดอกไม้เช่นนั้นด้วยหรือ?”
หนิวเถิงนั้นฉงนหนักยิ่งกว่าเดิม “พวกเรามีคนลาดตระเวนที่นี่ทุกวัน เหตุใดพวกเขาจึงไม่เป็นอันใด?”
“นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่ได้ถูกภูตผีรังควาน ถ้าเจ้าถูกพวกมันรังควาน และผสานกับความช่วยเหลือของดอกไม้เหล่านี้ เจ้าจะไม่สามารถตื่นได้อีกตลอดไป” ลู่เฉินอธิบาย
หลังได้ยินเช่นนั้น หนิวเถิงก็ตกใจ “เช่นนั้นคุณชายน้อยก็ถูกภูตผีรังควานงั้นหรือ?”
ว่านจินเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “แต่ลูกชายของข้า เขาตื่นในตอนกลางวัน และเพียงผิดปกติเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น”
”ตื่น? นั่นเป็นเพียงร่างไร้สติเท่านั้น!”
“ร่างไร้สติ?” ว่านจินเริ่มสับสน
”ไม่เชื่อรึ?”
“ข้าได้เชิญแพทย์และผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจมากมายมากำจัดภูตผีชั่วร้าย แต่ไม่มีใครพบเจอหรือทำอันใดได้เลย!”
“นั่นเป็นเพราะความรู้และวิชาของพวกเขาไม่ได้เรื่อง!” ลู่เฉินเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ
ว่านจินลังเล “จริงหรือ?”
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าจะแสดงให้พวกเจ้าดูก็แล้วกัน” หลังชายหนุ่มเอ่ยจบ ว่านจินก็พลันเร่งฝีเท้า เนื่องจากเขาปรารถนาที่จะได้เห็นฝีมือของลู่เฉินยิ่งนักว่าจะเป็นจริงดังที่ปากพูดหรือไม่!
ไม่นานทั้งสามก็มาถึงเรือนแห่งหนึ่ง
ระหว่างนั้น ลู่เฉินพลันดึงพลังในชาติภพที่เขาจุติ ณ แดนชุมนุมภูต และแผ่กระจายไอภูตปกคลุมทั่วกาย ก่อนจะเปลี่ยนให้นัยน์ตากลายเป็นแสงสีดำเข้ม
นี่คือ ‘นัยน์ตาภูตผี’ ดวงตาที่สามารถมองเห็นภูตผีและวิญญาณได้ทั้งมวล
ทว่าว่านจินและหนิวเถิงไม่รู้หรือพบเห็นความผิดปกติใด พวกเขาเพียงเปิดประตูและก้าวเข้าไปภายในทั้งแบบนั้น
ภายในนั้นได้เผยให้เห็นชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง และที่โดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก เห็นทีคงจะเป็นใบหน้าของคนผู้นี้ที่ดำสนิท!
คนผู้นี้คือลูกชายคนสุดท้องของว่านจิน นามว่า ‘ว่านเหยียน’
“เขาเป็นเช่นนี้มานานแล้ว และบางครั้งเขาก็จะร้องตะโกนคำแปลก ๆ ออกมา” เมื่อว่านจินมองไปยังว่านเหยียนผู้เป็นลูกชายซึ่งหลับไม่ได้สติ สีหน้าของเขาก็ดูทุกข์ทน ผิดกับลู่เฉินโดยสิ้นเชิง เพราะ…. ชายหนุ่มกำลังใช้ตานัยน์ตาภูตผีมองไปยังภูตสาวในชุดแดงที่ยืนอยู่ข้างว่านเหยียน!
ภูตสาวตนนี้แต่งตัวได้งดงาม และนางก็กำลังร้องเพลงกล่อมว่านเหยียน
ส่วนว่านเหยียน แม้ว่าดวงตาของเขาจะปิดสนิท หากแต่วิญญาณของเขากลับตกอยู่ในภวังค์ และกำลังส่งยิ้มอย่างโง่เขลาให้กับภูตสาวชุดแดง
“ความรักระหว่างมนุษย์และภูตผี?” เมื่อเห็นสิ่งนี้ ลู่เฉินก็ถอนหายใจเบา ๆ
ส่วนว่านจิน เมื่อเขาเห็นลู่เฉินอึ้งค้างก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าวิตก “ลูกชายของข้าถูกภูตผีรังควานจริงหรือ?”
”เจ้าอยากเห็นหรือไม่?”
“เห็น?”
“เอาเป็นว่าข้าจะให้เจ้าได้เห็นเองก็แล้วกัน!”
ลู่เฉินเอ่ยจบก็วางมือขวาบนไหล่ของว่านจิน ก่อนจะส่งไอภูต ทำให้ดวงตาของว่านจินกลายเป็นสีดำ และได้เห็นจิตวิญญาณของว่านเหยียนชัดถนัดตา รวมทั้งยังเห็นตัวตนของภูตสาวที่งดงามนั่นด้วย!
ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า ดวงตาของว่านจินพลันเบิกกว้างด้วยความตกใจ “นี่…”
หนิวเถิงเห็นท่าทีของว่านจินแล้วก็งงงวย “ท่านเจ้าเมือง เกิดอันใดขึ้นขอรับ?”
แต่ลู่เฉินกลับดึงมือกลับมาแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เชื่อข้าแล้วหรือยัง?”
เมื่อเห็นชัดเต็มสองตาของตนเองเช่นนี้แล้ว มีหรือที่ว่านจินจะไม่เชื่อ เขาจึงกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านอาจารย์ ท่าน ท่านต้องช่วยลูกชายของข้านะขอรับ!”
“ข้าจะช่วย ทว่าจากนี้พวกเจ้าห้ามรบกวนข้า!”
ว่านจินพยักหน้าเป็นพัลวันและเอ่ยอย่างนอบน้อม “สั่งการมาได้เลยขอรับ!”
“ออกไปเถิด และไม่ว่าเจ้าจะได้ยินเสียงอะไรก็อย่าให้ใครเข้าใกล้เรือนแห่งนี้เด็ดขาด!” หลังจากที่ลู่เฉินออกคำสั่ง ว่านจินก็พาหนิวเถิงออกไปโดยไม่ลังเล
เมื่อพวกเขาออกไปแล้ว ลู่เฉินจึงหยิบศิลาวิญญาณออกมา และใช้มันจัดเรียงเป็นอักขระยันต์!
ส่วนว่านจินที่อยู่ข้างนอกนั้นก็เริ่มกังวล
หนิวเถิงที่เห็นดังนั้นจึงถามด้วยความสงสัย “ท่านเจ้าเมือง เมื่อครู่ท่านเห็นอันใดหรือขอรับ?”