ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 53 สำนักพฤกษาสวรรค์... ถูกทำลายในพริบตาเดียว!
บทที่ 53 สำนักพฤกษาสวรรค์… ถูกทำลายในพริบตาเดียว!
ลู่เฉินยิ้มออกมา
ก่อนที่ชายหนุ่มจะขยับมือไม้ปรับเปลี่ยนค่ายกลภายในถ้ำ ทำให้ค่ายกลนี้และด้านนอก ‘เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียว’
เมื่อโจวกังสะบัดธงผืนใหญ่ในมือ เพียงสะบัดแรง ๆ เท่านั้น พลังมหาศาลก็ถูกรวบรวมมาจากทุกทิศทาง และโจมตีไปยังแนวค่ายกลด้านหน้าปากถ้ำ
เนื่องจากค่ายกลหน้าปากถ้ำนี้ลู่เฉินเป็นผู้สร้างขึ้น เขาจึงสามารถปรับเปลี่ยนและทำให้มันสามารถเชื่อมต่อกับค่ายกลรอบ ๆ ได้ และเมื่อพลังมหาศาลนี้โจมตีกับค่ายกลหน้าถ้ำ มันก็ทำให้เกิด ‘การสะท้อนกลับ’ หรือที่เรียกว่าค่ายกลตีกลับ!
เพียงไม่นาน เหล่าผู้อาวุโสที่โบกธงรวมถึงโจวกังก็ถูกพลังมหาศาลนี้กระแทกจนกระเด็นออกไป
ตูม!
ทุกคนต่างก็เห็นภาพอันน่าสะพรึงนี้
เหล่าผู้อาวุโสกระเด็นลอยอยู่บนอากาศ ก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นทีละคนพร้อมกับธงในมือ…
ในบรรดาพวกเขา บ้างก็กระแทกอย่างรุนแรงจนตกหน้าผาร่างแตกเป็นเสี่ยง ๆ บ้างก็โชคดีหน่อยเพราะเมื่อร่างกระแทกลงพื้นก็มีเพียงเลือดฉีดพุ่งออกจากปาก
ไม่เพียงแต่เหล่าผู้อาวุโสเท่านั้น สีหน้าของโจวกังเองก็ซีดเผือด เลือดค่อย ๆ หยดออกมาจากรูจมูกทั้งสอง สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ค… ค่ายกลตีกลับ!”
“ข้าบอกแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เชื่อ!” ลู่เฉินยิ้ม
“ทำไมกัน? เหตุใดสองค่ายกลจึงผสานเป็นหนึ่ง! เจ้า… เจ้าอยู่ข้างในชัด ๆ เหตุใดจึงสามารถทำให้มันกลายเป็นเช่นนี้ได้? ทำไม!?” ภายในใจของโจวกังเต็มไปด้วยคำว่า ‘ทำไม’ จนนับไม่ถ้วน
ทว่าลู่เฉินก็ทำเพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าอยากให้พวกมันเป็นหนึ่งเดียว มันก็เป็นเป็นหนึ่งเดียว มีปัญหาอันใด?”
“เจ้า เจ้ามันไม่ใช่คน!” โจวกังก่นด่าแล้วค่อย ๆ ถอยออกมา
ลวี่ซ่างเพียวที่บาดเจ็บเดินออกมาจากอีกด้านหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยความโมโห “ปรมาจารย์โจว ท่าน… ท่านทำอันใดลงไป!”
ไม่เพียงแต่ลวี่ซ่างเพียวเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสท่านอื่นที่อาการดีขึ้นก็ค่อย ๆ ลุกออกมาและพากันโอดครวญ
โจวกังเอ่ยตะกุกตะกัก “ข้า ข้าจะกลับไปหาวิธีแก้!”
ครั้นเอ่ยจบ โจวกังที่หวาดกลัวพลันหยิบยันต์ธรณีออกมาก่อนจะรีบหนีออกไป
เหล่าผู้อาวุโสต่างก็พากันก่นด่าการกระทำนี้ และขณะนั้นเอง ลู่เฉินก็ได้เดินออกมาจากค่ายกล เขามองเหล่าผู้อาวุโสที่ได้รับบาดเจ็บพลางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ทุกท่าน รู้สึกเช่นไรบ้าง?”
เมื่อเห็นลู่เฉินเดินออกมา เหล่าผู้อาวุโสต่างก็พุ่งตัวออกไปราวกับสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง จากนั้นก็พากันใช้ออกด้วยเคล็ดวิชาต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ลู่เฉินกลับป้องกันการโจมตีของพวกเขาด้วยการใช้ ‘เคล็ดกำแพงพันชั้น’
ภาพของม่านพลังสีน้ำตาลตรงหน้าทำให้พวกเขาพากันตกตะลึง
“ไม่ เป็นไปไม่ได้!”
ผู้อาวุโสจื่อเช็ดเลือดบริเวณริมฝีปาก “เจ้า… เจ้าอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณ เหตุใดจึงใช้เคล็ดป้องกันที่แข็งแกร่งเช่นนี้!”
ลู่เฉินยิ้ม “ไม่ใช่ข้าที่แข็งแกร่ง แต่เพราะเมื่อครู่พวกเจ้าได้รับผลจากค่ายกลตีกลับ ทำให้บาดเจ็บและอ่อนแรง!”
ผู้อาวุโสจื่อที่ได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับอย่างไม่พอใจ “ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บจนอ่อนแรง ทว่าพลังของพวกเราก็ใช่จะอ่อนด้อย!”
“หากเจ้าไม่อาจสร้างพลังทำลายล้างที่รุนแรงเทียบเท่าขั้นหลอมแก่นแท้ เช่นนั้นก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายการป้องกันนี้ได้!” ลู่เฉินตอบกลับอย่างมั่นใจ และถึงขนาดดึงกระบี่สยบเก้าทิศออกมา
เมื่อเห็นกระบี่สยบเก้าทิศ บรรดาศิษย์สำนักพฤกษาสวรรค์ต่างพากันตะโกนออกมา “ผู้อาวุโส รีบหนีเถิด!”
“เขา… วิชากระบี่ของเขาน่ากลัวยิ่ง!”
แต่เหล่าผู้อาวุโสกลับไม่เชื่อเช่นนั้น
และเพียงไม่นาน พวกเขาก็ต้องรู้สึกเสียใจกับความหยิ่งผยองในครั้งนี้!
เพราะยิ่งปรากฏปราณกระบี่มากเท่าใด บรรดาผู้อาวุโสที่บาดเจ็บอยู่แล้วก็ยิ่งมีรอยบาดแผลเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น จนสุดท้ายเหล่าผู้อาวุโสต่างก็พากันหวาดกลัวจนหนีไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ทั้งหลาย
ลู่เฉินคลี่ยิ้มเล็กน้อยให้กับภาพตรงหน้า “ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะได้ลิ้มรสค่ายกลของพวกเจ้าเองแล้ว!”
ไม่มีใครรู้ว่าลู่เฉินหมายถึงสิ่งใด ทว่าเพียงพริบตาเดียว ชายหนุ่มก็พลันหายตัวไปจากจุดนั้น
“แล้วคนล่ะ?” พวกเขาได้แต่มองหน้ากัน
อึดใจถัดมา ค่ายกลใหญ่ของสำนักพฤกษาสวรรค์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ บนท้องฟ้าเกิดฝนไฟมากมายนับไม่ถ้วนสาดเทลงมา
ตู้ม!
ทั่วทุกพื้นที่กลายเป็นทะเลเพลิง
“แย่แล้ว เขาเข้าควบคุมค่ายกลใหญ่ของสำนักพฤกษาสวรรค์แล้ว!”
“ไอ้บัดซบ พวกเราได้ตายเป็นแน่แท้!”
“ไม่ดีแล้ว ยังมีค่ายกลพลางตาอีก!”
“เร็ว รีบหนี!”
ทันใดนั้น ทั่วทั้งสำนักพฤกษาสวรรค์ก็เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวน และบรรดายอดฝีมือขั้นหลอมแก่นแท้ที่เคยสู้รบกับลู่เฉินรวมทั้งผู้อาวุโสขั้นก่อกำเนิด คนเหล่านี้ได้สูญเสียพลังในการต่อต้านขัดขืนไปจนเกือบหมด!
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงถูกค่ายกลรอบ ๆ โจมตีอย่างต่อเนื่องโดยไม่แม้แต่จะสามารถต่อต้านได้
สุดท้ายเหล่าผู้อาวุโสจึงถูกบีบให้ต้องพาเหล่าศิษย์หนีออกไปจากสำนักพฤกษาสวรรค์ ส่วนผู้ที่ไม่สามารถหลบหนีไปได้ก็ต้องจบชีวิตอยู่ภายในสำนักพฤกษาสวรรค์แห่งนี้
ทันใดนั้น เมื่อเสี่ยเจี้ยนที่อยู่บนภูเขาห่างออกไปเห็นผู้คนมากมายวิ่งหนีออกมาจากสำนักพฤกษาสวรรค์ เขาจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “เกิดเหตุใดขึ้นที่สำนักพฤกษาสวรรค์?”
เถียนอวิ๋นเมิ่งไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงแสดงสีหน้าสงสัยออกมา “ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น!”
“ไป จับใครสักคนมาถาม!”
เสี่ยเจี้ยนนำเถียนอวิ๋นเมิ่งไปขวางศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บสองสามคน ซึ่งเมื่อศิษย์เหล่านั้นเห็นเสี่ยเจี้ยน พวกเขาต่างก็พากันหวาดกลัวจนตัวสั่น
“เกิดอะไรขึ้นในสำนักพฤกษาสวรรค์?” เสี่ยเจี้ยนเอ่ยถาม
บรรดาศิษย์จึงทำได้เพียงอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ครั้นเสี่ยเจี้ยนได้ฟัง เจ้าตัวก็พลันเกิดข้อสงสัย “เหตุใดเขาจึงได้เก่งกาจถึงเพียงนั้น?”
ส่วนเถียนอวิ๋นเมิ่งนั้นนางไม่เชื่อแม้แต่น้อย “เป็นไปไม่ได้!”
ขณะนั้น ที่บริเวณด้านหน้าของสำนักพฤกษาสวรรค์ เหล่าศิษย์ต่างพากันพุ่งออกมา และเมื่อเห็นเสี่ยเจี้ยนอยู่ไกล ๆ พวกเขาก็หวาดกลัวจนพากันวิ่งแตกกระจายไปทั่วทิศทาง
“ศิษย์พี่ ศาสตราวุธวิถีมาร!” เถียนอวิ๋นเมิ่งหวนคิดถึงเรื่องสำคัญขึ้นได้ จึงเป็นเสี่ยเจี้ยนที่รีบขวางผู้อาวุโสท่านหนึ่งไว้แล้วเอ่ยถาม
จากการสอบถาม ผู้อาวุโสท่านนั้นได้บอกว่าศาสตราวุธวิถีมารถูกลู่เฉินชิงไป ซึ่งนั่น… ทำให้เถียนอวิ๋นเมิ่งเกิดโทสะ นางขบฟันแน่นก่อนจะกล่าวว่า “สมควรตาย แท้จริงแล้วเขาก็มีเป้าหมายเป็นศาสตราวุธวิถีมารเช่นกัน!”
ส่วนเสี่ยเจี้ยน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ว่าใครก็อย่าคิดมาแย่งชิงกับพวกเรา!”
จากนั้นเสี่ยเจี้ยนก็นำเถียนอวิ๋นเมิ่งบุกทะลวงฝ่าค่ายกลเข้าไป
ภายในค่ายกลทั่วทุกพื้นที่ล้วนเป็นทะเลเพลิง แต่สำหรับเสี่ยเจี้ยนที่อยู่ในขั้นก่อกำเนิด สิ่งนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว เพียงพริบตาเดียวก็เกิดม่านพลังมารเข้าปกป้องเขาและเถียนอวิ๋นเมิ่งเอาไว้
เถียนอวิ๋นเมิ่งจึงถอนหายใจออกมาพลางเอ่ยชม “โชคดีที่มีศิษย์พี่อยู่!”
ขณะที่เสี่ยเจี้ยนกำลังจะเอ่ยบางอย่าง ลูกไฟจำนวนนับไม่ถ้วนก็พลันพุ่งเข้ามากระแทกกับม่านพลังมารที่คุ้มกันทั้งสองอยู่ เสี่ยเจี้ยนจึงตะโกนขึ้นว่า “เจ้า!… เลิกใช้กลอุบายต่ำช้าเช่นนี้เสียที!”
ลู่เฉินที่อยู่ในมุมมืดฉีกยิ้มออกมา “ข้าควรหยุดหรือ?!”
เมื่อได้ยินถ้อยคำยียวนกวนประสาท เสี่ยเจี้ยนก็พลันตัดสินใจได้ เขาแผ่จิตสัมผัสในขั้นก่อกำเนิดและกวาดสำรวจไปทั่ว ก่อนจะพบเข้ากับหน้าปากถ้ำแห่งหนึ่ง… ซึ่งมีลู่เฉินยืนอยู่!
เมื่อเสี่ยเจี้ยนพาเถียนอวิ๋นเมิ่งเข้าใกล้ นางก็พลันกล่าวออกมาอย่างยินดีว่า “ศิษย์พี่ เป็นเขานั่นแหละ!”
เสี่ยเจี่ยนที่ได้ยินดังนั้นก็วางใจ เขารีบพุ่งทะยานไปยืนดักหน้าถ้ำ ไม่คิดปล่อยโอกาสให้ลู่เฉินหนีกลับเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง
เถียนอวิ๋นเมิ่งที่เห็นเช่นนั้นก็กล่าวออกมาด้วยความดีใจ “ดี!”
“เจ้าหนุ่ม ตอนนี้ไม่มีที่ให้เจ้าหลบซ่อนอีกแล้ว!” เสี่ยเจี้ยนยิ้ม
ทว่าลู่เฉินกลับยิ้มแล้วกล่าวเพียงว่า “ข้าก็ไม่ได้คิดจะกลับเข้าไปอยู่แล้ว!”
เสี่ยเจี้ยนไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความเช่นไร?”
“ข้ายืนอยู่ตรงนี้ก็เพื่อที่จะรอพวกเจ้า” ลู่เฉินยิ้มอย่างมีเลศนัย ซึ่งเสี่ยเจี้ยนก็ได้จ้องกลับไปด้วยสายตาเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ช่างมั่นใจเสียจริง!”
เถียนอวิ๋นเมิ่งยิ้ม “ลู่เฉิน เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วพวกข้าจะกลัวงั้นหรือ?”
“มาเถอะ แสดงพลังของพวกเจ้าออกมาให้ข้าดู ว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าอยู่ในพลังขั้นไหน!” เมื่อลู่เฉินกล่าวจบ รอบตัวก็พลันปรากฏม่านใส
ทั้งสองสงสัยว่าลู่เฉินกำลังทำสิ่งใด
แท้จริงแล้ว ลู่เฉินต้องการหยิบยืมพลังในวิถีมารของทั้งสองสำหรับชาติภพที่จุติยังแดนต้องห้ามหมื่นมาร!
ด้วยวิธีนี้ เขาจึงจะสามารถสร้างคลื่นน้ำวนพวกนั้นและหลอมรวมมันกับอันอื่น ๆ!
ทว่าสองคนนี้ไม่รู้ พวกเขาคิดเพียงแค่ว่าลู่เฉินกำลังจะทำเช่นเดิม ทำให้เสี่ยเจี้ยนยังไม่ลงมือใด ๆ
“อันใดกัน? ข้าก็ให้ลงมือแล้วไงเล่า ไฉนจึงยังเฉยอีก?” ลู่เฉินยิ้มยียวน
เถียนอวิ๋นเมิ่งและเสี่ยเจี้ยนต่างก็สบตาส่งความนัย ทว่าคนทั้งคู่ล้วนไม่กล้าลงมือ ลู่เฉินจึงกระตุ้นโทสะของเถียนอวิ๋นเมิ่ง “ผู้หญิงร้ายกาจเช่นเจ้า อยากปลิดชีวิตข้ามาตลอดไม่ใช่หรือ? เหตุใดตอนนี้ถึงไม่กล้าลงมือล่ะ?”
สิ้นประโยคนั้น เจตนาฆ่าของเถียนอวิ๋นเมิ่งก็ทวีความรุนแรงขึ้น นางหันไปกล่าวกับเสี่ยเจี้ยนว่า “ศิษย์พี่ เรามาลงมือพร้อมกันเถอะ!”
“ตกลง!”
ว่าแล้วพวกเขาก็ลงมือโจมตี ทว่าผลลัพธ์หลังจากนี้… กลับทำให้พวกเขาต้องตกตะลึง!