ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 55 วิชาพรางตา ทำให้พวกเขาหลงกล
บทที่ 55 วิชาพรางตา ทำให้พวกเขาหลงกล
“วิชาพลางตา!” ลู่เฉินคลี่ยิ้มออกมา
อึดใจถัดมา ใบไม้สองใบนี้ก็กลายเป็นร่างของลู่เฉินและฮวาหลิงมู่
ถ้าหากมองจากระยะใกล้ อาจพบว่ามันดูแข็งทื่อไปสักนิด ทว่าเพียงไม่นานร่างจำแลงทั้งสองก็พุ่งผ่านค่ายกล และเข้าไปในป่าทึบเบื้องหน้า
เมื่อเห็นภาพนี้ ฮวาหลิงมู่พลันอึ้ง “พี่ใหญ่ประหลาด เช่นนี้ก็ได้หรือ?”
“ตอนนี้ ลำพังพลังของข้า ถ้ามองไกล ๆ ก็พอจะหลอกได้ แต่ถ้าหากมองระยะใกล้ คนอื่นอาจจะดูออกได้ง่าย” ลู่เฉินอธิบาย
ฮวาหลิงมู่ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่รู้สึกเพียงว่าดูเก่งกาจ
ลู่เฉินยิ้มออกมา “ได้ ไม่ต้องสนใจคนพวกนั้นแล้ว พวกเราไปเถอะ”
ฮวาหลิงมู่ตอบรับ จากนั้นจึงตามลู่เฉินออกจากด้านหลังภูเขาของสำนักพฤกษาสวรรค์ไป
ทันใดนั้น เสี่ยเจี้ยนและเถียนอวิ๋นเมิ่งแอบมองและติดตามใบไม้สองใบนี้ไปอย่างเงียบ ๆ
“ศิษย์พี่ อย่าพึ่งใจร้อน เขาอาจหนีกลับไปยังค่ายกลอีกก็ได้” เถียนอวิ๋นเมิ่งกลัวว่าลู่เฉินจะหวนกลับไปที่สำนักพฤกษาสวรรค์อีกครั้ง จึงรีบเอ่ยเตือนเสียก่อน
เสี่ยเจี้ยนจึงทำได้เพียงตอบรับ “ได้!”
หลังจากนั้นทั้งสองก็แอบตามไปอย่างเงียบ ๆ
แต่ใบไม้สองใบนั้นวิ่งอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงเวลาหนึ่ง พลังที่บรรจุภายในของใบไม้ก็ค่อย ๆ อ่อนแลลง จนเสี่ยเจี้ยนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ “ศิษย์น้อง พวกเขาดูผิดปกติ!”
“ผิดปกติ?” เถียนอวิ๋นเมิ่งสงสัย
เสี่ยเจี้ยนมองอย่างพิจารณา ก่อนจะกระโจนออกไปขวางด้านหน้าร่างจำแลง พร้อมกับส่งออกปราณเพลิงเข้าปกคลุมรอบทั้งสองร่างนั้น!
จากนั้นใบไม้ทั้งสองก็กลายเป็นเพียงภาพจาง ๆ เมื่อเถียนอวิ๋นเมิ่งเห็นสองคนนี้ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงใบไม้ธรรมดา ๆ โทสะก็พลันพุ่งพรวด เขาเบิกตากว้างคำรามลั่น “นี่มันสิ่งบัดซบอันใด?”
ขณะนั้นเอง ใบไม้ทั้งสองก็สูญเสียพลังออกไปจนหมดสิ้นและร่วงลงสู่พื้นดิน
เถียนอวิ๋นเมิ่งเองก็โมโหจนกัดฟันกรอด ส่วนเสี่ยเจี้ยน เขาเบิกตาทั้งสองข้างขึ้นและสบถออกมา “ข้าต้องฆ่าเขาให้ได้!”
“แย่แล้ว เขาต้องหนีไปแล้วเป็นแน่!” เถียนอวิ๋นเมิ่งร้อนใจ
ว่าแล้วเสี่ยเจี้ยนก็คว้าตัวเถียนอวิ๋นเมิ่งมาและกลับไปยังสำนักพฤกษาสวรรค์โดยเร็วที่สุด แต่ค่ายกลกำจัดมารของสำนักพฤกษาสวรรค์นั้นเปิดอยู่ตลอดเวลา และพวกเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าภายในเกิดอะไรขึ้นบ้าง จึงทำเพียงแค่ยืนเพ่งมองจากด้านนอก
“สมควรตายนัก!” เถียนอวิ๋นเมิ่งโมโหจนอยากจะทำให้สำนักพฤกษาสวรรค์ราบเป็นหน้ากลอง
ส่วนเสี่ยเจี้ยนได้แต่กัดฟันกรอด
…
ลู่เฉินและฮวาหลิงมู่ออกจากที่แห่งนี้เพื่อกลับไปยังป่าทึบ จึงได้พบเหล่าสตรีที่กำลังลังรออยู่
หญิงสาวเหล่านั้นเมื่อเห็นฮวาหลิงมู่กลับมาก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก และขึ้นไปทักทายทั้งสอง
ฮวาหลิงมู่บอกผู้หญิงเหล่านี้ว่าตนไม่เป็นอะไร และยังกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “สำนักพฤกษาสวรรค์ถูกทำลายลงแล้ว!”
“อันใดนะ?” ทุกคนต่างก็ตกใจ
ฮวาหลิงมู่จึงค่อย ๆ เล่าให้ฟัง
ครั้นทุกคนฟังแล้วต่างก็พากันตกตะลึง ส่วนลู่เฉินเพียงแค่มองไปยังพวกเขาก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปพบต้นไม้วิญญาณชรานั่น”
จากนั้นลู่เฉินก็ขึ้นภูเขาไป
ส่วนฮวาหลิงมู่ ขณะนี้นางก็กำลังติดพันโอ้อวดแก่บรรดาพี่สาวเหล่านี้ “ข้าจะบอกพวกท่านให้นะ ข้าได้ฝึกวิชาใหม่อีกวิชาแล้ว!”
สตรีทั้งหลายต่างก็แปลกใจ พากันยืนล้อมฮวาหลิงมู่
ส่วนลู่เฉินนั้น เมื่อขึ้นไปบนภูเขา เขาก็ได้พบกับต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรา
“ล่มสลายแล้วจริงหรือ?” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรารู้สึกไม่เชื่อจนต้องเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง ซึ่งลู่เฉินก็ยิ้มพลางมอง “เจ้าคิดว่าเรื่องเล็กแค่นี้ ข้าจะทำไม่ได้หรือ?”
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราจึงตอบแก้เก้อ “ก็จริง”
“ตอนนี้ถึงเวลาพูดเรื่องของเจ้าแล้ว”
“ข้า?”
“ข้าวางแผนจะพาเจ้าไป แบบนี้จะง่ายต่อการค้นหาว่าแก่นไม้ของเจ้าอยู่ที่ใด” ลู่เฉินพูดกับต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรา ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่กังขาใด ๆ และทำเพียงขานรับ “อืม”
“เช่นนั้น เจ้าจงเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นเพื่อให้ข้าพกพาได้สะดวก”
ว่าแล้วต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราก็พลันแปลงกายเป็นหมวกฟาง แต่ลู่เฉินกลับหัวเราะ “ข้าไม่ใส่หมวกฟาง”
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราจึงเปลี่ยนอีกครั้ง
รองเท้าฟาง
เสื้อฟาง เสื่อฟาง…
จนแล้วจนเล่า ลู่เฉินก็ทนดูต่อไปไม่ได้อีก เขาบอกให้มันเปลี่ยนเป็นกระบี่ไม้เล่มหนึ่ง เช่นนี้จะได้ไม่ดูประหลาดไป
“เช่นนี้หรือ?” หลังจากต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราเปลี่ยนเป็นกระบี่ไม้สีเขียวเล่มหนึ่ง ซึ่งชายหนุ่มก็ตอบเพียงว่า “เข้ามาโจมตีข้าเสียก่อนเถอะ”
“โจมตีท่าน?” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราไม่เข้าใจ ทว่าลู่เฉินกลับยิ้มและตอบ “ข้าจะฝึกวิชา และต้องการอาวุธที่มีชีวิตเช่นเจ้าเข้ามาโจมตี”
แม้ว่าต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราจะไม่เข้าใจสิ่งที่ลู่เฉินพูด ทว่าเขาก็ยังคงทำตาม จึงเริ่มการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง!
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป กระแสน้ำวนโปร่งแสงกลุ่มที่เจ็ดของลู่เฉินก็เกิดขึ้น
ด้วยวิธีนี้ จากทั้งเก้าชาติภพอันได้แก่ ปีศาจ มาร ภูติ วิญญาณ แมลง สัตว์อสูร ซากศพ ศาสตราวุธ และมนุษย์
…นอกจากแมลงและภูตที่ไม่ถูกเปิดพลังออกมา อีกเจ็ดชนิดต่างก็ได้รับการเปิดพลังออกมา และยังสามารถทำให้พวกมันรวมเป็นหนึ่งเดียวได้
ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อกลุ่มพลังทั้งเจ็ดของลู่เฉินได้รวมกันแล้ว มันก็พลันส่งผลให้ทวีความแข็งแกร่งมากขึ้น และทำให้เขารู้สึกว่าตนเองสามารถต่อสู้กับผู้ที่อยู่ขั้นหลอมแก่นแท้ระดับต้นได้อย่างสบายมือ! และถ้าหากรวมกับการบีบอัดปราณกระบี่ พลังทำลายล้างของเขาก็จะยิ่งไม่ธรรมดาเข้าไปอีก!!
“มีเจ็ดกลุ่มพลังก็แข็งแกร่งเช่นนี้ ถ้าเป็นการรวมกันของเก้าชาติภพ ข้าย่อมสามารถต่อสู้กับขั้นหลอมแก่นแท้ได้ง่าย ๆ ใช่หรือไม่?!” ลู่เฉินไม่กล้าคิดแม้แต่น้อย ว่า ‘เคล็ดนพชาติหวนคืน’ จะให้ผลลัพธ์เช่นใดในตอนท้ายสุด
“เซียนลู่ ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราเห็นว่าลู่เฉินดูนิ่งไปจึงเอ่ยถาม
ลู่เฉินหันมายิ้ม “ข้าไม่เป็นอะไร แต่จะทำอย่างไรกับสตรีเหล่านี้ที่เจ้ารับเลี้ยงไว้?”
“เซียนลู่ สตรีเหล่านี้รู้วิชามาไม่น้อย ถ้าหากใช้ประโยชน์ดี ๆ คงเกิดประโยชน์มากเป็นแน่!”
“เจ้าอยากให้ข้าพาพวกนางไปด้วย?” ลู่เฉินเกิดมึนหัวขึ้นมาเมื่อคิดว่าต้องพาคนไปมากขนาดนี้ แต่ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรากลับเสนอขึ้นว่า “ท่านสามารถพาพวกนางเข้าเมืองเพื่อช่วยจัดการปัญหายุ่งยากของท่านได้”
“เข้าเมือง? เรื่องยุ่งยาก?” ลู่เฉินคิดเพียงครู่ก็ตัดสินใจได้
เมื่อต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราเห็นท่าทีของเขาก็ถามอย่างสงสัย “ท่าน มีแผนแล้ว?”
“อืม มีแล้ว” ลู่เฉินเก็บอาการ เขาหยิบกระบี่และลงจากภูเขา
เมื่อคนเหล่านี้เห็นลู่เฉินแล้วต่างก็รีบกล่าวต้อนรับกัน “ผู้อาวุโส!”
เห็นได้ชัดว่าช่วงหลายวันมานี้ ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราได้สอนวิชาให้พวกนางมาไม่น้อย ทว่าลู่เฉินเพียงแค่ยิ้ม “ไปเถอะ”
“ไป?” ทุกคนต่างมองหน้ากัน แม้แต่ฮวาหลิงมู่ยังประหลาดใจ “ไปไหน?”
“หาเมืองใหญ่ ๆ สักเมืองหนึ่ง ทำให้พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนปกติ”
เมื่อฮวาหลิงมู่ได้ยินว่าสามารถเข้าไปในเมืองได้ นางก็รู้สึกดีใจยิ่ง “เข้า… เข้าเมืองได้จริงหรือ?”
คำขานรับของลู่เฉินเป็นผลให้สตรีเหล่านั้นต่างก็พากันดีใจ เพราะพวกนางอยู่ที่มานานหลายปี และลังเลใจยิ่งนักว่าจะออกไปดีหรือไม่
เมื่อได้ยินว่าสามารถออกไปจากที่นี่ได้ พวกนางจึงรู้สึกดีใจ ทว่าราวกับฮวาหลิงมู่คิดอะไรบางอย่างออกมาได้จึงเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านปู่ เขาจะอยู่ที่นี่คนเดียวงั้นหรือ?”
“เขา? อยู่นี่” ลู่เฉินยกกระบี่ในมือขึ้นมาส่งให้นางดู
ฮวาหลิงมู่เบิกตากว้าง “ไม่จริงน่า!”
“อะไรคือไม่จริง หรือว่าพอเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จำข้าไม่ได้เสียแล้ว?” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราพลันเอ่ยออกมา ทำให้หลายคนพากันตกใจ!
ฮวาหลิงมู่ที่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยจากกระบี่ตรงหน้าแปลกใจไม่น้อย “ท่านปู่ ท่านก็มีวิชาเจ๋ง ๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?!”
“พูดให้มันน้อย ๆ หน่อย!” วาจาตำหนิทีเล่นทีจริงนี้ทำให้ฮวาหลิงมู่ยิ้มเก้อเขิน
ก่อนที่ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราจะหันไปเอ่ยกับทุกคน “เมื่อเข้าเมืองแล้ว พวกเจ้าต้องเชื่อฟังทุกสิ่งที่ผู้อาวุโสสั่ง เข้าใจหรือไม่?”
เหล่าสตรีขานรับ “เจ้าค่ะ!”
ลู่เฉินยิ้ม จากนั้นจึงเก็บกระบี่และเดินนำทุกคนไป
ระหว่างทาง ลู่เฉินพลันหันไปถามเจียลั่วที่ร่างกายฟื้นฟูเป็นปกติแล้ว “เจ้ารู้จักโจวกังหรือไม่?”
“โจวกัง ผู้อาวุโสโจว?” เจียลั่วสงสัยว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงถาม ลู่เฉินจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ตอนที่ข้าไปยังสำนักพฤกษาสวรรค์ ข้าได้เห็นเขาใช้อักขระยันต์หุ่นเชิด”
“อันใดนะ?” เจียลั่วมีสีหน้าเปลี่ยนไป
เมื่อเห็นท่าทีของเจียลั่ว ลู่เฉินจึงเอ่ยปลอบ “ถ้าข้ากลับไปแล้วมีโอกาส ข้าจะจับเขามาถามอีกสักครั้ง!”
เจียลั่วพยักหน้า ส่วนฮวาหลิงมู่หันกายมาและเอ่ยอย่างตื่นเต้น “พี่ใหญ่ประหลาด ตอนนี้เราวางแผนคิดจะไปยังเมืองไหนกัน?”