ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 56 คนเหล่านี้ ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจมาจากไหน
บทที่ 56 คนเหล่านี้ ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจมาจากไหน
เมืองไหน?
ลู่เฉินครุ่นคิดแล้วจึงถามออกมา “ใกล้ ๆ แถวนี้ มีเมืองอะไรบ้าง แล้วก็เมืองพวกนี้ มีจุดเด่นอย่างไร?”
ลู่เฉินไม่เคยมาบริเวณนี้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้จักรอบ ๆ บริเวณนี้สักเท่าไหร่
แต่ปัญหาคือ ฮวาหลิงมู่เองก็ไม่ค่อยสันทัดเช่นกัน แต่เจี่ยลัวและผู้หญิงเหล่านี้ต่างก็รู้จักดี จึงต่างพากันแย่งพูดออกมา
เดิมทีบริเวณนี้มีเมืองชั้นสามอยู่เมืองหนึ่ง มีเมืองชั้นสี่จำนวนหนึ่ง และมีเมืองชั้นห้าอีกจำนวนมาก
ถ้าลู่เฉินจะไป เขาก็จะต้องไปเมืองที่ใหญ่หน่อย และยิ่งระดับชั้นเมืองสูงก็ยิ่งมีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด จนถึงขนาดที่ว่าบรรดาผู้ฝึกตนภายในเมืองทั้งหลายไม่กล้าก่อความวุ่นวาย
มีแต่เมืองแบบนี้เท่านั้นจึงจะเหมาะกับการให้สตรีพวกนี้เข้าไปอาศัยอยู่ เพราะพวกนางจะได้ไม่ถูกคนในสำนักต่าง ๆ รังแก
เมื่อลู่เฉินฟังจบจึงเอ่ยออกมาว่า “ไปเมืองชั้นสาม เมืองจวนสวรรค์!”
“เมืองจวนสวรรค์นี้มีผู้คนมากมาย พวกเราจะเข้าไปได้เช่นไร ถ้าไม่มีอำนาจ เกรงว่า…” เจี่ยลัวรู้สึกกังวลขึ้นมา สตรีเหล่านั้นก็เช่นกัน
ทว่าลู่เฉินกลับยิ้ม “มีข้าแล้ว ยังต้องการอำนาจอันใดอีก?”
หลังได้ยินเช่นนั้น เจี่ยลัวก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนบรรดาสตรีเหล่านั้นต่างก็ตั้งตารอกัน
ทว่าฮวาหลิงมู่รอไม่ไหวแล้ว
ขณะนั้นเอง ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราได้ถามลู่เฉินเสียงเบา “เซียนลู่ เหตุใดท่านจึงเลือกเมืองจวนสวรรค์?”
“ที่นั่นคนเยอะ จะหาของสิ่งใดก็สะดวก”
“หาของ?”
“อืม ข้าวางแผนไว้ว่าจะสร้างสถานที่รวบรวมข้อมูลไว้ที่นั่น” ลู่เฉินคลี่ยิ้ม แต่จู่ ๆ ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราก็ตะโกนออกมา “หอนางโลม?”
“นอกจากหอนางโลม ไม่มีสิ่งอื่นแล้วหรือ?”
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรากระแอมไอ ก่อนจะเอ่ยว่า “เซียนลู่ เมื่อหนึ่งแสนปีก่อน ท่านทำเช่นนี้บ่อยไม่ใช่หรือ?”
“เจ้านี่นะ” ลู่เฉินส่ายหัวอย่างอดไม่ได้
“หรือจะบอกว่า ท่านคิดวางแผนให้พวกเขาเปิดหอนางโลมขึ้น?” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราถามอย่างสงสัย แต่ลู่เฉินกลับส่ายหัว “ไม่ ข้าคิดจะไปหาแบบที่สำเร็จรูปแล้วมาให้พวกนางช่วยจัดการดูแลก็พอ”
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราฟังแล้วก็เผยยิ้มออกมา “ที่จริง ท่านไม่ต้องใส่ใจพวกนางก็ได้ เพราะเดิมทีพวกนางก็มีพื้นเพเดิมอยู่ในหอนางโลม ไม่ว่าจะทำอะไร พวกนางก็ทำได้”
“หลายปีมานี้ เจ้าสอนวิชาให้พวกนางมาไม่น้อย?”
“ข้าสอนเกี่ยวกับการตรวจจับ การซ่อนตัว รวมถึงการอ่านจิตใจมนุษย์!” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราอธิบาย
ลู่เฉินยิ้มเฝื่อนออกมา “เจ้านี่นะ”
“ข้าหวังดีกับพวกนาง มิเช่นนั้น เวลาที่พวกนางอยู่ในป่าทึบ ถ้าหากโดนคนไม่หวังดีจับไป หรือถูกคนของสำนักพฤกษาสวรรค์ไล่ล่า เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า”
ลู่เฉินเพียงแค่ยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ
จากนั้นต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราและลู่เฉินก็คุยกันเรื่องสตรีเหล่านี้
จวบจนเริ่มค่ำ พวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงเมืองจวนสวรรค์แล้ว
เมืองจวนสวรรค์เป็นเมืองชั้นสามที่มีประชากรจำนวนมากราวสิบล้านคน เทียบไม่ได้กับเมืองเฟิงเฉิงที่มีประชากรเพียงหลักแสนคนเท่านั้น
ขณะเดียวกัน หากมองในแง่ขนาดของเมืองแล้ว เมืองจวนสวรรค์ก็นับว่าใหญ่กว่ามาก โดยเฉพาะกำแพงเมืองที่มองขึ้นไปแล้วสูงประมาณอาคารสิบชั้น และแต่ละชั้นกำแพงก็ยังมีคนเดินตรวจตราอยู่ตลอด
ไม่เพียงเท่านั้น เหนือท้องฟ้าบริเวณเมืองขึ้นไปยังมีแนวกั้นเป็นค่ายกลคอยป้องกันไม่ให้ผู้ใดบินขึ้นไปได้ แม้แต่นกสักตัวก็ไม่อาจบินฝ่าเข้าไปได้ มิฉะนั้นผู้บุกรุกอาจจะถูกเปลวไฟจากค่ายกลโจมตีจนเผาไหม้
นอกจากนี้ การเข้าเมืองยังมีกฎที่เข้มงวด ต้องผ่านการตรวจยืนยันก่อนว่าไม่เคยทำผิดใด ๆ จากนั้นจึงสามารถลงชื่อ และได้รับป้ายชื่อประจำตัวของเมืองจวนสวรรค์ไป
กว่าพวกเขาจะเข้าเมืองได้ เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว
แต่ถึงจะเป็นช่วงเวลาค่ำ ภายในเมืองจวนสวรรค์ก็ยังคึกคักจอแจ โดยเฉพาะตามถนนและตรอกซอยเล็ก ๆ ที่มีผู้คนจำนวนมาก รวมถึงในร้านค้าต่าง ๆ ก็เช่นกัน
แม้แต่ทหารชุดเกราะขาวก็ยังคอยเดินตรวจตราอยู่ทุกพื้นที่
เมื่อมองไปแล้ว ชุดเกราะเหล่านี้ยังแผ่ไอปราณอ่อน ๆ ออกมาด้วย
“เมืองจวนสวรรค์นี้ พื้นที่ก็ไม่เล็ก แม้แต่ทหารยามยังติดศาสตราวิญญาณครบชุด” เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ลู่เฉินจึงยิ้มออกมา ส่วนฮวาหลิงมู่และเหล่าสตรี หลังได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างก็อุทานด้วยความตกตะลึงว่า “บ้าไปแล้ว”
เมื่อมองไปตามร้านค้าบนทางเท้า พวกเขาก็ดูราวกับคนบ้านนอกเข้าเมืองอย่างไรอย่างนั้น
เจี่ยลัวตัวแข็งทื่อ เดินตามลู่เฉินไปอย่างเงียบ ๆ
“ท่านไม่เตือนพวกนางสักหน่อยหรือ?” เมื่อเห็นคนเหล่านั้นกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราจึงรู้สึกร้อนใจ เกรงว่าพวกนางจะสร้างปัญหาขึ้นมาได้ แต่เมื่อลู่เฉินมองไปยังฮวาหลิงมู่ที่กำลังสนุกสนาน เขากลับยิ้มออกมา “ให้นางเล่นไปเถอะ”
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรารู้สึกสงสัย “ทำไมท่านถึงใจดีกับนางนัก ข้าเกรงว่า…”
“ก็แค่เล่นกัน ไม่มีอะไรต้องตระหนกไป” ลู่เฉินยิ้มกว้าง
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราไม่รู้จะพูดเช่นไร ทำได้เพียงแค่รู้สึกกังวลใจเท่านั้น
เวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง
ขณะที่ฮวาหลิงมู่กำลังต่อแถวเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง พวกนางกลับถูกกลุ่มเสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ‘ขับไล่’ ออกมา
เสี่ยวเอ้อเหล่านี้ดูหยิ่งผยองมาก บางยังคนยังตะโกนออกมาว่า “ไม่มีเงินแล้วยังกล้าเข้ามาอีกหรือ?”
“ยังไม่รีบออกไปอีก?”
สีหน้าท่าทางของเสี่ยวเอ้อพวกนี้ทำให้ฮวาหลิงมู่ร้อนใจ “ของที่ข้าต้องการ คล้ายว่าจะมีวางขายแต่เพียงที่แห่งนี้!”
บรรดาเสี่ยวเอ้อฟังแล้วก็หัวเราะออกมา
บางคนยังเอ่ยออกมาว่า “ต้องขออภัยด้วย หอสมบัติสวรรค์ของเรามีเพียงหนึ่งเดียวในเมืองจวนสวรรค์นี้ และสมุนไพรในนี้ก็ครบครันมากที่สุดในแดนทักษิณา!”
“ใช่ สิ่งของภายในนี้ต่างก็เป็นของล้ำค่าที่สุด!”
“แต่ว่า!”
บางคนก็พูดจาใส่ร้ายออกมา “ถ้าหากสมุนไพรเหล่านี้ถูกพวกเจ้าทำเสียหาย พวกเจ้าจะชดใช้เท่าไหร่ก็คงไม่พอ!”
ฮวาหลิงมู่ได้ยินแล้วก็ร้อนใจขึ้นมา “เรายังไม่ได้แตะต้องอะไร เพียงแค่มองเท่านั้น!”
“ขออภัยด้วย ที่นี่มีเพียงแค่แขกคนพิเศษเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ พวกเจ้าไม่มีคุณสมบัตินี้!” เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งยกมุมปากขึ้น ทำให้ฮวาหลิงมู่รู้สึกโมโหจนพลังปราณพลั่งพรูออกมา
แต่แทนที่จะกลัว เหล่าเสี่ยวเอ้อกลับรู้สึกขบขัน
และบางคนยังเอ่ยกระตุ้นขึ้นมา “สาวน้อย หรือว่าเจ้าไม่ได้อ่านกฎของเมืองจวนสวรรค์?”
เหล่าสตรีต่างก็ปลอบให้ฮวาหลิงมู่ใจเย็นลง
“สาวน้อย อย่าหุนหันไปเลย” บางคนเข้ามาขวางนางไว้
และมีบางคนกล่าวเตือนว่า “ที่นี่คือในเมือง จะลงมืออย่างตามใจไม่ได้!”
“อดทนหน่อยเถอะ!”
เห็นได้ชัดว่าสตรีเหล่านี้เคยมาที่นี่ เมื่อเทียบกับฮวาหลิงมู่แล้วย่อมมีความคุ้นเคยและใจเย็นมากกว่า ทว่าฮวาหลิงมู่กลับโมโหจนอดกลั้นไม่ไหว “พวกเขาสงสัยว่าเราเป็นขโมย!”
เหล่าเสี่ยวเอ้อยังคงยิ้ม
“หรือว่าไม่เหมือนล่ะ?” เสี่ยวเอ้อบางคนกล่าวใส่ร้าย
ฮวาหลิงมู่กัดริมฝีปาก ในใจคิดอยากจะจัดการคนพวกนี้ แต่ลู่เฉินกลับตบบ่านางเบา ๆ และเอ่ยว่า “เวลาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ อย่ารีบโมโหไป”
“พี่ใหญ่ประหลาด เช่นนี้เจ้าไม่โกรธหรือ?” ฮวาหลิงมู่ถามออกมาด้วยความรู้สึกเสียใจ แต่ลู่เฉินเพียงยิ้มออกมา “พวกเขาก็มีกฎของพวกเขา เพียงแค่เราเล่นไปตามกฎก็ได้แล้ว”
“เล่นไปตามกฎ?” ฮวาหลิงมู่มีสีหน้างุนงง ขณะที่สตรีเหล่านั้นต่างก็แปลกใจว่าลู่เฉินต้องการทำสิ่งใด
จนกระทั่งลู่เฉินหันมาพูดกับฮวาหลิงมู่ว่า “ดูให้ดีแล้วกัน”
ครั้นเอ่ยจบ ชายหนุ่มก็เดินออกไปข้างหน้า ทว่าเหล่าเสี่ยวเอ้อต่างรีบเร่งเข้ามาขวางหน้าประตูทางเข้าไว้ บางคนถึงขนาดตะโกนออกมาอย่างดุดัน “ไม่อนุญาตให้เข้า!”
“พวกเจ้าพูดว่ามีเพียงแขกคนพิเศษถึงจะสามารถเข้าไปได้ไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ แขกคนพิเศษ แล้วเจ้าน่ะใช่หรือ?” เสี่ยวเอ้อถามอย่างดูถูก
เพราะเสี่ยวเอ้อคนอื่น ๆ ไม่เคยเห็นลู่เฉินมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดว่าลู่เฉินจะเป็นแขกคนพิเศษของที่นี่
ลู่เฉินคลี่ยิ้ม “ต้องทำเช่นไรถึงจะสามารถเป็นแขกคนพิเศษได้?”
“ง่ายมาก จ่ายด้วยศิลาวิญญาณระดับต่ำครบห้าสิบล้าน!” เสี่ยวเอ้อกล่าวออกมา ซึ่งลู่เฉินก็เพียงแค่ยิ้ม “เช่นนั้นข้าต้องการพบเถ้าแก่ของพวกเจ้า!”
“ถึงจะเจอเถ้าแก่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นกฎของที่นี่!”
จากนั้นเหล่าเสี่ยวเอ้อก็พากันยิ้มเยาะเย้ยออกมา
ลู่เฉินไม่รู้จริง ๆ ว่าคนพวกนี้เอาความมั่นใจมาจากไหน เพียงแต่วันนี้เขาต้องการมอบบทเรียน ‘การเอาตัวรอด’ ให้กับฮวาหลิงมู่
ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่มองคนพวกนี้ยิ้ม ๆ แล้วเอ่ยว่า “บอกเถ้าแก่ของพวกเจ้า ว่า ข้าต้องการซื้อของมูลค่าหนึ่งหมื่นล้าน ถ้าหากเขาอยากขายก็ออกมาพบข้า แต่ถ้าไม่อยากขาย เช่นนั้นพวกข้าก็จะไปที่อื่น ไม่รบกวนพวกเจ้าที่นี่!”
เมื่อกล่าวจบ ลู่เฉินก็หมุนตัวเดินออกมาอยากภาคภูมิ
ในขณะที่เหล่าเสี้ยวเอ้อต่างก็งุนงนกันไปหมด พวกเราต่างก็มองหน้ากัน ส่วนเถ้าแก่ที่อยู่ด้านในก็กำลังมองออกมาด้านนอกอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินลู่เฉินพูดถึงหนึ่งหมื่นล้าน ไม่ทันไรเจ้าตัวก็รีบวิ่งออกมาทันที
“คุณชาย หยุดก่อน!”