ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 54 การป้องกันที่แปลกประหลาด
บทที่ 54 การป้องกันที่แปลกประหลาด
การโจมตีของทั้งสองล้วนถูกต้านรับไว้ด้วยม่านเกราะสีใส ส่วนลู่เฉิน… เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ!
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้คนทั้งสองหวาดกลัวขึ้นมา ส่วนทางด้านของลู่เฉิน เมื่อเขาสังเกตภายในร่างกายตนเอง ชายหนุ่มก็พลันพบว่าพลังมารที่โจมตีมานั้นยังไม่มากที่จะทำให้จุดชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลง!
ลู่เฉินจึงเอ่ยกระตุ้นต่อ “มา โจมตีอีกอย่าหยุด!”
เถียนอวิ๋นเมิ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
ทว่าในจังหวะนั้น ลู่เฉินกลับดึงกระบี่สยบเก้าทิศออกมาพลางยิ้ม “ถ้าหากเจ้าไม่เข้ามา เห็นทีว่าข้าจะต้องลงมือเองเสียแล้ว!”
เถียนอวิ๋นเมิ่งที่เห็นชายหนุ่มชักกระบี่ก็รีบตะโกนก้องทันที “ระวังปราณกระบี่ของเขา!”
เสี่ยเจี้ยนเผยท่าทีเย็นชา จากนั้นก็ชูมือพร้อมงอมันคล้ายกรงเล็บขึ้นบนอากาศ ก่อนจะใช้พลังที่แข็งแกร่งกระแทกเข้าไปยังม่านเกราะสีใส แล้วจุดชีวิตของลู่เฉินก็แปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำวนโปร่งแสงทันที!
“สำเร็จ!” ลู่เฉินเผยรอยยิ้มออกมา
สำเร็จ?
ทั้งสองไม่เข้าใจ ส่วนลู่เฉินในขณะนี้กำลังฉีกยิ้มหวานพลางเอ่ยว่า “ตอนนี้ เห็นทีจะได้เวลาให้เจ้าได้ลิ้มรสค่ายกลกำจัดมารเสียแล้ว!”
ครั้นเอ่ยจบ ลู่เฉินก็เผยรอยยิ้มประหลาด จากนั้นปราณกระบี่ก็พุ่งขึ้นไปกลางสุญญะ
เพียงอึดใจถัดมา ค่ายกลกำจัดมารก็เริ่มทำงาน กระทั่งทวีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้เกิดแสงสว่างสีทองสว่างวาบตกลงสู่ทั่วทั้งภายในสำนักพฤกษาสวรรค์
เมื่อผิวกายของเสี่ยเจี้ยนและเถียนอวิ๋นเมิ่งสัมผัสโดนแสงสว่างสีทองนี้ พลังของพวกเขาก็อ่อนแอลงทันที
“สมควรตายนัก!” เสี่ยเจี้ยนยังไม่ลืมว่าต้องไปโจมตีลู่เฉิน เขาลงมืออีกครา แต่ลู่เฉินเพียงใช้ ‘กำแพงพันชั้น’ ก็สามารถต่อต้านการโจมตีของเขาได้แล้ว
…ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เสี่ยเจี้ยนตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้!”
“ค่ายกลกำจัดมารนี้จะกดทับพลัง ทำให้เจ้าสามารถใช้พลังได้เพียงหนึ่งในพัน หรือบางทีอาจต่ำกว่านั้นเสียอีก!!” ลู่เฉินยิ้ม จากนั้นจึงเริ่มร่ายเคล็ดวิชากระบี่ออกมา
ปราณกระบี่นับพันเปลี่ยนเป็นสิบในฉับพลัน ก่อนที่มันจะทะยานสู่สุญญะและโจมตีออกไป!
เสี่ยเจี้ยนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เพราะบนร่างของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด และม่านพลังมารก็อ่อนพลังลงไปมาก ดังนั้นเมื่อถูกโจมตีอีกครั้งจึงทำให้บาดเจ็บสาหัส!
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เสี่ยเจี้ยนเกิดโทสะ เขาตะโกนก้องออกมา “ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
เพียงไม่นาน เสี่ยเจี้ยนก็กลายเป็นเพียงภาพติดตา เช่นเดียวกับเถียนอวิ๋นเมิ่งที่จากไปภายในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
ลู่เฉินเก็บกระบี่พลางเอ่ยว่า “ช่างอ่อนแอกันจริงเชียว!”
จากนั้นชายหนุ่มก็มองไปรอบ ๆ สำนักพฤกษาสวรรค์ เขากวาดสายตามองทะเลเพลิง รวมทั้งร่างของผู้เสียชีวิต “สำนักนี้ช่างอ่อนแอเสียจริง!”
ลู่เฉินเอ่ยจบก็กลับเข้าไปในค่ายกลที่มีฮวาหลิงมู่ฝึกวิชาอยู่
สำหรับฮวาหลิงมู่ นางไม่รู้แม้แต่น้อยว่าภายนอกนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เด็กสาวจึงทำเพียงตั้งใจฝึกฝนต่อไป
…
เมื่อเสี่ยเจี้ยนและเถียนอวิ๋นเมิ่งหนีออกมาจากสำนักพฤกษาสวรรค์แล้ว สีหน้าของทั้งสองต่างก็ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเสี่ยเจี้ยน เมื่อเห็นบาดแผลจากกระบี่บนร่างกายของตน เขาก็เอ่ยพล่ามออกมาอย่างแค้นเคือง “รอมันออกมาก่อนเถอะ ข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้!”
ส่วนเถียนอวิ๋นเมิ่ง นางโมโหจนริมฝีปากเป็นสีม่วง สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีนัก
ทว่าไม่เพียงแต่ทั้งสองเท่านั้น แม้แต่ผู้คนที่หลบหนีออกมาจากสำนักพฤกษาสวรรค์ พวกเขาต่างก็พากันมารวมตัวด้านนอก
เมื่อลวี่ซ่างเพียวมองดูบรรดาศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บนอนกองกันอยู่ เขาก็พลันกล่าวออกมาด้วยความโมโหว่า “สำนักพฤกษาสวรรค์ที่สวยงามของข้า ถูกเจ้าหนุ่มขั้นกลั่นลมปราณทำลายจริง ๆ งั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวปลอบ “ท่านอาจารย์ ท่านอย่าได้มีโทสะไป!”
“ไม่ให้มีโทสะ? สำนักล่มสลายลงแล้ว เจ้ายังจะมาบอกไม่ให้ข้ามีโทสะ?” ลวี่ซ่างเพียวโมโหจนตะโกนออกมา ผู้อาวุโสจื่อจึงเอ่ยปลอบ “เพียงแค่เราฟื้นฟูสำนักอีกครั้ง หลังจากนั้นจะไปจัดการเขาก็ย่อมได้!”
“ฟื้นฟูสำนัก? ตอนนี้แม้แต่วัตถุดิบจำเป็นก็ไม่มี จะฟื้นฟูได้อย่างไร?” สีหน้าของลวี่ซ่างเพียวดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
ผู้อาวุโสจื่อเอ่ยขึ้นมาอย่างลังเล “พวกเราสามารถไปยังสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้!”
“สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์?” ลวี่ซ่างเพียวขมวดคิ้ว ผู้อาวุโสจื่อจึงอธิบายว่า “ท่านลองคิดดู สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไล่ล่าตามฆ่าเจ้าหนุ่มนี่มาตลอด ถ้าหากเราร่วมมือกับสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงแค่ได้ฟื้นฟูสำนักเท่านั้น แต่ยังสามารถสืบเรื่องราวของเจ้าหนุ่มนั่นจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วย!”
“เจ้าคิดว่าสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์จะต้อนรับพวกเราหรือ?”
“พวกเรามีจุดประสงค์เดียวกัน!” ผู้อาวุโสจื่อตอบ แต่ลวี่ซ่างเพียวกลับกล่าวเตือน “หากเจ้าสำนักรู้เรื่องนี้ เขาต้องลงโทษพวกเราเป็นแน่!”
เพียงได้ยินคำว่าเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสจื่อก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที “พวกเราเอง… ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วเช่นกัน”
“ไปเถอะ ไปยังสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์!”
ผู้อาวุโสจื่อสั่งการออกไป จากนั้นทุกคนต่างก็รีบเดินทางไปยังสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทันที
…
วันถัดมา สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้เปิดรับคนจากสำนักพฤกษาสวรรค์ แต่ไม่ได้เปิดรับทุกคน เพราะสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสำนักใหญ่ ฉะนั้นจึงมีการคัดเลือกคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักอย่างเคร่งครัด
ด้วยเหตุนี้ ศิษย์ขั้นสร้างรากฐานจำนวนไม่น้อยจึงไม่สามารถเข้ามายังสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้ พวกเขาทำได้เพียงแค่เข้ามาพักในเมืองเฟิงเฉิงเท่านั้น
ขณะเดียวกัน เรื่องที่ลู่เฉินทำลายสำนักพฤกษาสวรรค์ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองเฟิงเฉิงและเมืองรอบข้าง
ขณะนั้นเอง ปิงหลิวหลีที่ได้ยินข่าวดังกล่าว สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนไป “เจ้าคนนี้หนิ! แท้จริงแล้วต้องการทำอะไรกันแน่? เหตุใดจึงได้ทำลายสำนักพฤกษาสวรรค์?”
ปิงหลิวหลีตั้งใจฟังบรรดาผู้ฝึกตนในเมืองคุยกัน
ครั้นเวลาผ่านไปสักพัก นางก็รีบเดินทางไปยังสำนักพฤกษาสวรรค์
ส่วนสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขารีบส่งกลุ่มคนออกไปเช่นเดียวกัน
….
เมื่อลู่เฉินเห็นว่าฮวาหลิงมู่ฝึกวิชาคุมจิตวิญญาณถึงขั้นหนึ่งได้สำเร็จ เขาก็ยิ้มออกมา “ยินดีด้วย”
ฮวาหลิงมู่ดีใจจนรีบลุกขึ้น ก่อนจะใช้วิชาคุมจิตวิญญาณขั้นหนึ่งทำให้ของที่ถูกควบคุมค่อย ๆ ลอยขึ้น ก่อนจะตกลงสู่พื้น
“พี่ใหญ่ประหลาด วิชาคุมจิตวิญญาณนี้ช่างร้ายกาจเสียจริง!” ฮวาหลิงมู่เอ่ยออกมาด้วยความดีใจ ซึ่งลู่เฉินก็ทำเพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้เป็นเพียงแค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น ต่อไปถ้าฝึกไปถึงขั้นสอง ขั้นสาม ก็จะยิ่งเก่งกาจมากกว่านี้”
“เช่นนั้น เมื่อไหร่ข้าถึงจะได้ฝึกขั้นต่อไป?”
“ยังมีขั้นตอนที่จำเป็นอีก แต่ว่าตอนนี้ต้องออกไปจากที่นี่เสียก่อน”
เมื่อฮวาหลิงมู่ได้ยินว่าต้องออกจากที่นี่ นางก็สงสัยขึ้นมา “แล้วคนของสำนักพฤกษาสวรรค์เล่า พวกเขาหาเราเจอหรือไม่?”
“คนของสำนักพฤกษาสวรรค์?” ลู่เฉินยิ้ม
ฮวาหลิงมู่ที่เห็นท่าทีเช่นนั้นพลันเกิดสงสัยขึ้นมา “เราอยู่ที่นี่กันมาหลายวัน ควรจะมีใครตามหาเราพบบ้างสิ!”
“มีคนหาเจอแล้ว แต่ว่า…”
“แต่อะไร?” ฮวาหลิงมู่ไม่เข้าใจ ลู่เฉินจึงเดินออกมาจากมุมมืด เขานำมู่หลงที่ถูกทิ้งไว้มาอยู่ตรงหน้าฮวาหลิงมู่
เมื่อฮวาหลิงมู่เห็นเช่นนั้น นางจึงถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่?”
“ข้ารับปากเจ้าแล้วว่าจะช่วยเจ้าจับเขา และทำลายสำนักพฤกษาสวรรค์” ลู่เฉินยิ้มให้นาง
เมื่อเด็กสาวตัวน้อยได้ยินเช่นนั้น นางก็พลันตกใจจนเอ่ยว่า “ท่าน… คงไม่ได้ทำให้สำนักพฤกษาสวรรค์ล่มสลายใช่หรือไม่?”
“ลองออกไปดูสิ”
ฮวาหลิงมู่แสดงสีหน้าประหลาดใจและเดินออกไปตามคำของชายหนุ่มทันที ส่วนลู่เฉิน เขาจับมู่หลงขึ้นมา จากนั้นจึงเดินออกไปนอกถ้ำตามหลัง
ขณะนั้นเอง ภายนอกถ้ำ หลังจากถูกคลอกด้วยทะเลเพลิง มันก็ทำให้ทั่วทุกพื้นที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ไร้ซึ่งเค้าเดิมของสำนักที่ตั้งอยู่
และเมื่อฮวาหลิงมู่เห็นภาพตรงหน้า ทั้งร่างพลันหยุดชะงัก ในขณะที่มู่หลงรู้สึกโมโหจนสั่นไปทั้งกาย “ไม่… ไม่จริง!”
ลู่เฉินหันไปมองคนที่กำลังตัวสั่นเทา “ดูสิ เขากลายเป็นบ้าไปแล้ว”
ฮวาหลิงมู่ที่ได้ยินจึงตะโกนเสริมออกมา “คนชั่วร้ายย่อมได้รับผลร้ายตอบแทนอยู่แล้ว!”
“ตอนนี้จะจัดการกับเขาเช่นไร?” ลู่เฉินมองไปยังฮวาหลิงมู่พลางคลี่ยิ้ม แต่ฮวาหลิงมู่กลับพูดออกมาอย่างหดหู่ว่า “ทิ้งไว้ที่นี่ ให้เขาดูแลตัวเอง!”
ชายหนุ่มรู้ว่าฮวาหลิงมู่นั้นยังเด็กเกินไปทั้งยังมีจิตใจดี จึงไม่คิดก้าวก่ายในการตัดสินใจของนาง เขาเพียงแค่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
ฮวาหลิงมู่ขานรับและรีบติดตามลู่เฉินออกไป แต่เมื่อออกเดินทางไปแล้ว ค่ายกลเบื้องหลังกลับเกิดการเปลี่ยนแปลง มันสร้างลูกไฟขนาดใหญ่ก่อนจะโจมตีไปยังร่างของมู่หลง ทำให้เขาหมดสติ และไม่อาจรู้ได้เลยว่าเป็นหรือตาย
สำหรับฮวาหลิงมู่ที่ออกเดินทางไป นางไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นบนภูเขา
แต่ขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังจะพ้นจากขอบค่ายกลกำจัดมารของสำนักพฤกษาสวรรค์ ลู่เฉินกลับหยุดและยิ้มออกมา “อย่าพึ่งรีบร้อนออกไป”
“เพราะเหตุใด?”
“ขอข้าดูก่อนว่าสองคนนั้นไปหรือยัง!” ลู่เฉินเผยรอยยิ้ม จากนั้นจึงค่อย ๆ หลับตาและใช้วิชาหมื่นวิญญาณ
ไม่นานนัก ลู่เฉินก็ได้เห็นเสี่ยเจี้ยนและคนผู้หนึ่งที่กำลังหลบซ่อนอยู่กลางพุ่มไม้
เมื่อเห็นดังนั้นลู่เฉินจึงยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “ยังอยู่จริง ๆ!”
“พี่ใหญ่ประหลาด ท่านพูดถึงใครอยู่กัน?” ฮวาหลิงมู่แสดงสีหน้าสงสัย แต่ลู่เฉินเพียงยิ้มออกมาก่อนจะตอบว่า “คนเจ้าปัญหาทั้งสอง!”
“เช่นนั้นยังจะออกไปอยู่ไหม?” ฮวาหลิงมู่นึกสงสัย
“ออกไปสิ แต่ข้าต้องทำให้พวกเขาออกมาเสียก่อน! ” ลู่เฉินเอ่ยจบก็หยิบใบไม้ขึ้นมาสองใบ
“พี่ใหญ่ประหลาด นี่ท่านคิดจะทำอะไร?” ทันทีที่เห็นลู่เฉินหยิบใบไม้ขึ้นมาสองใบ ฮวาหลิงมู่ก็ยิ่งเกิดความงุนงง!