ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 57 หากอยากตาย ก็อย่าได้โทษผู้อื่น!
บทที่ 57 หากอยากตาย ก็อย่าได้โทษผู้อื่น!
ยามนี้ชายร่างสูงคนหนึ่งวิ่งออกมา รูปร่างของเขาผอมดังกิ่งไม้ ดวงตานั้นหรือก็เล็กเรียว ยามหรี่ตาจึงดูเหมือนกับเส้นด้ายเส้นหนึ่ง
คนผู้นี้คือเถ้าแก่หอสมบัติสวรรค์ นามว่าจางเชียน
จางเชียนผู้นี้ดูแล้วคล้ายมีอายุประมาณสี่สิบห้าสิบปี ขณะที่รอยยิ้มซึ่งประดับมุมปากก็แฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายประหลาด
”ข้าน้อยเป็นเถ้าแก่ของที่นี่ นามว่าจางเชียน ไม่ทราบว่าคุณชายผู้นี้ต้องการให้ข้ารับใช้อันใด?” จางเชียนมองไปที่ลู่เฉินด้วยรอยยิ้มทันที
”ข้าต้องการสมุนไพรหมื่นล้านต้น แต่เสี่ยวเอ้อของเจ้าดูเหมือนจะไม่อยากให้ข้าเข้าไป” ลู่เฉินยิ้มมุมปาก ส่วนจางเชียนก็กล่าวอย่างรีบร้อนว่า “ต้องขออภัยด้วย เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ความ!”
จากนั้นจางเชียนก็เตะต่อยเสี่ยวเอ้อเหล่านั้น “ยังไม่รีบไปขอโทษคุณชายอีก?”
ว่าแล้วพวกเสี่ยวเอ้อก็ได้แต่ขอโทษอย่างจนปัญญา
ฉากนี้ทำให้เหล่าสตรีและฮวาหลิงมู่ตกตะลึง
ลู่เฉินชี้ไปที่ฮวาหลิงมู่แล้วกล่าวว่า “ต้องขอโทษนาง ต้องให้นางมีความสุขถึงจะพอใจ!”
จางเชียนมองไปที่เสี่ยวเอ้อเหล่านั้นทันที “ยังไม่รีบอีก?”
สิ้นวาจานั้น เสี่ยวเอ้อเหล่านี้ล้วนกลายเป็นถ่อมตน ไม่มีความเย่อหยิ่งอย่างที่ทำเมื่อครู่อีกต่อไป
ฮวาหลิงมู่เห็นเช่นนี้แล้วความโกรธของก็ค่อย ๆ บรรเทาลง ส่วนจางเชียนก็ส่งยิ้มให้ลู่เฉินแล้วเอ่ยอย่างประจบประแจง “คุณชาย เข้าไปคุยข้างในได้หรือไม่ขอรับ?”
”ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์ ไว้วันหลังแล้วกัน” ลู่เฉินกล่าวจบก็หันมายิ้มให้ฮวาหลิงมู่และสตรีทั้งหลาย “ไปกันเถอะ”
พวกฮวาหลิงมู่พลันงุนงน คิดไม่ถึงเลยว่าลู่เฉินจะหลอกให้อยากแล้วจากไป
ทว่าไม่ใช่แค่พวกนางเท่านั้น แม้แต่เจี่ยลัวก็ตกตะลึง ส่วนจางเชียน ขณะนี้สีหน้าของเขาได้บิดเบี้ยวไปแล้ว ทว่าสุดท้ายก็อดกลั้นไว้ก่อนจะกล่าวอย่างร้อนใจว่า “คุณชายประสงค์เช่นไรช่วยบอกเราด้วยขอรับ”
”ข้าไม่มีอารมณ์จริง ๆ ไว้วันหลังนะ” ลู่เฉินตอบอย่างเกียจคร้าน
คำพูดนี้ทำให้จางเชียนรู้สึกเหมือนถูกหลอกอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าจึงดูไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เห็นลู่เฉินและคนอื่น ๆ เดินจากไป
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เสี่ยวเอ้อเหล่านั้นรู้สึกหดหู่ ก่อนที่แรงโทสะจะเข้าบดบังแล้วยุยงออกมา
“เถ้าแก่ ข้าคิดว่าแท้จริงแล้วเจ้าเด็กนั่นเป็นคนจน”
”ใช่ มันแค่หลอกท่าน!”
“เถ้าแก่ ท่านเป็นคนฉลาดยิ่ง เหตุใดถึงถูกเขาหลอกล่ะ?”
จางเชียนกัดฟันด้วยความโกรธ “คนที่โกหกข้าไม่มีจุดจบที่ดีหรอก!”
หลังเอ่ยจบ จางเชียนก็แค่นเสียงหึ ก่อนจะบอกให้คนอื่น ๆ เฝ้าร้านแล้วเจ้าตัวก็พลันออกไป
ยามนั้นต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราซึ่งเกาะอยู่บนหลังของลู่เฉินพลันสัมผัสได้ว่าจางเชียนที่อยู่ข้างหลังกำลังติดตามอยู่ไม่ห่าง “เถ้าแก่ผู้นั้นตามเจ้ามา”
”มาก็มา เขาจะทำอันใดได้?” ลู่เฉินนึกเหยียดหยาม
ประโยคดังกล่าวทำให้ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราถึงกับหมดคำพูด ส่วนฮวาหลิงมู่และคนอื่น ๆ พวกนางยังคงสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮวาหลิงมู่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนเหล่านั้นเมื่อครู่ ข้าก็อยากขำแทบตายแล้ว!”
ยามนั้นมีสตรีคนหนึ่งเห็นว่าจางเชียนตามหลังมา นางจึงรู้สึกกระวนกระวายทันที “เถ้าแก่คนนั้นตามมาแล้ว”
ทว่าฮวาหลิงมู่กลับเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด “อย่างไรเสียก็ไม่อาจลงมือในเมืองได้ จะตามก็ตามมาสิ”
แต่สตรีเหล่านั้นกลับคิดว่ามันคงจะไม่ง่ายอย่างนั้น
ส่วนลู่เฉินก็ไม่สนใจอันใด หลังจากเดินไปได้พักหนึ่ง เขาก็หาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งแล้วตัดสินใจจะให้ทุกคนพักผ่อนสักหน่อย จากนั้นจึงค่อยตามหาหอนางโลมที่เหมาะสมอีกครั้ง
เมื่อเขาเข้าไปในโรงเตี๊ยม จางเชียนก็ปรากฏตัวขึ้นและพูดกับเจ้าของโรงเตี๊ยมว่า “อย่าให้เขาพัก!”
เดิมทีเจ้าของโรงเตี๊ยมจะให้ลงทะเบียน ทว่าเมื่อได้ยินสิ่งที่จางเชียนพูดก็มองไปที่ลู่เฉินและคนอื่น ๆ อย่างกระดากอาย “เอ่อ…ที่พักของเราเต็มแล้ว”
ฮวาหลิงมู่โมโหเสียแล้ว “เมื่อครู่ยังมีห้องว่างไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงเต็ม?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมไม่ได้ตอบ แต่จางเชียนกลับเอ่ยแทรกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่าน ถ้าเป็นไปได้ ให้ข้าจัดการให้พวกท่านได้หรือไม่ขอรับ?”
ฮวาหลิงมู่เอ่ยอย่างโมโห “เจ้าต้องการอันใดกันแน่?”
จางเชียนคลี่ยิ้ม “ซื้อสมุนไพรมูลค่าหมื่นล้าน ข้าคิดว่าเรายังคุยกันได้ขอรับ!”
“เจ้า!” ฮวาหลิงมู่ไม่คิดว่าชายคนนี้จะดื้อด้านเช่นนี้
ทว่าจางเชียนกลับหัวเราะต่อแล้วเอ่ยว่า “ความจริงแล้วเจ้าของโรงเตี๊ยมหลายแห่งในเมืองนี้คุ้นเคยกับข้า ถ้าทุกท่านอยากพักละก็ ข้าคุยกับพวกเขาให้ได้!”
บรรดาสตรีพากันตกตะลึง พวกนางไม่คาดคิดว่าจางเชียนจะมีเบื้องหลังที่ทรงพลังเช่นนี้
ส่วนฮวาหลิงมู่โมโหจนเสียสติ ในขณะที่เจี่ยลัวเริ่มมีสีหน้าจริงจัง
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราบอกกับลู่เฉินว่า “เซียนลู่ ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะมีภูมิหลังไม่ธรรมดา”
ทว่าลู่เฉินกลับมองไปที่จางเชียนและฉีกยิ้ม “วันนี้ ข้าต้องได้พัก!”
”เช่นนั้นคงไม่ได้ ถ้าหากไม่เชื่อ ท่านก็ลองดูสิขอรับ!” จางเชียนเอ่ยอย่างคนพาล
ลู่เฉินมองไปที่เจ้าของโรงเตี๊ยม เห็นได้ชัดว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมไม่อยากมีเรื่องกับจางเชียน ทั้งยังเอ่ยอย่างขัดเขินว่า “คุณชาย มันเต็มแล้วจริง ๆ ขอรับ ไม่มีห้องว่าง!”
จางเชียนยั่วยุด้วยรอยยิ้ม “อย่าทำให้เขาลำบากใจเลยขอรับ เขาเป็นแค่เถ้าแก่ในโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ เท่านั้น”
ผู้คนที่กำลังมุงดูรอบโรงเตี๊ยมต่างพากันพูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อน
”คนเหล่านี้คือใคร เหตุใดถึงไปล่วงเกินคนของหอสมบัติสวรรค์ได้”
“น่าจะไม่รู้ค่อยรู้จักที่นี่ ถึงได้พบความโชคร้ายเช่นนี้”
”น่าสงสารจริง ๆ”
ฮวาหลิงมู่และคนอื่น ๆ มีสีหน้าดูไม่ได้ ส่วนลู่เฉินยังคงมองไปที่จางเชียนด้วยรอยยิ้ม “ข้าแนะนำให้เจ้าเลิกคิดเล็กคิดน้อยเสีย ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเสียใจ!”
”เสียใจ? ข้าไม่เคยเสียใจมาก่อน?” จางเชียนยิ้มให้ลู่เฉิน ส่วนชายหนุ่มก็ฉีกยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าก็รีบกลับไปที่หอสมบัติสวรรค์ของพวกเจ้า และตรวจสอบวัตถุดิบในร้านของเจ้าว่ามันเสียหมดหรือยัง”
”เสียเหรอ เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ?” จางเชียนไม่เชื่อเรื่องไร้สาระของลู่เฉิน และแม้แต่คนรอบข้างก็ยังรู้สึกว่าลู่เฉินกำลังหลอกลวง
”หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ให้คนกลับไปดูได้” ลู่เฉินอมยิ้ม
”ได้ ข้าจะให้คนไปดู”
จากนั้นจางเชียนก็หันไปกล่าวกับเจ้าของโรงเตี๊ยมว่า “เจ้าช่วยจัดคนไปดูหน่อย”
เถ้าแก่ผู้นั้นทำได้เพียงให้เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งไปดูที่หอสมบัติสวรรค์
จากนั้นจางเชียนก็หันมามองลู่เฉินด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “เจ้าหนู คอยดูว่าอีกเดี๋ยวเจ้าจะมีข้อแก้ตัวอย่างไร”
ลู่เฉินฉีกยิ้มโดยไม่พูดอะไร ไม่นานเขาก็หลับตาลงและสำแดง ‘เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณ’ โดยมีเป้าหมายคือหอสมบัติสวรรค์ ทว่าเขาไม่ได้ใช้ออกเต็มสิบส่วน
เห็นเพียงสมุนไพรเหล่านั้นถูกดูดพลังจิตวิญญาณไปไม่น้อยภายใต้เคล็ดวิชาหมื่นวิญญาณของลู่เฉินนี้ทำให้สมุนไพรวิญญาณจำนวนมากซึ่งแต่เดิมเต็มไปด้วยพลังงานจิตวิญญาณค่อย ๆ เหี่ยวเฉาลงไปไม่น้อย
แต่สิ่งนี้กลับไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะไม่มีใครคิดว่าอยู่ ๆ สมุนไพรวิญญาณจะเหี่ยวเฉาได้ทันที ดังนั้นเสี่ยวเอ้อในร้านจึงกำลังพูดคุยเล่นกันอยู่
ไม่นานนักเสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมก็เข้ามา และถามสถานการณ์กับพวกเขา ซึ่งเสี่ยวเอ้อพวกนั้นก็ได้เดินไปตรวจสอบอย่างเกียจคร้าน แต่เมื่อพวกเขาพบว่าสมุนไพรวิญญาณที่นี่พากันเหี่ยวเฉา คนเหล่านี้ก็ถึงกับผวาในพลัน
”เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“รีบไปบอกเถ้าแก่จาง!”
เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมตกใจและรีบวิ่งกลับไป
ในขณะที่อยู่ในโรงเตี๊ยม จางเชียนยังคงยิ้มพึงพอใจ แต่ฮวาหลิงมู่กลับเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “พี่ชายประหลาด ของในร้านของพวกเขาเสียจริงหรือ?”
”น่าจะพูดได้ว่าขายของปลอม!” ลู่เฉินผุดรอยยิ้มมุมปาก
ขายของปลอม? ทุกคนพลันร้องอุทาน
จางเชียนจึงตะคอกใส่ทันที “เจ้าหนู หอสมบัติสวรรค์ของข้าไม่เคยขายของปลอม อย่าพูดไร้สาระ!”
”มันไม่เรียกว่าของปลอมจริง ๆ นั่นแหละ แต่ควรเรียกว่าของย้อมแมว!” ลู่เฉินยิ้มอย่างชั่วร้าย และนั่นทำให้จางเชียนร้อนใจยิ่งกว่าเดิม “วัตถุดิบในหอสมบัติสวรรค์ของพวกเราล้วนได้รับการคัดเลือกมาอย่างดี!”
ทันใดนั้น เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมก็วิ่งกลับมาและเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “แย่แล้วขอรับ!”
จางเชียนตะโกนใส่ทันทีว่า “รีบร้อนอันใด”
”ที่หอสมบัติสวรรค์ สะ…สมุนไพรจำนวนมากเหี่ยวเฉาขอรับ!”
เมื่อเสี่ยวเอ้อเอ่ยจบ ดวงตาของจางเชียนก็เบิกกว้าง “อันใดนะ?”
คนที่มุงดูอยู่พลันตกใจยิ่งกว่า
ส่วนจางเชียนก็รีบหันหลังกลับและออกวิ่งทันที ส่วนผู้ที่มามุงดูก็รีบไปดูความคึกครื้นอย่างสนอกสนใจ
ฮวาหลิงมู่พลันรู้สึกเหลือเชื่อจึงเอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่ประหลาด เกิดอะไรขึ้น?”
”เขาทำตัวแย่เอง ย่อมเจอดี!” ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย และพาทุกคนออกไปจากที่นี่
—–
ในขณะนั้น ประตูของหอสมบัติสวรรค์ได้ถูกล้อมรอบโดยผู้คนจนแน่นขนัด เพราะถึงอย่างไรเสียหอสมบัติสวรรค์ก็อยู่ในเมืองจวนสวรรค์มาหลายปีแล้ว และไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสงสัยว่าเกิดอันใดขึ้น
และเมื่อจางเชียนมองไปยังกองสมุนไพรที่เหี่ยวแห้ง สีหน้าของเจ้าตัวพลันซีดลง “เป็นเขา ต้องเป็นเพราะเขาแน่!”
เขาสั่งให้คนไปตามหาพวกลู่เฉินทันที
ยามนี้ลู่เฉินยืนอยู่ข้างถนน ชายหนุ่มมองป้ายประกาศบนกำแพงและหัวเราะ ในขณะที่ฮวาหลิงมู่เอ่ยอย่างหดหู่ใจว่า “พี่ชายประหลาด พวกเราไม่มีที่ไปแล้ว ท่านยังหัวเราะอยู่อีก”
“ไม่มีที่ไปหรือ?” ลู่เฉินยิ้ม
“เมื่อครู่คนเดินผ่านไปมาบอกว่าโรงเตี๊ยมรอบนี้ ๆ ต่างเห็นแก่หน้าหอสมบัติสวรรค์!” ฮวาหลิงมู่รู้สึกหดหู่ใจนัก
”ทว่ามีบางที่ที่ไม่ต้องไว้หน้าพวกเขา!” ว่าแล้วลู่เฉินก็ฉีกป้ายประกาศออกจากกำแพง
ส่วนสตรีเหล่านั้นเมื่อเห็นเนื้อหาจากแผ่นป้ายที่ลู่เฉินฉีกออกมา พวกนางก็พากันตกตะลึง